ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 920 ยอมจำนนหรือไม่
ตอนที่ 920 ยอมจำนนหรือไม่
เหนือค่ายกล มีแสงสว่างส่องประกายแพรวพราวราวกับดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นมา!
แสงสว่างอันพร่างพราวนั้นส่องพุ่งมาจากด้านบน ทำให้ผู้คนต่างเกือบลืมตาไม่ขึ้น!
อุณหภูมิภายในบริเวณรอบๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เกือบจะทุกคน ต่างรู้สึกปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกแผดเผา
สีหน้าของผู้อาวุโสเฉินเค่อเคร่งขรึมขึ้นทันตา ก่อนจะค่อยๆ สะบัดแขนเสื้อของเขา จากนั้นก็มีค่ายกลก่อตัวขึ้นรอบๆ สนามประลองอย่างว่องไว!
“สองคนนี้อยากจะทำลายที่นี่ให้พังไปเลยหรือไร…”
เขาพึมพำเบาๆ ในดวงตาของเขายังคงมีความประหลาดใจฉายชัดออกมาไม่ขาดสาย
ถึงแม้ว่าสนามประลองในตำหนักหยวนเหอจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยความประณีตและแข็งแกร่งทนทาน แต่ในตอนนี้จ้าวจื่อเฉิงได้ขึ้นสู่ปรมาจารย์ระดับแปดแล้ว การโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีในยามนี้ ทำให้พวกเขาประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
แล้วไหนจะยังชายชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านข้าง พร้อมสิงโตขาวคู่กายเขาอีก…
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักตัวตนของบุคคลท่านนี้ แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่อีกฝ่ายจัดการค่ายกลของจ้าวจื่อเฉิงได้อย่างง่ายดายแล้ว แสดงว่าเขาแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว!
หากสองคนนี้ต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็…
ซั่งกวนโหยวแอบพึมพำเบาๆ
ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเยว่เอ๋อแล้วว่าจะจัดการสองคนนี้อย่างใด?
อย่างใดก็ตาม ในตอนแรกเขากังวลว่าหรงซิวจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวจื่อเฉิง และถ้าเขาแพ้ก็จะยิ่งทำให้เยว่เอ๋อต้องอับอาย
แต่ตอนนี้… เขากลับรู้สึกว่าตัวเขากังวลเกินไปเสียอย่างนั้น
หรงซิวผู้นี้สามารถทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ หากเป็นเช่นนั้นไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะมีไพ่ลับก็เป็นได้!
แต่ว่า… องค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นเย่าเฉินจักมีฝีมือเก่งกาจเช่นนี้ได้อย่างใดกัน?
…
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่ายกล จึงทำให้พื้นที่แห่งนี้ค่อยๆ เกิดรอยไหม้เกรียมปรากฏขึ้นทีละรอย
และสามารถจินตนาการได้เลยว่ามันจะน่ากลัวขนาดไหน หากพลังทั้งหมดนั้นโจมตีไปที่ร่างของคนคนเดียว!
พลังภายในร่างของจ้าวจื่อเฉิงพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งและใบหน้าของเขาค่อยๆ ซีดลงเล็กน้อย
ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลปานกลางระดับแปด และยังเป็นค่ายกลระดับสูงสุดที่เขาสามารถสร้างขึ้นได้ในขณะนี้!
เขาใช้เวลาถึงสามปีเต็มในการศึกษาและทะลวงขั้นพลังเพื่อสร้างค่ายกลนี้!
ทว่าโดยปกติแล้วเวลาสู้กับใครสักคน เขาก็แทบจะไม่ได้ใช้ค่ายกลนี้สักเท่าไร
อาจเพราะด้วยพละกำลังของเขาในตอนนี้ ซึ่งหากยิ่งเขาเปิดใช้งานค่ายกลอย่างสมบูรณ์มากเท่าไรความเสียหายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
และหลังจากใช้ค่ายกลนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะแพ้หรือชนะ เขาจะไม่มีพลังเหลือไว้สู้กับใครแล้ว
แต่อีกนัยก็คือ… ถ้าค่ายกลนี้สำเร็จ เขาก็จะชนะ!
เขาพยายามประสานเส้นพลังปราณเส้นสุดท้ายของค่ายกลด้วยความยากลำบาก แล้วปล่อยพลังออกไปข้างหน้าเต็มแรง!
“ไปเลย…”
…
ลูกไฟสว่างพร่างพราวอันน่าพิศวงก้อนหนึ่งพุ่งตรงไปหาหรงซิวอย่างรวดเร็ว!
ไม่ว่าเจ้าก้อนนั้นพุ่งผ่านที่แห่งใด พื้นดินตรงนั้นก็จะไหม้เกรียมเป็นสีดำ แม้แต่ชั้นอากาศก็แทบจะลุกเป็นไฟ!
ระยะห่างระหว่างคนสองคนนั้นไม่ไกลมากนัก แต่การโจมตีของจ้าวจื่อเฉิงในครั้งนี้เต็มไปด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ดังนั้นเพียงพริบตาเดียว ค่ายกลนั้นก็พุ่งไปตรงหน้าหรงซิวที่อยู่ห่างออกไปเพียงห้าก้าว!
พลังทั้งหมดโหมกระหน่ำผสมผสานกันภายในค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งเกิดเป็นลมพายุขึ้น
ชายเสื้อผ้าของหรงซิวปลิวไปตามลม เผยให้เห็นเงาเส้นสีทองจางๆ ลอยอยู่ ราวกับแสงระยิบระยับตามระลอกคลื่นบนผิวน้ำบนทะเลสาบใสในคืนที่ดาวพร่างพราว
ในที่สุดตอนนี้… เขาก็ได้แสดงฝีมือแล้ว!
เขายกมือขวาขึ้น นิ้วเรียวยาวเห็นข้อนิ้วชัดเจนค่อยๆ วาดอันใดบางอย่างบนความว่างเปล่านั้นเบาๆ
ลำแสงสีเงินปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาเพียงเสี้ยววินาที
จากนั้นเขาก็ขยับนิ้วเล็กน้อยและลากเส้นแนวตั้งอีกครั้ง
ยามนี้พลังของเส้นสีเงินสองเส้น ได้ผสานกันกลายเป็นรูป “กากบาท” ต่อหน้าเขา
ภาพ “กากบาท” นี้ใหญ่กว่าฝ่ามือคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเทียบกับค่ายกลของจ้าวจื่อเฉิง มันช่างดูไร้ค่าเกินกว่าที่จะกล่าวถึงเสียอีก
จ้าวจื่อเฉิงจ้องมองอีกฝ่ายไม่ละสายตา
“เจ้าเพิ่งคิดจะสร้างค่ายกลในตอนนี้หรือ มันคงสายไปแล้วกระมัง?”
อันที่จริงหรงซิวก็แค่อวดดีเกินไปเท่านั้น!
หรงซิวชายตาขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากเรียวบางของเขาค่อยๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ข้าทำเสร็จแล้วต่างหาก”
จ้าวจื่อเฉิงตกตะลึง
“กระไรนะ?”
สำเร็จแล้วหรือ?
เพียงแค่รูป “กากบาท” เล็กๆ นั่นน่ะหรือ!?
มันจะถือว่าเป็นค่ายกลได้อย่างใดกัน!?
แม้แต่ปรมาจารย์ระดับหนึ่งก็ยังไม่นับว่าเจ้าขีดสองขีดที่เขียนง่ายๆ นี้เป็นค่ายกลเลย!
จะเห็นได้ว่าหรงซิวผู้นี้ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับปรมาจารย์เลยจริงๆ!
หากเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องสู้กับหรงซิวในฐานะปรมาจารย์แล้วกระมัง?
หรือเพราะเหนื่อยหน่ายแล้ว อีกฝ่ายถึงทำอันใดชวนโมโหเช่นนั้น?
แต่การแพ้ทั้งๆ แบบนี้มันจะไปมีประโยชน์อันใด?
จ้าวจื่อเฉิงรู้สึกระอาใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผู้ชายที่มีพละกำลังและนิสัยธรรมดาแบบนี้ ไม่ควรได้ยืนเคียงข้างนางเลยสักนิด!
“หากเจ้าเพียงต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่ง มันก็ยังมีวิธีอื่นอีกมากมายที่เจ้าสามารถ…”
จ้าวจื่อเฉิงพูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นหรงซิวหมุนข้อมือแล้วพลักรูป “กากบาท” ออกไป!
เมื่อมองจากระยะไกลแล้วจะเห็นแสงสว่างสดใสคล้ายผีเสื้อสีเงิน ที่กำลังโบยบินกลางเวหา
“ผีเสื้อ” ตัวนั้นค่อยๆ บินผ่านไปอย่างแผ่วเบา และในไม่ช้าก็มาถึงเบื้องหน้าค่ายกลขนาดใหญ่นั้น!
ก่อนจะทะลุผ่านมันไป!
กึก!
เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งปรากฎขึ้น!
จ้าวจื่อเฉิงพลันหยุดเสียงพูดคุยของตนลงทันที!
เขามองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง และสงสัยว่าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้น เป็นเพราะเขาตาฝาดไปเองหรือไม่
นั่นมัน… รูป “กากบาท” เล็กๆ รูปนั้น เมื่อครู่นี้มันทะลุผ่านค่ายกลของเขาไปใช่หรือไม่! ?
ภายในค่ายกลเอกสุริยันนั่นมีมวลพลังปราณมากมาย ซึ่งอันที่จริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ ที่ค่ายกลนั่นจะถูกทำลายง่ายๆ แบบนี้ แต่เจ้าสิ่งนั้นกลับ…
ขณะนี้ความกดดันอันน่าสะพรึงกลัวได้แผ่กระจายออกไป และทันใดนั้น มันก็ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าหรงซิวและห่างจากเขาเพียงสามก้าว!
ช่วงเวลาต่อมา แสงจากค่ายกลนั้นก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว แถมยังถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งหนาอีกหนึ่งชั้นด้วย!
ทันใดนั้น จ้าวจื่อเฉิงก็เริ่มกระสับกระส่ายร้อนรนไปทั้งใจ
“ไม่นะ…”
แกรก!
เสียงแตกร้าวอันคมชัดดังกึกก้องไปทั้งลาน!
จากนั้น ค่ายกลนั่นก็ได้แตกหักกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน!
พลันเลือนหายไปทันที!
…
“เอือก!”
จ้าวจื่อเฉิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายของเขาสั่นคลอนและกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก่อนจะเซถลาถอยหลังไปหนึ่งก้าวจนเกือบล้มลงพื้น
ลมปราณรอบตัวเขาอ่อนระทวยรวยรินลงอย่างเร็ว ราวกับพละกำลังและจิตวิญญาณในกายของเขา ถูกดูดกลืนออกไปจนหมดในชั่วพริบตา
และเหลือเพียงดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความหวาดผวา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของเขาในขณะนี้
“จะ… เจ้า…”
เขาอ้าปากด้วยความยากลำบาก แต่กลับรู้สึกได้แค่กลิ่นสนิมเหล็กภายในปากของเขา
ทว่าไม่ใช่แค่เพียงเขาเท่านั้น ทุกคนที่อยู่ในสนามแห่งนี้ล้วนตกตะลึงไปตามๆ กัน!
เมื่อครู่นี้… หรงซิวเอาชนะจ่าวจื่อเฉิงได้โดยอาศัยค่ายกลรูป “กากบาท” อันเล็กๆ นี่น่ะหรือ!?
ฟิ้ว!
สัญลักษณ์รูป “กากบาท” นั่นบินวนเป็นครึ่งวงกลมอยู่ในอากาศ จากนั้นมันก็ได้เปลี่ยนทิศทางเพื่อบินกลับไป หรงซิวยกมือขึ้น นิ้วเรียวสวยของเขาคว้าจับมันไว้อย่างง่ายดาย
กระบวนการทั้งหมดนั้น ราวกับว่าเขาเพิ่งปาลูกดอกออกไปด้วยท่าทีสบายๆ และคล่องแคล่วว่องไว
เกิดความเงียบสงัดขึ้นอีกครั้ง!
หรงซิวมองไปที่จ้าวจื่อเฉิง ราวกับว่าไม่ได้รับรู้ถึงปฏิกิริยาของผู้คนรอบตัวเขา
“จะยอมแพ้หรือไม่?”
น้ำเสียงเบาบางและสีหน้าอันนิ่งสงบ
ทว่าเมื่อมองไปยังดวงตาอันสง่างามคู่นั้น ก็จักเห็นได้ว่ามันแอบซ่อนคลื่นลมที่พัดกระหน่ำนับไม่ถ้วนอยู่ภายในนั้น
ภายในใจของจ้าวจื่อเฉิงสั่นระรัวอย่างรุนแรง
กระทั่งตอนนี้ ในที่สุดเขาก็มั่นใจแล้วว่า…หรงซิวแข็งแกร่งกว่าเขายิ่งนัก!
คนอื่นๆ อาจจะยังไม่รู้ แต่เมื่อครู่นี้ ขณะที่ค่ายกลของเขาระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นั้น เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มิมีผู้ใดเทียบได้อย่างชัดเจน และมันเริ่มต้นจากแค่ “กากบาท” อันเดียว แล้วแผ่กระจายออกไป!
พร้อมการบีบบังคับอันไร้เทียมทานที่แผ่ออกมาจากค่ายกล
…เจ้าเส้นนั้นคือค่ายกลของจริง!
หากเดาไม่ผิด ภายในแสงสว่างทั้งสองเส้นนั้นแฝงไปด้วยค่ายกลระดับที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว!
ทว่าหรงซิวแค่ไม่ได้เปิดเผยมันออกมา!
แต่แค่นั้นก็สามารถล้มเขาได้แล้ว!
จ้าวจื่อเฉิงหลับตาลง
“ข้า… ยอมแพ้!”