ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 926 ครั้งหน้าเจ้าต้องชนะข้าได้แน่นอน
ตอนที่ 926 ครั้งหน้าเจ้าต้องชนะข้าได้แน่นอน
“จริงหรือ?”
สิ่งนี้ทำเอาซั่งกวนโหยวถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงค่อยๆ พูดออกมาว่า
“หากเป็นเช่นนั้น มู่ชิงเห่อก็อาจไม่ใช่คนของเจียงอวี่เฉิงเสียทีเดียว…”
แต่เขาจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออันใดกัน?
เมื่อเยว่เอ๋อถามมู่ชิงเห่อว่าเขาทรยศนางหรือไม่ มู่ชิงเห่อก็ยอมรับออกมาตรงๆ โดยไม่ปฏิเสธสักคำ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้สรรหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองแต่อย่างใด
มู่ชิงเห่อได้รับการฝึกฝนและแรงสนับสนุนส่วนตัวจากเยว่เอ๋อ ดังนั้นเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อนางจึงลึกซึ้งกว่าคนอื่นมาก
และสิ่งที่เขาทำนั้น ส่งผลให้เยว่เอ๋อเจ็บปวดกับการถูกหักหลังในครานี้มากกว่าคนอื่นๆ หลายเท่า
หากอิงตามที่มู่ชิงเห่อกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว มันชัดเจนว่าเขาเป็นคนของเจียงอวี่เฉิงตั้งแต่แรกเริ่ม
แต่หากดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว มันกลับยุ่งเหยิงยุ่งยากไปหมด…
และถ้าเป็นแค่เรื่องภายใน แล้วเหตุใดเขาถึงต้องทำถึงขั้นนี้ด้วย?
อย่างกับว่า… ถูกบังคับให้น้อมรับความตายอย่างนั้นแหละ?
“มู่ชิงเห่อยังถูกคุมตัวอยู่ในจวนมู่ใช่หรือไม่?”
“ใช่”
ซั่งกวนโหยวยืนขึ้น ทว่าเพียงก้าวไปข้างหน้าได้สองก้าว กลับจำต้องหยุดฝีเท้าลง
เนื่องจากคำถามที่ดูลังเลของผู้อาวุโสเฉินเค่อ
“ฝ่าบาทต้องการเสด็จไปจวนมู่ เพื่อถามเขาด้วยตัวเองหรือ?”
ซั่งกวนโหยวส่ายศีรษะแล้วเอามือไพล่หลัง
“ไม่หรอก เขาไม่มีวันบอกเราแน่นอน และไม่ว่าจะใช้ใครถาม เขาก็ไม่ตอบหรอก ไว้รอมีโอกาสข้าจะไปคุยกับเยว่เอ๋อก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเรื่องนี้ภายหลัง”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อพยักหน้าและถามอีกครั้ง
“แล้วทางหรงซิว…”
“รอดูสถานการณ์ไปก่อน”
“ตกลง”
…
ณ จวนตระกูลมู่
ลานกว้างภายในจวนหลังใหญ่มีเพียงความว่างเปล่าเสมือนถูกทิ้งร้าง นอกจากทหารม้าทมิฬสองสามนายที่คอยเดินตรวจการณ์แล้ว ก็ไม่มีใครอื่นย่างกรายเข้ามาอีก
เจี่ยนเฟิงฉือยืนอยู่ที่ประตู และมองภาพนี้ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน พลางถอนหายใจยาวเหยียดอย่างอดไม่ได้
เห้อ…
ถึงเมื่อก่อนจะมีทหารม้าทมิฬอาศัยอยู่ในจวนมู่เฉกเช่นปัจจุบัน แต่บรรยากาศในตอนนั้นค่อนข้างแตกต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก
เมื่อก่อนจวนแห่งนี้จักมีชีวิตชีวาน่าอภิรมย์ ทว่าตอนนี้มันกลับ…ไม่ต่างอันใดจากคุก
โดยปกติแล้วคนอย่างเขานั้นมักจะตีตัวออกห่างสถานที่แบบนี้ แต่ในตอนนี้เขากลับต้องมาติดอยู่ที่นี่
“เจ้ามาอีกแล้วหรือ เจี่ยนเฟิงฉือ?”
จู่ๆ ซื่อจิงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็วประหนึ่งลำแสง
เมื่อสลัดคราบพี่เหลยสี่ออก ซื่อจิงในยามนี้ล้วนดูสง่างามกว่าเมื่อก่อนมาก แถมยังผอมลงกว่าเดิมด้วย
แต่ก็ยังดูแข็งแรงและแข็งแกร่งอย่างมาก
เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งและนิสัยจอมเผด็จการของเขาแล้ว ก็สามารถสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแก่ผู้คนรอบตัวเขาได้ไม่น้อยเลย
เจี่ยนเฟิงฉือกระแอมไอ
“มาครั้งสองครั้งน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่นี่เจ้าเล่นมาเสียทุกวี่วัน…”
ซื่อจิงมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย เขาขบเม้มริมฝีปากเบาๆ พลันโพล่งถามสิ่งที่สงสัยในใจออกไป
“เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่?”
เจี่ยนเฟิงฉือยอมจำนนต่อชะตากรรมของตน และเดินเข้าไปข้างใน
“วันนี้เขาก็เอาแต่อยู่ในห้องไม่ทำอันใดเลยหรือ?”
“ใช่!”
ซื่อจิงยักไหล่เบาๆ
“เจ้าไปดูเองแล้วกัน”
นับตั้งแต่วันที่ฝ่าบาทเสด็จมาครั้งนั้น ทั้งสามคนก็ได้พูดคุยกันอยู่ในห้องพักหนึ่ง
และไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอันใดกัน ทว่าหลังจากนั้นปฏิกิริยาของทั้งสามคนก็ดูแปลกไป
ฝ่าบาทนั้นดูล่องลอยราวกับคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่หลังจากนางเดินออกไป เจี่ยนเฟิงฉือก็ดุด่าสาปแช่งมู่ชิงเห่ออย่างเกรี้ยวกราดอยู่นาน ถึงครึ่งชั่วยามเลยทีเดียว
เขาไม่ได้เจาะจงด่าอันใดเป็นพิเศษ แต่ในใจก็คิดว่าอีกฝ่ายนั้น “ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี”
ส่วนมู่ชิงเห่อ… นับตั้งแต่วันนั้นเขาก็อยู่แต่ในห้องและไม่ออกมาอีกเลย
เดิมทีฝ่าบาทขังเขาไว้ในจวนมู่และไม่ได้จำกัดเสรีภาพของเขาขณะอยู่ในนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเขาเองที่ไม่อยากออกมา
หลังจากนั้น เจี่ยนเฟิงฉือก็เวียนแวะมาทุกวัน
ราวกับไม่มีงานการทำอย่างใดอย่างนั้น
มู่ชิงเห่อนั้นเป็นคนที่มีทิฐิสูง ดื้อด้านและต้องใช้ไม้อ่อนเข้าหา
ซื่อจิงกอดอกและส่ายหัว
ความจริงแล้วเขาก็ยังไม่เข้าใจว่า ในเมื่อองค์หญิงอุทิศตนเพื่อมู่ชิงเห่อเพียงนี้ และมันแทบมากกว่าที่สิบสามผู้พิทักษ์เยว่ได้รับอีก แต่แล้วเหตุใดมู่ชิงเห่อ เจ้าหมาป่าตาขาวตัวนี้ถึงได้กล้าทรยศพระนางเช่นนั้น?
ไหนจะเรื่องที่ฝ่าบาทยังไว้ชีวิตเขาจนถึงตอนนี้อีก…
ซื่อจิงครุ่นคิดพลางควงค้อนในมือแล้วเดินออกไป
…
ประตูห้องถูกปลดล็อค เจี่ยนเฟิงฉือผลักประตูเข้าไปอย่างว่องไว ก่อนจะเห็นมู่ชิงเห่อนั่งอยู่ที่นั่น
ทว่าถึงได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว แต่เขาก็ไม่ตอบสนอง ราวกับไม่สนใจใยดี
พอเจี่ยนเฟิงฉือเห็นแบบนั้น ก็ถึงกลับโกรธจัด
เขายืนพิงกรอบประตูแล้วตะเบงเสียงแข็ง
“เจ้าคิดจะทำเช่นนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรือไร?”
มู่ชิงเห่อไม่ตอบ
“จงใจพูดแบบนั้นให้นางโกรธจนหนีไป เจ้ามีความสุขแล้วใช่หรือไม่?”
เจี่ยนเฟิงฉือขมวดคิ้วแน่น เรียวคิ้วและดวงตาพราวเสน่ห์ประสาคนเจ้าสำราญ ดูเย็นชาราวถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งหนาและเย็นยะเยือก
ทว่าในที่สุดมู่ชิงเห่อก็ตอบสนอง
“สิ่งที่ข้าพูดไปล้วนเป็นความจริง ในเมื่อทำผิด ก็สมควรถูกลงโทษ”
เจี่ยนเฟิงฉือขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เจ้าโง่!”
“ตอนนี้เจ้าควรจะขอให้ข้าช่วยหาหลักฐานให้นางสิฟระ?!”
เจี่ยนเฟิงฉือก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและคว้าคอเสื้อของมู่ชิงเห่อด้วยความโกรธ
“เชื่อหรือไม่ ข้าจะไปบอกเรื่องทั้งหมดนี้ให้นางรู้เดี๋ยวนี้เลย!”
มู่ชิงเห่อขมวดคิ้วแล้วปัดมือเขาออก
“ถ้าจะพูดก็ตามใจเจ้า คิดว่าเจ้าจะพิสูจน์ได้หรือ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวกับข้า?”
“เจ้า…”
“นางจะฆ่าข้าหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ตอนนี้ความจริงถูกเปิดเผยแล้ว มันก็ดีแล้วมิใช่หรือ?”
“แต่ข้าเห็นว่าเจ้าเป็น…”
เจี่ยนเฟิงฉือไม่อยากได้ยินคำพูดเช่นนี้ของอีกฝ่าย และวางแผนจะทำอันใดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ดันเหลือบไปเห็นคราบเลือดที่หลังมือของเขาเสียก่อน
ร่างทั้งร่างพลันชะงัก ก่อนจะหรี่ตามองอย่างจับสังเกต
ตัวเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ และเมื่อครู่มีแค่มู่ชิงเห่อที่ปัดมือเขาออก…
นี่คือเลือดของมู่ชิงเห่อ!
สีหน้าของเจี่ยนเฟิงฉือเปลี่ยนไปทันที
“เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า?”
เมื่อเห็นเลือดที่เปื้อนบนหลังมือตน มู่ชิงเห่อก็พลันแอบขมวดคิ้ว
เขาประมาทอีกแล้ว…
“ไม่มีอันใด”
มู่ชิงเห่อตอบกลับเสียงเรียบราวกับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดออกจากมือ
แต่เศษผ้าสีขาวผืนนั้นกลับถูกย้อมด้วยเลือดอย่างรวดเร็ว!
หางตาของเจี่ยนเฟิงฉือกระตุกอย่างแรง
มู่ชิงเห่อเลือดออกเยอะขนาดนี้… ชัดแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ ด้วย!
เขาย่ำเท้าไปข้างหน้าหมายจะยื่นมือออกไปจับตัวมู่ชิงเห่อ
แต่อีกฝ่ายกลับผละตัวออก!
แต่เพราะรีบหลบเกินไป ทำให้เท้าสองข้างซวนเซเสียสมดุล จนเขาล้มกระแทกลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง
มู่ชิงเห่อพยายามพยุงตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก ใบหน้าของเขาซีดเซียวและมีเลือดไหลซึมออกมาบริเวณมุมปาก!
เจี่ยนเฟิงฉือตกใจยิ่งกว่าเดิม
“นี่เจ้า…”
โครม!
ทว่ามู่ชิงเห่อกลับเป็นลมหมดสติและล้มลงกับพื้น!
…
ณ ตำหนักเจาเยว่
เวลาผ่านไปหลายเค่อ
และกว่าจะรู้ตัวก็เป็นเวลาเย็นแล้ว
พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงสู่พสุธา และก่อให้เกิดแสงสะท้อนเป็นประกายสวยงามลงบนก้อนเมฆหนาทึบ
ในที่สุด “การสนทนา” ระหว่างฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวก็สิ้นสุดลง!
เสื้อผ้าของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ พละกำลังที่สั่งสมมานั้นแทบจะหมดสิ้น
ต่างจากหรงซิวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ที่แม้ว่าเสื้อผ้าของเขาจะยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
ราวกับว่ามันเป็นเพียงการเดินเล่นสบายๆ รอบลานกว้าง มิใช่การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่หอบหนัก พลางมองไปหรงซิว แล้วกัดฟันกรอดอย่างอดไม่ได้
ผู้ชายคนนี้ มักจะกดความแข็งแกร่งทั้งหมดของตัวเองไว้ แล้วปล่อยออกมาใช้ในระดับที่มากกว่านางแค่นิดเดียวเท่านั้น!
ช่างน่าโมโหเสียจริง!
“เจ้า…เจ้าเก็บซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้มากเพียงนี้เลย…”
นางคิดจะก้าวไปด้านหน้า ทว่าเพียงแค่หมุนตัว ร่างทั้งร่างก็อ่อนยวบยาบจนแทบจะหน้าคะมำ
หรงซิวพุ่งไปข้างหน้าอย่างไว แล้วพยุงกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขา พลันยกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะเบาๆ
“ใช่ที่ไหนกัน ครั้งนี้ข้าแค่นำเยว่เอ๋อไปนิดเดียวเอง ครั้งหน้าเจ้าจะต้องชนะแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่จับยึดใบหน้าของเขาไว้ แล้วตะโกนอย่างแน่วแน่ว่า
“ครั้งหน้ายามประลองชิงอวิ๋น ข้าจักต้องชนะเจ้าให้ได้!”