ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 925 บุคคลที่อยู่เบื้องหลัง
ตอนที่ 925 บุคคลที่อยู่เบื้องหลัง
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ ร่อนลงมาอย่างแช่มช้างดงามประหนึ่งนกนางแอ่น พลางมองไปยังหรงซิวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ครั้นได้ยินเสียงแหย่เย้าของเขา นางก็เอ็ดกลับไปเบาๆ
“เจ้าสามารถป้องกันการโจมตีของข้าได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องออกแรงด้วยซ้ำ พูดเช่นนั้นมันไม่ดูเกินจริงไปหน่อยหรือ?”
ตอนนี้หรงซิวไม่ได้ตอบโต้นาง แต่ทำเพียงป้องกันเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังรู้สึกได้ว่าขอบเขตพลังปราณของเขาเหนือกว่านางมาก!
“การเป็นคู่ฝึกให้เยว่เอ๋อจักต้องแข็งแกร่งมากๆ มิเช่นนั้นหากถูกเล่นงานจนร่วงจะทำอย่างใด?”
หรงซิวยกมือขึ้นพลางกระดิกนิ้วแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“จะเข้ามาหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันกรอด พลังปราณดั้งเดิมในกายของนางพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง ลมปราณรอบตัวพุ่งกระฉูดขึ้นสู่จุดสูงสุดทันที!
เหนือปลายนิ้ว แสงดาวดวงน้อยค่อยๆ จุดประกายขึ้นมา
“เข้ามา!”
“นิภาปลายนิ้ว!”
การโจมตีเพียงเล็กน้อยไม่สามารถทำอันใดหรงซิวได้ ยามนี้นางจึงต้องใส่ให้สุดกำลัง!
แววตาของหรงซิวแฝงไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
หากต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วและมั่นคงล่ะก็ ต้องหัดท้าทายขีดจำกัดของตัวเองให้ได้
และโชคดีที่เขารู้ว่าขีดจำกัดของนางอยู่ที่ไหน
ดังนั้นการที่เขามาเป็นผู้ช่วยนาง จึงเป็นอันใดที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
ครู่ต่อมา ดอกไม้ไฟสีทองกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากฝ่ามือของหรงซิว!
…
หลังจากที่ผู้อาวุโสเฉินเค่อกลับไป เขาก็ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะไปพบซั่งกวนโหยวอีกครั้ง
เมื่อมาถึงตำหนักหยวนเหอ ซั่งกวนโหยวกำลังอ่านตำราอยู่ในห้อง แต่เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว เขาก็เงยหน้าขึ้น
“สุดท้ายท่านก็มา”
บนใบหน้าของซั่งกวนโหยวไร้ซึ่งความตกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาคาดการณ์ไว้แล้ว
“เชิญนั่ง…”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในราชวงศ์มานานถึงสามรัชกาล ด้วยสถานะอันไม่ธรรมดานี่ แม้แต่ซั่งกวนโหยวก็ยังต้องสุภาพกับเขา
และเมื่อเห็นปฏิกิริยาของซั่งกวนโหยว ผู้อาวุโสเฉินเค่อก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคิดแบบเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงนั่งลงและเข้าสู่เนื้อหาโดยตรง
“ดูเหมือนว่าฝ่าบาทเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกันสินะ”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดเข้าประเด็น
“ตัวตนของหรงซิวผู้นั้น… เกรงว่ามันจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด…”
เมื่อดูจากความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาเมื่อครู่ก่อนแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างใด ที่องค์ชายธรรมดาๆ จากแคว้นเย่าเฉินจะครอบครองขุมพลังเช่นนั้นได้?
แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์และความสามารถ แต่หากไร้ซึ่งทรัพยากรและโอกาส เขาย่อมไม่สามารถไต่เต้ามาจนถึงระดับในปัจจุบันได้แน่นอน
“ข้าเคยเห็นบิดาของเขามาก่อน”
ซั่งกวนโหยววางตำราในมือลง พลันโพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณสมบัติปานกลาง ฝีมือธรรมดาไม่โดดเด่น”
คนเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะโชคดีให้กำเนิดเด็กที่มีพรสวรรค์ออกมา แต่ก็ยังดูเกินความเป็นจริงไปมาก
เพราะหรงซิวได้ก้าวข้ามระดับปรมาจารย์ไปมากแล้ว
“ท่านจะบอกว่า…” ผู้อาวุโสเฉินเค่องุนงงระคนไม่แน่ใจ
“ข้ารู้สึกเหมือนเคยเห็นลมปราณเช่นเขาจากที่ไหนสักแห่ง”
ซั่งกวนโหยวนวดขมับของตนไปมา
“แต่มันนานจนข้าจำไม่ได้แล้ว”
แต่อย่างใดเสีย การพบกันครั้งแรกของเขากับหรงซิวนั้น ก็สร้างความประทับใจดีๆ ให้เขาได้ไม่น้อย
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้ซักไซ้อีกฝ่ายมากนัก และปล่อยให้เยว่เอ๋อถามเขาเอง
“ผู้อาวุโสเฉินเค่อ ท่านคิดว่าอย่างใดหรือ?”
ในเมื่อมาถึงตำหนัก แสดงว่าเขาย่อมต้องการพูดคุยอันใดบางอย่าง
ผู้อาวุโสเฉินเค่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ฝ่าบาท ข้าผู้นี้สงสัยว่า…หรงซิวนั้นอาจจะเป็นคนของ ‘ฝ่ายนั้น’ ก็ได้”
ซั่งกวนโหยวชะงักไปนิด พลันตวัดตาขึ้นมองเขา พร้อมเส้นแสงคมกริบที่แล่นผ่านดวงตาของเขา
“ผู้อาวุโสเฉินเค่อเองก็คิดเช่นนั้นหรือ?”
“… ปรมาจารย์ขั้นที่เก้านั้นแข็งแกร่งมาก พอๆ กับจอมยุทธ์ระดับเก้าเลยก็ว่าได้ และเหลือเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จักบรรลุเป้าหมาย! ในราชวงศ์เทียนลิ่งเองก็อาจมีผู้ฝึกฝนเช่นนี้อยู่บ้างประปราย ทว่าหรงซิวกลับทะลวงขอบเขตจนขึ้นมาสู่ขั้นนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย… นอกจาก ‘ฝ่ายนั้น’ แล้ว จักมีผู้ใดที่สามารถปลุกปั้นเลี้ยงดูมนุษย์ประเภทนี้ได้อีก?”
ซั่งกวนโหยวลูบเคราของเขาพลางจินตนาการไปด้วย
“ข้าเองก็แอบคิดเช่นนี้ ในอดีตเย่วเอ๋อเกิดมาพร้อมชีพจรเทียนจิง นางคืออัจฉริยะที่พันปีมีหน ภายในระยะเวลาสั้นๆ นางสามารถทะลวงขอบเขตในระดับที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้ ทว่าหรงซิว…”
เขากลับจับทางอีกฝ่ายไม่ออก
“องค์ไท่จู่น่าจะรู้รายละเอียดเรื่องพวกนี้มิใช่หรือ?”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อกล่าวด้วยท่าทางหนักแน่น
“แต่เหมือนว่าองค์ไท่จู่จะไม่เคยคุยเรื่องนี้กับนาง…”
“องค์ไท่จู่ย่อมพิจารณาไว้แล้ว หรือบางทีเขาอาจจะบอกเยว่เอ๋อไปแล้วก็ได้”
ซั่งกวนโหยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ตอนนี้เยว่เอ๋อได้ขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิแล้ว ในเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ยุติลงแล้ว เช่นนั้นข้าจะหาเวลาพูดคุยกับนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อพยักหน้าพลางเอ่ยถามเสียงเบาอย่างใคร่รู้
“ถ้าหรงซิวเป็นคนของ ‘ฝ่ายนั้น’ จริงๆ เหตุใดเขาจึงไปเกิดเป็นองค์ชายของเย่าเฉินกัน… ครั้นองค์หญิงใหญ่ถูกสังหาร พระนางเองก็ไปเกิดใหม่ที่นั่น… มันไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ?”
ถึงอยากจะถามมากกว่านี้ แต่ผู้อาวุโสเฉินเค่อก็ไม่ได้พูดต่อ
ถ้าตัวตนที่แท้จริงของหรงซิวเป็นอย่างที่พวกเขาคิดจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้น… การอภิเษกสมรสในครานี้ ผู้ใดจักมีสถานะสูงส่งกว่ากัน คงยากที่จะตัดสินได้เสียแล้ว!
ซั่งกวนโหยวจมอยู่ในความคิดของตน และโบกมืออีกครั้ง
“เอาล่ะ เพียงแค่เยว่เอ๋อยอมรับเขา และเขายอมรับเยว่เอ๋อก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือก็อย่าเพิ่งกังวลไป! ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าขอให้ท่านตรวจสอบเจียงอวี่เฉิง แล้วท่านพบอันใดบ้างหรือไม่?”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อยืดหลังนั่งตัวตรง แลดูจริงจังกว่าเดิม
“อย่าบอกนะท่านพบสิ่งผิดปกติจริงๆ”
“เจียงอวี่เฉิง…ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขาจะแอบติดต่อกับใครบางคน อีกทั้งเขายังเชื่อฟังและทำสิ่งต่างๆ ตามความต้องการของอีกฝ่ายด้วย แต่เพราะเขาแอบกระทำมันอย่างลับๆ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงยังไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร”
ซั่งกวนโหยวขึ้นเสียงอย่างเย็นชา
“ท่านจะบอกว่ามีคนชักใยอยู่เบื้องหลังเขาอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ แล้วก็…”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยุดพูด
“อันใดอีก?” ซั่งกวนโหยวถามต่อ
“แล้วก็… เหมือนว่ามู่ชิงเห่อจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”
ซั่งกวนโหยวขมวดคิ้วแน่น
“เขาเป็นคนของเจียงอวี่เฉิง แน่นอนว่าเขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง”
“ไม่ใช่”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อส่ายหน้า
“มู่ชิงเห่อเป็นเพียงลูกน้องของเจียงอวี่เฉิงเท่านั้น ตามหลักแล้วเขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะติดต่อกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้โดยตรง แต่ทว่า… ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น”
“ดูเหมือนว่าเขาจะแอบติดต่อกับบุคคลที่อยู่เบื้องหลังโดยมิให้เจียงอวี่เฉิงรู้!”