ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 919 ควรค่า
ตอนที่ 919 ควรค่า
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา!
และก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัวว่าเกิดอันใดขึ้น ภาพของพยัคฆ์ที่สง่างามทว่าดุร้ายเมื่อครู่ ก็พลันสลายไปแล้ว!
จากนั้นค่ายกลอันทรงพลังก็แตกออก!
แกรก!
ค่ายกลอันซับซ้อนและทรงพลังเมื่อครู่ ถูกปกคลุมด้วยรอยแตกร้าวเสมือนใยแมงมุม!
หัวใจของจ้าวจื่อเฉิงจมดิ่งลงทันใด และหนีถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว!
ทันทีที่เขาออกจากจุดนั้น ค่ายกลสีเงินขนาดใหญ่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที!
ตูม!
ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังกังวาน ค่ายกลนั้นเปลี่ยนเป็นเส้นแสงพร่างพรายจำนวนนับไม่ถ้วน และกระจายไปทุกทิศทุกทาง!
รวมทั้งแรงกระแทกอันน่ากลัวที่แพร่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ!
จ้าวจื่อเฉิงรู้สึกแน่นหน้าอกและหนักหัวไหล่ ราวกับมีภูเขาสองลูกกดทับอยู่!
แต่ขณะนี้ เขาไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย และทำเพียงจ้องมองหรงซิวที่อยู่ตรงข้ามด้วยตกตะลึง
เป็นไปได้อย่างใด…
เขาทำเช่นนั้นได้อย่างใดกัน!
หรงซิวไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว เขาเพียงแค่เรียกสัตว์อสูรออกมา แล้วค่ายกลที่สร้างมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ก็ถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย!
แถมประโยคที่หรงซิวพูดก็ทำให้เขาอับอายมากกว่าเดิมอีก ใบหน้าหล่อเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง เขาแน่นหน้าอกจนแทบกระอักเลือด
เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ง่ายๆ ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเขาจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเอง…
เขาทั้งตกใจทั้งวิตกกังวล พลางตวัดตามองสิงโตขาวตรงหน้าหรงซิว
ขนของมันขาวราวหิมะ ดวงตาของมันเป็นสีฟ้าน้ำแข็ง และทั้งตัวของมันเต็มไปด้วยไอเย็นจัด มันยังคงอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ ทว่าบนพื้นที่มันเหยียบย่ำอยู่นั้น กลับถูกปกคลุมไปด้วยด้วยชั้นน้ำแข็งหมดแล้ว!
“นะ นี่คือสัตว์อสูรในพันธะสัญญาของเจ้าหรือ!?”
จ้าวจื่อเฉิงถามอย่างไม่เชื่อ
ทว่าเมื่อพิจารณาจากการระเบิดเมื่อครู่แล้ว แสดงว่าอย่างน้อยสิงโตขาวตัวนี้จะต้องอยู่ระดับแปดแน่ๆ และอาจสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ!
ไม่ใช่ว่าจ้าวจื่อเฉิงไม่เคยเห็นสัตว์อสูรระดับสูงเช่นนี้มาก่อน
ย้อนกลับไปในอดีต เขาเองก็เคยเห็นสัตว์อสูรระดับเก้าของฉู่หลิวเยว่อย่างไก่ฟ้าเก้าสีมาแล้ว
และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ระหว่างที่เขาเดินทางข้ามทวีป ก็บังเอิญโชคดีได้เจอพวกมันอีกสองครั้ง
แต่ไม่แน่ใจว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เพราะเหมือนว่าแรงกดดันและลมปราณของสิงโตขาวตัวนี้… จะมีมากกว่าสัตว์อสูรระดับเก้าที่เขาเคยเห็นอีก!
ทันทีที่ความคิดที่ไร้สาระและน่าสะพรึงกลัวนี้ผุดขึ้นมาในสมอง จ้าวจื่อเฉิงก็รีบระงับมันทันที
ไม่มีทาง!
สัญญาระหว่างสัตว์อสูรและมนุษย์ จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในตัวบุคคลนั้นๆ
โดยทั่วไปแล้ว สัตว์อสูรจะยอมทำสัญญาก็ต่อเมื่อผู้ฝึกตนผู้นั้นแข็งแกร่งพอ
ซึ่งถ้าสิงโตขาวตัวนี้ทำสัญญากับเขาจริงๆ ล่ะก็…
หมายความว่าความแข็งแกร่งของหรงซิวนั้น…
จ้าวจื่อเฉิงหลับตาลงทันที และพยายามจะกำจัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ ทว่าแผ่นหลังของเขากลับเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นชุ่มฉ่ำ
หรงซิวหรือ… เกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้แน่ๆ!
…
เดิมทีฉู่หลิวเยว่เฝ้ามองสถานการณ์ตรงหน้าโดยไม่คิดอันใดมาก แต่เมื่อเห็นเสวี่ยเสวี่ยออกมา นางก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เมื่อพิจารณาจากการโจมตีของเสวี่ยเสวี่ยเมื่อครู่แล้ว ความแข็งแกร่งของมันแทบจะเท่ากับสัตว์อสูรระดับเก้าอยู่รอมร่อ…
นางจำได้ว่าเมื่อนางพบมันครั้งแรก ถึงเสวี่ยเสวี่ยจะเป็นสัตว์อสูรระดับสูงก็จริง แต่ก็เป็นสัตว์อสูรระดับเจ็ดเท่านั้น แต่แล้วเหตุใดจู่ๆ มันถึงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมถึงเพียงนี้
ต้องรู้ว่าระดับของสัตว์อสูรนั้นถูกกำหนดโดยธรรมชาตินับตั้งแต่พวกมันถือกำเนิด และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถทะลวงขั้นพลังปราณและพัฒนาระดับของตัวมันเองได้อย่างต่อเนื่อง
และสัตว์อสูรเหล่านั้นล้วนมีสายเลือดที่แข็งแกร่งมาก!
ถึงแม้ว่าเสวี่ยเสวี่ยจะมีศักยภาพเช่นนั้นจริง แต่การเคลื่อนที่ทะลุมิติในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย…
ฉู่หลิวเยว่ลูบคางของตนพลางหรี่ตาลง
หรือว่าก่อนหน้านี้… เสวี่ยเสวี่ยจงใจซ่อนความแข็งแกร่งตัวเองไว้?
หรือจริงๆ แล้วจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เคยแสดงพลังที่แท้จริงออกมาเลย?
ขณะเดียวกันหรงซิวก็หัวเราะเบาๆ และพยักหน้า
“ถูกต้อง ในส่วนนี้ ข้าว่าข้าคู่ควรกับเยว่เอ๋อแล้ว”
…
ทุกคนล้วนเงียบกริบ!
พวกเขาจ้องหรงซิวด้วยความทึ่งและพูดไม่ออก
นี่เขาหมายความว่าอย่างใดกัน!?
ตอนนี้ผู้คนทั่วทั้งราชวงศ์เทียนลิ่งรู้กันทั้งบางว่า ฉู่หลิวเยว่ได้กลับมาจากความตายและขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ!
และข้างกายนางก็มีอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างกษายะหางวายุเป็นผู้ติดตาม!
ซึ่งการที่หรงซิวพูดแบบนี้ หมายความว่าสัตว์อสูรของเขาก็เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือ!?
ในที่สุดซั่งกวนโหยวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป พลันหันไปมองฉู่หลิวเยว่
“…เยว่เอ๋อ เขา… นี่… เขาเองก็ทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือ? เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยพูดถึงเลยเล่า?”
แค่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์สักตัว อีกฝ่ายก็ได้คะแนนขวัญใจประชาชนไปไม่รู้เท่าไรแล้ว!
เนื่องจากราชวงศ์เทียนลิ่งในปัจจุบันนั้น มีเพียงฉู่หลิวเยว่คนเดียวที่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครอง!
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน!
ขณะนี้สายตาของซั่งกวนโหยวยังคงจดจ่ออยู่ที่ลานฝึก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สังเกตปฏิกิริยาของฉู่หลิวเยว่ พลางลูบเคราตัวเองไปมา
“องค์ชายของแคว้นเย่าเฉินเก่งกล้าสามารถถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน… ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะมั่นใจขนาดนี้!”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
อันที่จริงนางเองก็อยากวิ่งไปถามเขาเหมือนกัน…
ทว่าทันใดนั้น ภาพนิมิตจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ปรากฏขึ้นในหัวของนาง
เมื่อก่อนนางรู้สึกแค่ว่าเสวี่ยเสวี่ยนั้นน่ารักและฉลาดหลักแหลม แต่นางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วย!?
และประเด็นก็คือเหมือนว่าในความทรงจำของนาง จะไม่มีข้อมูลที่สื่อถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์สิงโตขาวแบบนี้อยู่เลย…
นั่นหมายความว่าหรงซิวไม่เคยบอกเรื่องนี้กับนาง!
จู่ๆ หัวใจดวงน้อยก็พลันเต้นระรัว
แม้แต่ความแข็งแกร่งของเสวี่ยเสวี่ยยังน่าทึ่งขนาดนี้ แล้วหรงซิวเล่าจะขนาดไหน!?
…
จ้าวจื่อเฉิงเริ่มคิดหนัก เขาไม่คิดว่าหรงซิวจะเรียกอสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมาแบบนี้!
เมื่อมองไปที่สิงโตขาวตัวนั้น เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่ดี
อสูรศักดิ์สิทธิ์… เขาต้องเป็นแบบไหนกันถึงทำพันธสัญญากับมันได้!?
ไหนว่าหรงซิวเป็นเพียงองค์ชายธรรมดาทั่วไปมิใช่หรือ?
แล้วอสูรศักดิ์สิทธิ์มาได้อย่างใดกัน!?
จ้าวจื่อเฉิงรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าตอนนี้การเดิมพันได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้กันแล้ว จะให้หยุดตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้
เขาบังคับให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ และปรับลมปราณของตน ก่อนจะเริ่มสร้างค่ายกลขึ้นใหม่!
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าไม่ว่าจะใช้วิธีใด เขาก็สามารถชนะอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้พลังปราณทั้งหมด
แต่ตอนนี้ได้เวลาเอาจริงแล้ว!
…
ทว่าในขณะที่จ้าวจื่อเฉิงกำลังสร้างค่ายกลอันที่สอง ทันใดนั้นก็มีคนสองสามคนพุ่งแหวกอากาศเข้ามาจากด้านนอกประตูวัง!
“ฝ่าบาท!”
ฉู่หลิวเยว่กับซั่งกวนโหยวหันขวับไปมองทันที ก่อนจะเห็นผู้อาวุโสเฉินเค่อและคนอื่นๆ ที่มาด้วยกัน
ผู้อาวุโสเฉินเค่อร่อนลงแล้วรีบวิ่งไปหาฉู่หลิวเยว่และซั่งกวนโหยว พลันถามอย่างวิตกกังวล
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่นี่หรือ ไฉนเมื่อครู่ถึงได้เกิดคลื่นความผันผวนใหญ่โตเพียงนั้น??
สองสามวันก่อนเพิ่งมีเหตุการณ์สำคัญขึ้นในวัง ทำให้พวกเขายังคงรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องต่างๆ
ดังนั้นเมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว พวกเขาก็รีบบึ่งมาที่นี่ทันที โดยคิดว่าเกิดปัญหาอันใดขึ้นอีก
หลังจากถามไปเช่นนั้น ผู้อาวุโสเฉินเค่อและคนอื่นๆ ก็รีบมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
แต่ในลานฝึกศิลปะการต่อสู้ใกล้ๆ กันนั้น มีบุรุษสองคนกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่
“ไม่มีอันใดหรอก แค่เด็กสองคนทะเลาะกันเท่านั้น”
ซั่งกวนโหยวโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องตกใจไป
ผู้อาวุโสเฉินเค่อและคนอื่นๆ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่พอได้เห็นใบหน้าของทั้งสองคนชัดๆ แล้ว พวกเขาก็ถึงกับผงะ
นี่… นี่มันเรื่องอันใดกัน?
หนึ่งในนั้นคือจ้าวจื่อเฉิง และเมื่อพิจารณาจากลมปราณของเขาแล้ว แรงระเบิดเมื่อครู่ต้องมาจากของเขาแน่ๆ
ส่วนชายชุดขาวที่อยู่ตรงข้ามเขานั้น…
เดิมทีเหล่าผู้อาวุโสต้องการถามมันออกไป แต่ครั้นตระหนักได้ถึงบรรยากาศไม่ปกติ พวกเขาจึงปิดปากเงียบและมองไปที่ลานกว้างแทน
ขณะนี้ค่ายกลอันที่สองของจ้าวจื่อเฉิงเสร็จสมบูรณ์แล้ว!
เห็นได้ชัดว่าแรงกดดันของมันแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนมาก!
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และส่งพลังปราณทั้งหมดออกไปให้ค่ายกลของตน!
“ค่ายกลเอกสุริยัน!
•
•
————————————————————–