ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 982 มาถึงแล้วหรือ
ตอนที่ 982 มาถึงแล้วหรือ
ถวนจื่อลดศีรษะลงพลางถูหัวของมันเข้ากับใบหน้าของมู่หงอวี่เบาๆ
มู่หงอวี่รู้สึกอบอุ่นในใจ ก่อนจะหันไปมองคนอื่นๆ
“ถวนจื่อจะพาพวกเราออกไปจากที่นี่ พวกเราไปกันเถอะ!”
“แต่ฝ่าบาท…”
“ในเมื่อถวนจื่อทำเช่นนี้ แสดงว่ามันต้องเป็นความต้องการของนางแน่นอน” มู่หงอวี่กล่าวอย่างหนักแน่น “พวกเราต้องไปกับถวนจื่อ”
เมื่อคิดแบบนี้แล้วก็ฟังดูสมเหตุสมผล
เจี่ยนเฟิงฉือก้าวเท้าออกไปคนแรก พลางเดินเข้าไปอุ้มนางขึ้นมาโดยไม่พูดอันใดสักคำ แล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังของถวนจื่อ
เขาโอบนางไว้ในอ้อมแขนด้วยมือข้างเดียว แต่มิได้ออกแรงกระชับกอดมากนัก เพราะกลัวจะสัมผัสโดนบาดแผลบนร่างกายของนาง
“จิงหง พวกเจ้าเองก็พยุงเชียงหว่านโจวขึ้นมาด้วย”
ขณะที่เขาพูด มู่หงอวี่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมขึ้นลงบริเวณแผ่นอกแกร่ง และลมหายใจที่เป่ารดศีรษะของตน
เดิมทีนางแอบรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ก็จำต้องปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง
เหมือนว่าตอนนี้เจี่ยนเฟิงฉือกำลังอารมณ์ไม่ดีเท่าไร นางไม่ควรไปยั่วโมโหเขาจะดีกว่า
ผ่านไปสักพัก คนทั้งหมดก็ขึ้นไปอยู่บนหลังของถวนจื่อ
จากนั้นถวนจื่อก็กระพือปีกแล้วบินออกไป!
อู๋หมิงมองย้อนกลับไป พลางพึมพำเสียงเบาอย่างอดไม่ได้
“ไม่รู้เหมือนว่ามันจะพาเราไปที่ใด…แต่ข้าขอให้ฝ่าบาททรงปลอดภัย…”
…
ในระหว่างทาง เหล่าผู้ที่โดยสารนกยักษ์อยู่ล้วนไม่มีใครพูดคุยกันเลยสักคน บรรยากาศในตอนนี้ค่อนข้างหดหู่เล็กน้อย
ทว่าไม่นาน อวี่เหวินจิงหงก็ชี้นิ้วไปข้างหน้าด้วยท่าทางตกใจสุดขีด
“นี่เจ้ากษายะหางว่ายุจะพาพวกเราไปที่จุดสูงสุดของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงหรือ!?”
ทุกคนตวัดสายตามองตามปลายนิ้วของเขาทันที และพบว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่นั่นจริงๆ!
…
ในเวลานี้ บนยอดเขาหลักของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง ล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่ยังคงพยายามปีนขึ้นไปบนยอดเขา
และหลังจากจวินจิ่วชิงปีนขึ้นมาได้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและเริ่มตั้งหน้าตั้งตารออย่างอดทน
ต่อมาก็มีคนทยอยปีนขึ้นมาเรื่อยๆ
คนที่มาจากราชวงศ์ที่ต่างกัน ย่อมยืนอยู่ในค่ายกลของใครของมันเพื่อปกป้องซึ่งกันและกัน
…ช่างหน้าขำนัก! อีกไม่นานสามหยวนรวมยอดก็ใกล้จะมารวมตัวกันที่จุดสูงสุดแล้ว แต่พวกเขาทั้งหมดกลับยังช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่อีก! ในเวลาแบบนี้ยังจะมีกระจิตกระใจทำตัวเป็นคนดีช่วยเหลือผู้อื่นอีกหรือ?
ยิ่งจำนวนคนปีนขึ้นไปบนยอดเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศด้านบนก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น
“เหตุใดจึงไม่เห็นคนของราชวงศ์ไท่อวี่เลย?”
ท่ามกลางความเงียบงัน ในที่สุดใครบางคนก็โพล่งปากขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่
ซึ่งเจ้าของวาจาก็คือชายหนุ่มผู้มาจากราชวงศ์ตงหนิง
“ไม่รู้สิ หรือพวกเขาจะยังขึ้นมาไม่ถึง”
ชายร่างท้วมอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาพึมพำตอบ
“เหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นนะ… ระหว่างทางขึ้นมาบนเขา พวกเราก็ไม่พบพวกเขาเลยมิใช่หรือ?” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ พลางมองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะลดเสียงลง “ยามนี้คนจากสามราชวงศ์ใหญ่ขึ้นมาถึงแล้ว และมีแค่คนจากราชวงศ์ไท่อวี่และราชวงศ์เทียนลิ่งเท่านั้น ที่ยังไม่ปรากฏตัว”
“ว่าแล้วก็ ดูเหมือนว่าคนจากราชวงศ์เทียนลิ่ง จะไม่เคยมาเยือนที่นี่เลยนะ…” ชายร่างท้วมตกตะลึง
“ก็ไม่แปลกที่คนจากราชวงศ์เทียนลิ่งจะไม่เคยมา… พวกเขามิได้แข็งแกร่งขนาดนั้นเสียหน่อย?”
พลันมีเสียงห้วนที่ฟังดูดุดันดังขึ้น
เขาเป็นบุรุษจากราชวงศ์ซีเหยียน ผู้มีร่างกายที่แข็งแกร่งบึกบึน
ผู้คนรอบข้างต่างมองหน้ากันพัลวัน
กล่าวขานกันว่ากงซุนอี้นั้นคือท่านอ๋องแห่งราชวงศ์ซีเหยียน และยังเป็นน้องชายแท้ๆ ของกงซุนเซียว
ทว่าเนื่องจากช่วงอายุที่ต่างกันมาก กงซุนเซียวจึงเอ็นดูและตามใจน้องชายคนนี้มากเป็นพิเศษ
ซึ่งเมื่อรวมกับพลังพิเศษที่สวรรค์ประทานให้ตั้งแต่เกิดแล้ว เขาก็ยิ่งหยิ่งยโสมากขึ้นจนกู่ไม่กลับ
“เหอะ ถ้าข้าจำไม่ผิด เหมือนว่าคนจากราชวงศ์เทียนลิ่งกำลังถูกคนจากราชวงศ์ไท่อวี่ไล่ฆ่าอยู่มิใช่หรือ?”
ในใจของกงซุนอี้นั้นดูถูกเหยียดหยามราชวงศ์เทียนลิ่งมาก
สำหรับเขาแล้ว คนพวกนั้นไม่มีคุณสมบัติจะมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว
แม้พวกเขาจะมาที่นี่โดยอาศัยความสัมพันธ์ที่มีกับองค์รัชทายาทแห่งเป่ยหมิง แต่ถ้าไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง สุดท้ายพวกเขาก็จะต้องพบกับความยากลำบากแสนสาหัส!
เกิดความเงียบขึ้นทั่วทั้งบริเวณ
มีเพียงจวินจิ่วชิงที่ทำทีเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอันใดมาก เขาโคลงศีรษะเล็กน้อย พลางทอดสายตามองไปยังทิศทางหนึ่งแล้วหันกลับมามองทางเดิม
ผู้คนรอบข้างแอบให้ความสนใจกับปฏิกิริยาของจวินจิ่วชิง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ตอบสนองต่อสิ่งที่กงซุนอี้พูด ก็พลันหันหน้ามามองกันอย่างอดไม่ได้
ก่อนหน้านี้ มิใช่ว่าราชวงศ์เทียนลิ่งมีความสัมพันธ์อันดีงามกับองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยหมิงหรอกหรือ?
แต่พอดูตอนนี้แล้ว เหมือนว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด…
ทั้งๆ ที่กงซุนอี้พูดขนาดนี้แล้ว แต่จวินจิ่วชิงกลับไม่ตอบโต้อันใดสักอย่าง
หรือเขาจะยอมรับว่าคนจากราชวงศ์เทียนลิ่งไร้น้ำยาและปีนขึ้นมาไม่ได้จริงๆ ถึงได้ทำท่าทางเมินเฉยเช่นนั้น?
กงซุนอี้สบถเบาๆ หนึ่งทีพร้อมความรู้สึกมั่นอกมั่นใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจักเป็นที่เคารพนับถือ!
แม้แต่องค์รัชทายาทแห่งเป่ยหมิง ก็ยังต้องยอมรับสิ่งนี้!
“สามหยวนรวมยอดใกล้จะปรากฏแล้ว หากถึงยามฟ้าเปิดแล้วไม่มีผู้ใดปีนขึ้นมาได้ จะถือว่าตัดสิทธิ์ทันที”
กงซุนอี้มองไปรอบๆ และแทบจะเก็บซ่อนสีหน้าพออกพอใจไว้ไม่มิด
ขณะนี้มีคนขึ้นมาอยู่บนยอดเขาแล้วทั้งหมดแปดคน
ซึ่งในหมู่คนเหล่านี้มีสามคนที่มาจากราชวงศ์เป่ยหมิง สามคนจากราชวงศ์ซีเหยียน และอีกสองคนจากราชวงศ์ตงหนิง
เมื่อลองคำนวณดูแล้ว จำนวนคนของพวกเขานั้นแทบจะใช้ต่อกรกับราชวงศ์เป่ยหมิงได้!
แม้ว่าจวินจิ่วชิงจะขึ้นมาเป็นคนแรก และสุดท้ายแล้วพลังอันไร้ขีดจำกัดของสามหยวนรวมยอดจะเลือกเขา จนคนอื่นๆ ต้องยอมถอยแล้วรอรับพลังในรอบอื่น
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อยถ้าวัดกันในแง่ของจำนวนคน พวกเขาเองย่อมไม่แพ้!
ครืน!
เหนือท้องนภาอันกว้างใหญ่ จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าร้องดังอึกทึก!
กลุ่มเมฆดำทะมึนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ พลังปราณของสวรรค์และโลกที่อยู่รอบๆ พุ่งเข้ามารวมกัน ณ ที่แห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง!
และในที่สุดพลังเหล่านั้นก็มาบรรจบกันแล้วเป็นกลุ่มแสงหลากสี! มันลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ พร้อมส่องแสงเจิดจ้า!
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทุกคนย่อมไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นไว้ได้อีกต่อไป!
มันคือสัญญาณว่า การรวมตัวของสามหยวนรวมยอดกำลังจะมาแล้ว!
แม้ว่าการรวมตัวจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทว่าแรงกดดันที่น่าอัศจรรย์ใจนั่น ได้ทำให้คนทั้งหมดยอมจำนนแก่รัศมีของมันแล้ว!
ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ามันรวมตัวกันสำเร็จ มันจะทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน!
จวินจิ่วชิงหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง
ภายในกลุ่มแสงสีนั้นกักเก็บพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ไว้
และนั่นคือแก่นแท้ของสามหยวนรวมยอด!
และในขณะเดียวกัน มันก็คือจุดประสงค์หลักที่เขามาที่นี่!
สายลมกระโชกพัดพาไปทั่วจนเกิดเสียงหวีดหวิว!
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังกลุ่มแสงหลากสีบนท้องฟ้า!
ก่อนที่กลุ่มแสงเหล่านั้นจะค่อยๆ ควบแน่น แล้วกลายสภาพเป็นกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นแสงมากมาย!
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว!”
กงซุนอี้หลุบตามองลงไปที่เชิงเขา พลันกระหยิ่มยิ้มเยาะอย่างมีชัย
“ถ้าไม่มาตอนนี้ ก็ไม่มีโอกาสแล้ว!”
จากห้าราชวงศ์ มีเพียงสามราชวงศ์เท่านั้นที่ขึ้นมาได้ แถมจำนวนคนของยังคงโดดเด่นกว่าด้วย!
ช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าเสียจริง!
ทว่าครั้นสิ้นสุรเสียง ก็พลันมีเสียงนกร้องดังลั่นมาจากข้างหลังเขา!
แควก…
ทุกคนล้วนหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเห็นเพียงร่างสีแดงที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว!
“กษายะหางวายุ!?”
ชายร่างท้วมแห่งราชวงศ์ตงหนิงอุทานเสียงดัง
“นั่นคงไม่ใช่ คงไม่ใช่…”
ชัดเจนว่ามันคืออสูรศักดิ์สิทธิ์ของซั่งกวนเยว่แห่งราชวงศ์เทียนลิ่ง!
กงซุนอี้และคนอื่นๆ ตกตะลึงกันอยู่ครู่หนึ่ง
และในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทุกคนกำลังตกใจจนสติหลุด กษายะหางวายุสีแดงก็ร่อนลงบนยอดเขาแล้ว!
จากนั้นก็มีคนกระโดดลงมาจากหลังของมัน
ตามมาด้วยคนที่สอง
คนที่สาม
คนที่สี่
ยิ่งกระโดดลงมาจำนวนคนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเพียงพริบตา จำนวนคนของพวกเขาก็แซงหน้าอีกสามราชวงศ์ที่เหลือไปแล้ว!
หลังจากนั้น เฉียงหว่านโจวก็ถูกหามลงมา ท่ามกลางสายตาตกตะลึงและพูดไม่ออกของทุกคน
คนที่ห้า!
อวี่เหวินจิงหงเกาศีรษะแกรกๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองและพูดอย่างงุนงง
“นี่พวกเรา…มาถึงแล้วหรือ?”