ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 949 เช่นนี้ก็ดีมาก ตอนที่ 950 ไม่เข้าไปหรือ
ตอนที่ 949 เช่นนี้ก็ดีมาก / ตอนที่ 950 ไม่เข้าไปหรือ
ตอนที่ 949 เช่นนี้ก็ดีมาก
เสียงของฉู่หลิวเยว่เย็นชาและน่าเกรงขาม ท่าทางเคร่งเครียด พูดชัดถ้อยชัดคำ เสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรง!
เสียงนั้นดังกังวานเข้าโสตประสาทของทุกคน ราวกับเป็นการตบหน้าถานไถรั่วหลีอย่างแรง
ใบหน้าถานไถรั่วหลีขึ้นสีแดงก่ำ
นางไม่เคยได้รับความอัปยศต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้เลย!
“ซั่งกวนเยว่! เจ้า…”
“ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วว่า พระราชทินนามของข้าคือ หยวนซี เหตุใดองค์หญิงใหญ่ถานไถถึงลืมเสียแล้วล่ะ?”
ฉู่หลิวเยว่พูดขัดจังหวะของถานไถรั่วหลีด้วยท่าทางที่เกรงขามยิ่งขึ้น!
เดิมทีสถานะของนางก็สูงส่งมาตลอด และตอนนี้นางก็ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแล้ว ความเจ้ายศเจ้าอย่างก็ฝังเข้ากระดูกมากยิ่งขึ้น
และในตอนนี้นางก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองต่อไปได้อีกแล้ว ลมปราณทั่วทั้งร่างของนางกลายเป็นภูเขาที่ไร้รูปร่าง และภูเขาลูกนั้นกำลังกดทับอยู่บนไหล่ของถานไถรั่วหลี!
ถานไถรั่วหลีรู้สึกเพียงบริเวณไหล่ทั้งสองข้างนั้นหนักอึ้ง ใบหน้าซีดไร้สีทันที!
“บังอาจ!”
เมื่อถานไถเฉินเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักของตนเองโดนรังแก เขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เขาโคจรพลังดั้งเดิมเอาไว้ที่ฝ่ามือ จากนั้นก็ปล่อยออกไปอย่างรุนแรง!
พลังดั้งเดิมสีส้มกลายร่างเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ พุ่งตรงไปทางฉู่หลิวเยว่!
ทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรงขึ้นภายในท้องพระโรง!
ผมสีดำของฉู่หลิวเยว่โบกสะบัด ชายเสื้อของนางพลิ้วไสว!
นางจ้องไปที่ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่พุ่งมาตรงหน้านางตาเขม็ง นางนั่งตรงอยู่กับที่ อีกทั้งใบหน้ายังไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย!
ในตอนนั้นเองผู้อาวุโสเฉินเค่อกำลังจะลงมือ
แต่ลำแสงของใบมีดสีขาวก็พัดผ่านแหวกอากาศพุ่งไปทางด้านหน้า!
ตู้ม!
เสียงของอันใดบางอย่างแตกหักออกมา คาดไม่ถึงว่าใบมีดสีขาวนั้นจะปักเข้าไปตรงกลางฝ่ามือทันที!
ตู้ม!
ฝ่ามือนั้นพลันสลายไป พลังดั้งเดิมจากฝ่ามือนั้นก็แตกกระจายออกไปสี่ทิศแปดทาง!
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง ม่านพลังสีใสก็ปรากฏขึ้นมาและครอบทุกอย่างเอาไว้อย่างรวดเร็ว!
แต่ว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น พลังที่รุนแรงและบ้าคลั่งนั้นก็สลายหายไป!
ภายในท้องพระโรงกลับคืนสภาพปกติอีกครั้ง
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นมันเกิดขึ้นเร็วมาก ทุกคนยังไม่ทันได้มองอย่างชัดเจนเลยว่ามันเกิดอันใดขึ้น แต่ว่าเรื่องก็จบลงแล้ว รอจนกระทั่งความผันผวนทุกอย่างจบลง หลายคนจึงมองไปทางลำแสงใบมีดสีขาวนั้นด้วยความมึนงง แต่ในตอนนั้นกลับพบว่ามันเป็นตะเกียบสีเงินข้างหนึ่ง!?
พรึ่บ!
สิ่งนั้นกลายเป็นลำแสงอีกครั้ง จากนั้นก็บินกลับสู่ที่เดิมอย่างรวดเร็ว!
น้ำเสียงที่แหบแห้งดังขึ้นมา
“ถานไถเฉิน เจ้าไปเอาความกล้ามาจากที่ไหน ถึงได้กล้าทำเรื่องป่าเถื่อนที่นี่เช่นนี้?”
ถานไถเฉินตกใจอย่างมาก และค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเห็นว่า จวินจิ่วชิงเหยียดตัวขึ้นมานั่งหลังตรงตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ มือข้างหนึ่งของเขากำลังถือตะเกียบข้างเมื่อครู่นี้อยู่!
คาดไม่ถึงว่าจวินจิ่วชิงจะเป็นคนลงมือ!
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ถานไถเฉินก็ทั้งตกใจและหวาดกลัวอย่างมาก
ที่ตกใจก็คือ เขาคิดไม่ถึงว่าจวินจิ่วชิงจะลงมือโดยตรงเช่นนี้ และไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย!
ส่วนที่หวาดกลัวก็คือดูจากฝีมือของจวินจิ่วชิงเมื่อครู่นี้แล้ว อีกฝ่ายนั้นเหนือกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด!
หากเมื่อครู่จวินจิ่วชิงออกมาแรงมากกว่าอีกนิด เกรงว่า…
ในตอนนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดขาวมากขึ้นอีกหลายส่วน!
ในขณะนี้ เขาไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าจวินจิ่วชิงนั้นทำไปเพราะปกป้องการคุกคามราชวงศ์เป่ยหมิง หรือว่า…ช่วยเหลือซั่งกวนเยว่ผู้นั้น!?
หากเป็นอย่างแรกนั้นก็แล้วไปเถอะ เขาได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดี แต่หากเป็นอย่างหลัง…นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาได้ล่วงเกินจวินจิ่วชิงแล้วหรอกหรือ?
“ขออภัยไท่จือ เมื่อครู่ข้าเพิ่งแค่เห็นว่าลูกสาวของข้านั้นถูกรังแก จึงหุนหันพลันแล่นไป…และลืมไปว่าที่นี่คือท้องพระโรง…”
ถานไถเฉินพูดขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ และอยากจะอธิบายเรื่องราวของตนเอง
“ใครรังแกลูกสาวของเจ้า ข้านั้นไม่สงสัย แต่เมื่อเจ้าลงมือที่นี่ นั่นเป็นสิ่งไม่บังควร!”
จวินจิ่วชิงขี้เกียจจะฟังเขาพรรณายืดเยื้อ ดังนั้นจึงขัดจังหวะคำพูดของเขา
ถานไถเฉินรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง
ถ้ารู้เช่นนี้…เมื่อครู่ข้าไม่ควรลงมือโดยตรงเช่นนี้!
แม้ว่าซั่งกวนเยว่จะกดดันเขามากขนาดนี้ ขอเพียงเขาแค่สงบนิ่งต่อไป ก็ไม่มีทางกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นอย่างแน่นอน
แต่เมื่อครู่เขากลับส่งฝ่ามือออกไป เหมือนเป็นการส่งตัวเองให้อีกฝ่ายจัดการ!
ถานไถรั่วหลีเองก็รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นกัน
นางเป็นที่ชื่นชอบเสมอมา ตอนที่อยู่ในราชวงศ์ไท่อวี่นางมักจะได้รับการเอาใจ ดังนั้นจึงนิสัยเสียมานานแล้ว
ดังนั้นต่อให้นางมาที่นี่ นางก็ไม่สามารถห้ามตนเองได้
จนกระทั่งเมื่อครู่หนึ่งนางได้เห็นว่ากระบวนท่าของท่านพ่อถูกจวินจิ่วชิงจัดการได้อย่างง่ายดาย นางถึงได้ตระหนักว่า ที่นี่คือราชวงศ์เป่ยหมิง และเป็นเมืองหลวงที่น่าภูมิใจ
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
“ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสถานไถและราชวงศ์ไท่อวี่ทุกคน เหมือนว่าจะใจร้อนอย่างมาก ถ้าเช่นนั้นเหตุใดไม่รอหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงเป็นกลุ่มสุดท้ายล่ะ? พกความโกรธเข้าไปด้วยข้าว่ามันไม่สมควรเท่าไรละมั้ง?”
เมื่อถานไถเฉินฟังแล้วรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
ซั่งกวนเยว่ผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง!
ฉวยโอกาสพูดให้ตำแหน่งแนวหน้าของตนเองแข็งแกร่งขึ้น และยังต้องการให้ไท่อวี่ของพวกเขาได้ลำดับสุดท้าย?
“ไม่…”
“พูดได้มีเหตุผล”
หนิงหยวนที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ท่าทางเห็นด้วย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้คงหนิงของพวกเราเป็นอันดับสามเถอะ”
เมื่อกงซุนเซียวเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
แม้ว่าเขาต้องการจะอยู่ตำแหน่งแนวหน้ามากที่สุด แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ เขาเลือกที่จะลดเรื่องวุ่นวายดีกว่า
เขาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่หนึ่งจากนั้นก็ตอบตกลง
“พี่หนิง ในเมื่อพวกท่านติดตามเทียนลิ่ง เช่นนั้นพวกเราคงจะตามไปด้านหลัง เช่นนี้คงไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?”
นอกจากราชวงศ์ไท่อวี่แล้ว คนอื่นล้วนไม่มีปัญหา
ปอดของถานไถเฉินจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว!
ถ้าคำพูดนี้ซั่งกวนเยว่พูดออกมาคนเดียวก็แล้วไปเถอะ แต่นี่หนิงหยวนและกงซุนเซียวต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วเขาจะพูดอันใดได้อีกเล่า?
ต้องบอกก่อนว่า ภายในราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ ฝีมือของราชวงศ์ไท่อวี่อยู่เหนือราชวงศ์เทียน
ลิ่งเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น!
แล้วเขาจะกล้าคัดค้านคนอื่นได้อย่างใด?
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตาหันไปมองถานไถเฉิน
“แล้วผู้อาวุโสถานไถล่ะ ท่านคิดว่าอย่างใดบ้าง?”
ถานไถเฉินรีบกลืนเลือดที่กระอักลงคอไป
“เช่นนี้ก็…ดีมาก!”
ตอนที่ 950 ไม่เข้าไปหรือ
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดี…ทุกคนมีความสุขก็พอแล้ว!”
หัวใจของถานไถเฉินได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่งแล้ว หน้าอกก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก!
ทุกคนมีความสุข…
ใครมีความสุขกับเจ้ากัน!
เดิมทีนั้นเขาต้องการใช้โอกาสนี้ทำให้ซั่งกวนเยว่ขายขี้หน้าประชาชี แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังจะเสียข้าวสารไปอีก!
เมื่อต้องเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม หลังจากที่กลุ่มแรกเข้าไปเขายังต้องรออีกแปดชั่วยาม! นี่มันแทบจะทั้งวันแล้วนะ!
รอจนถึงพวกเขาเข้าไป ไม่แน่ว่าของดีๆ อาจจะถูกคนอื่นฉกฉวยไปจนหมดแล้วก็ได้!
ของที่เหลือให้พวกเขานั้นก็น่าจะเป็นเศษกับข้าวเหลือๆ เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่านอกจากพวกเขาแล้ว ทุกคนต่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แล้วพวกเขาจะทำอันใดได้อีกล่ะ?
ถานไถเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ซึ่งยากที่จะระงับความโกรธภายในใจลง
“เสด็จพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ถานไถรั่วหลีถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
ถานไถเฉินส่ายหน้า
ร่างกายไม่มีบาดแผล แต่ใบหน้าของเขานั้นแตกละเอียด!
หากไม่ใช่เพราะว่าต้องรอให้หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงเปิด เขาไม่มีทางอยู่ที่นี่ต่ออย่างเด็ดขาด!
“ล้วนเป็นความผิดของลูกเอง หากข้าไม่วู่วามเกินไป เรื่องราวเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น…”
ถานไถรั่วหลีดวงตาแดงก่ำ เหมือนว่ากำลังโทษตัวเองอย่างหนัก
อวี๋เจ๋อเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างของนางก็อดรู้สึกปวดใจไม่ได้ เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“รั่วหลี เรื่องนี้จะโทษเจ้าได้อย่างใด? เจ้าไม่ผิด! คนที่ผิดคือ…”
ในตอนที่เขากำลังพูดชื่อนั้นออกมา แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์เมื่อครู่นี้ อวี๋เจ๋อเฟิงก็ต้องกลืนคำพูดเหล่านี้ลงคอไป
“สรุปแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย”
ถานไถเฉินถอนหายใจออกมา พร้อมตบบ่านางเบาๆ
“เจ๋อเฟิงพูดได้ถูกต้อง พวกเรากับพวกเขาไม่ถูกกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ต่อให้วันนี้เจ้าไม่ได้พูดอันใดพวกเขาก็ไม่มีทางไว้หน้าพวกเราอยู่แล้ว”
ซั่งกวนเยว่นั้นเป็นคนที่กำเริบเสิบสานอย่างมาก!
ถานไถรั่วหลีสะอึกสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบถอนสายตาออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กัดริมฝีปากแน่น
“เสด็จพ่อ ซั่งกวนเยว่คนนั้นไม่กล้าแสดงฝีมือต่อหน้าธารกำนัล นั่นหมายความว่าสิ่งที่นางพูดนั้นเป็นเรื่องโกหก! ค่ายกลระดับเก้า เดิมทีนางไม่มีทางจำได้อยู่แล้ว!”
นางกระซิบเสียงเบา
ในตอนนั้นท้องพระโรงกลับมาคึกคักแล้ว ดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่ได้ยินคำพูดของนาง
ซั่งกวนเยว่ใช้สถานะของตัวเองเป็นข้ออ้าง จากนั้นก็ทำเป็นโกรธเพื่อปกปิดความจริงเรื่องนี้!
ถานไถเฉินหลับตาลง
“วางใจเถอะ ความแค้นนี้ พ่อจะเอาคืนเอง!”
…
ลำดับการเข้าหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงได้จัดการเรียบร้อยแล้ว จากนั้นทุกคนก็คุยเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยอีกเล็กน้อย
ประเด็นสำคัญคือต้องใช้ยอดฝีมือของแต่ละราชวงศ์ร่วมมือกัน เปิดม่านพลังของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงให้ได้ และหลังจากที่เข้าไปในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงได้แล้ว ก็มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องระวังด้วยเช่นกัน
หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จแล้ว ทุกคนก็ออกเดินทางไปยังหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงโดยพร้อมเพรียงกัน
…
หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงนั้นอยู่ด้านหลังของเมืองหลินโจว หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เมืองหลินโจวที่มีขนาดใหญ่นี้อยู่ถัดจากหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง
หุบเขานี้ทอดยาวสลับซับซ้อน สูงใหญ่ ตั้งตระหง่าน สามารถพูดได้เลยว่าเป็นแนวปราการตามธรรมชาติ
ตอนที่พวกเขามาถึงเชิงหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงนั้น ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
พระอาทิตย์กำลังตกดินอย่างช้าๆ แสงสะท้อนลอดผ่านแนวเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง
เมื่อแสงอาทิตย์อัสดงกลืนหายไปในเทือกเขาสีดำ ความมืดยามราตรีก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา
ผู้แข็งแกร่งของห้าราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ ก็เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง ลำแสงของม่านพลังที่ส่องประกาย ปกคลุมทั่วหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง มันช่างน่าเกรงขามอย่างยิ่ง!
นางกลั้นหายใจ
นี่คือ…แรงกดดันของม่านพลังจากฝีมือยอดยุทธ์ในตำนาน!
มู่หงอวี่กระซิบถามเสียงเบา
“หลิวเยว่…เจ้าไม่เข้าไปกับพวกเราจริงๆ หรือ?”