ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 960 วิกฤติ
ตอนที่ 960 วิกฤติ
ฉู่หลิวเยว่เอนพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ริมฝีปากยกยิ้มขึ้น
“ผู้อาวุโสถานไถคำถามนี้น่าสนใจมาก เรื่องของวังหลวงเป่ยหมิง ว่าข้าคิดอย่างใดนั้น เหมือนว่ามันจะไม่สำคัญนะเจ้าคะ เกรงว่าท่านจะถามผิดคนแล้วละมั้งเจ้าค่ะ”
พูดจบ นางก็มองไปรอบๆ
จวินฉีจือยังไม่มา
ราวกับว่าเรื่องนี้กำลังพันแข้งพันขาอยู่
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่คิดเลยว่า ซั่งปิ่งเหอนั้นจะบอกเรื่องนี้กับจวินฉีจือ
ถานไถเฉินแค่นหัวเราะเสียงเย็น
“ข้าอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว ไม่ได้ออกไปไหนเลย มีเพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่กลับเมืองไป แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…เจ้าว่ามันบังเอิญหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่นั่งเหยียดหลังตรง แล้วมองไปทางถานไถเฉิน รอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ที่ท่านพูดเช่นนี้ ผู้อาวุโสถานไถคิดว่าข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือ?”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“ท่านไม่ได้หมายความเช่นนี้หรอกหรือ? แต่คำพูดที่ออกมา ทุกคนล้วนได้ยิน ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่คนโง่นะ…หรือว่าท่านต้องการให้ข้าช่วยตรวจสอบเรื่องนี้?”
เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่กำลังล้อเล่น แต่นางก็พูดอย่างตรงไปตรงมามาก
ถานไถเฉินคิดไม่ถึงว่านางจะไม่ไว้หน้ากันเลย ในตอนนั้นสีหน้าของเขาจึงดูย่ำแย่เล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ ไม่ทราบว่าเบื้องหลังของนางคือใคร นับวันยิ่งร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ!
ก่อนหน้านี้ยังเกรงใจอยู่หลายส่วน แต่ตอนนี้ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย!
แต่ถานไถเฉินกลับไม่คิดเลยว่า เมื่อพวกเขาได้รับการกลั่นแกล้งหลายครั้ง ก็ไม่มีใครสามารถอดทนได้ตลอดเวลา
ยิ่งไปกว่านั้นฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ก็ไม่ชอบตกเป็นรองใคร
คนอื่นติดค้างนาง นางจะต้องเอาคืนอย่างแน่นอน!
ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่มีความคิดที่จะตอบรับส่งๆ อย่างพอเป็นพิธีอีกแล้ว
“ขอเพียงแค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นจะต้องตื่นเต้นขนาดนี้เลย” น้ำเสียงของถานไถเฉินเย็นยะเยือก
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มจนตาหยี
“หากข้าสงสัยราชวงศ์ไท่อวี่เช่นนี้บ้าง ไม่ทราบว่าท่านจะตอบรับข้าด้วยรอยยิ้มหรือไม่?”
“เจ้า!”
บรรยากาศของสถานที่นั้นถึงจุดเยือกแข็งทันที
จวินจิ่วชิงไม่อยู่ จึงไม่มีใครคอยถ่วงดุลอำนาจ
กงซุนเซียวหันมามองทางนี้ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอันใด
ส่วนหนิงหยวน เหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องการทะเลาะกันนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขามองไปที่ม่านพลังหลากสีนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ และรอคอยอย่างอดทน
ถานไถเฉินไม่สามารถพูดถึงฉู่หลิวเยว่ได้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ และไม่สามารถพูดอันใดได้อีก
เมื่อเถียงชนะแล้ว ก็เป็นความสุขชั่ววูบเท่านั้น ชั่วพริบตาเดียวในสายตาของคนอื่นกลายเป็นเรื่องผู้ใหญ่แกล้งเด็ก
ยิ่งเถียงชนะแล้ว ก็จะยิ่งอาย
เขาปิดปากฉับ และเบนสายตาออกจากฉู่หลิวเยว่ทันที
ขอเพียงแค่รั่วหลีสามารถออกมาจากหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง และเอาชนะราชวงศ์เทียนลิ่งได้ เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญแล้ว!
…
ในที่สุดก็สงบลงแล้ว ฉู่หลิวเยว่นวดขมับของตัวเอง
ความจริงแล้วในตอนนี้ใบหน้าของนางนั้นดูไร้กังวลอย่างมาก
แต่อีกด้านหนึ่งนางกำลังกังวลเรื่องสถานการณ์ของท่านพ่อ อีกด้านหนึ่งก็กังวลเรื่อง เจี่ยนเฟิงฉือและคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง ที่สถานการณ์ดูเหมือนจะไม่สู้ดีนัก
กระดิ่งทองคำนี้ นางมอบให้พวกเขาเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน
แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าภายในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงที่ไม่เปิดมากว่าพันปี จะมีอันตรายอันใดบ้าง
นางคิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ จะมีคนเกิดเรื่องแล้วสามคน
น่าเสียดายที่มีม่านพลังกั้นเอาไว้อยู่ นางจึงไม่มีทางตรวจสอบได้เลยว่าด้านในนั้นเกิดอันใดขึ้นกันแน่
ถ้าทุกคนได้เจอกับอันตรายเช่นนี้ มันก็พอจะให้อภัยกันได้
แต่ถ้า…มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ มันก็อันตรายแล้ว
…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เมื่อเวลาล่วงมาถึงตอนเย็น จวินฉีจือก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
ไม่รู้ว่าเขากำลังวุ่นวายกับการจัดการราชกิจ หรือว่าเป็นเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นในวังหลวง
ฉู่หลิวเยว่ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ตอนนี้ภายในเมืองหลินโจว จะต้องเกิดคลื่นใต้น้ำอย่างแน่นอน
แต่ว่านางยังคงปักหลักอยู่ที่เชิงเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง ดังนั้นเรื่องเหล่านั้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อนาง
เมื่อพิจารณาจากมุมมองอื่นแล้ว นี่ก็เป็นวิธีที่หลบซ่อนตัวตนทางหนึ่ง
เพราะว่าในตอนนั้นนางรีบร้อนมากเกินไป จึงไม่ได้ทำให้กลไกกลับคืนสู่สภาพเดิม จนทำให้นำไปสู่การค้นหาที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
และแน่นอนว่านางไม่ได้หยิบกระจกที่แปลกประหลาดอันนั้นออกมา
…เห็นได้ชัดว่าบนตัวของกระจกนั้นมีลมปราณที่พิเศษอย่างมาก เพียงแค่นำติดตัวมา อีกฝ่ายก็สามารถหาเจอได้อย่างรวดเร็ว
นางจะต้องกลับไปที่ห้องทรงอักษรนั้นอีกครั้ง
แต่สองสามวันนี้ นางไม่สามารถเข้าไปได้อย่างแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่รอไปด้วย และฝึกสมาธิเริ่มบำเพ็ญเพียรไปด้วย
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นภายนอกของม่านพลัง แต่เนื่องจากมันอยู่ตำแหน่งชายขอบของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง ดังนั้นพลังดั้งเดิมจึงมีความเข้มข้นอย่างมากเช่นกัน
ความจริงแล้วหลังจากที่นางเลื่อนขั้นจอมยุทธ์ระดับหกเมื่อครั้งที่แล้วมาได้ นางก็สามารถสัมผัสได้ว่าพลังภายในร่างกายของนางยังไม่หมด และมีอยู่เต็มเปี่ยม
กล่าวอีกนัยหนึ่งแล้ว ในขณะที่นางเลื่อนขั้นมาสู่จอมยุทธ์ระดับหก นางก็ได้แตะที่หน้าประตูของจอมยุทธ์ระดับเจ็ดแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะนางศึกษาความรู้กับหรงซิวมาสักระยะหนึ่งแล้วหรือเปล่า ดังนั้นตอนนี้นางจึงเข้าใจจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองมากยิ่งขึ้นแล้ว และสามารถหาจุดทะลวงเพื่อเลื่อนขั้นได้อย่างง่ายดาย
พลังดั้งเดิมภายในร่างกายของนางนั้นถูกสะสมเอาไว้อย่างต่อเนื่อง ระยะทางระหว่างนางและสิ่งที่ขวางกั้นนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
หากเป็นเช่นนี้ เวลาเพียงแค่สองวันก็คงจะเลื่อนขั้นได้แล้ว
ระหว่างนั้น จวินฉีจือก็มาที่นี่เพียงครั้งเดียว และจากไปอย่างรีบร้อน
ส่วนฉู่หลิวเยว่ นางกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ตลอด ดังนั้นจึงไม่ได้กลับไปอีกเลย
คนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องการบำเพ็ญเพียรของฉู่หลิวเยว่
ในสายตาพวกเขา ต่อให้ฉู่หลิวเยว่ขยันมากกว่านี้สักเท่าไร เมื่อเทียบกับคนที่เข้าไปในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงแล้ว ก็ไม่มีค่าให้พูดถึงนัก
ในเมื่อนางเป็นคนปล่อยโอกาสครั้งนี้ไปเอง ก็ไม่สามารถโทษใครได้อีก
ไม่มีคนมารบกวน ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถบำเพ็ญเพียรได้อย่างสงบ นางลองพยายามอีกนิดเพื่อให้เข้าใกล้ระดับที่สูงขึ้น!
เวลาเข้าใกล้เช้าวันที่หก
ฉู่หลิวเยว่โคจรพลังรอบสุดท้ายเสร็จสิ้น ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
เหมือนว่าดวงตาของนางกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ลมปราณบนร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นไปมองม่านพลังสีสันสดใส
ทันใดนั้นเอง!
กระดิ่งทองคำบนข้อมือของนางก็สั่นสะเทือนสองครั้งติดกัน
ฉู่หลิวเยว่ตกใจอย่างมาก รีบลุกขึ้นพรวด!
…คาดไม่ถึงว่าจะเป็นลูกปัดทองคำสองเม็ดสุดท้ายของเจี่ยนเฟิงฉือและเชียงหว่านโจวที่แหลกละเอียดเป็นผุยผง