ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 993 ใครจะไปสู้ได้
ตอนที่ 993 ใครจะไปสู้ได้
พลังจิตวั่งเสิ่นเป็นสิ่งที่นางจักต้องข้ามผ่านมันไปด้วยตัวเองเท่านั้น
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่เองก็รู้
หากนางสะกัดกั้นและหลบเลี่ยงมันมากเท่าไร แรงกดดันและการบีบบังคับก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
ซึ่งในส่วนนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งรู้ดีกว่าใคร!
เพียงแต่ในตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ
เพราะนางรู้ว่ายามนี้ร่างกายของนางยังไม่พร้อมรับมือกับมันโดยตรง
หากมองด้านการสู้รบปรบมือกับจวินจิ่วชิงแล้วล่ะก็ ตอนนี้นางเพิ่งจะได้เปรียบเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งยังกลืนกินพลังปราณสีทองไปได้นิดเดียว นางจึงไม่อาจสละเวลาและพลังปราณที่ดูดกลืนไปได้เพียงน้อยนิด ไปกับการเผชิญหน้ากับพลังจิตวั่งเสิ่น
และอีกนัยหนึ่งก็คือ พลังจิตวั่งเสิ่นปรากฏตัวและอาละวาดใส่นางเร็วกว่าที่คาดไว้ แถมระดับของนางเองก็ยังห่างจากวิถีของจอมยุทธ์ระดับเจ็ดอยู่พอสมควร ซึ่งหากรีบร้อนเกินไป นางจะไม่มีโอกาสชนะพลังจิตวั่งเสิ่นได้เลย
ฉะนั้นแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางจึงทำได้เพียงปล่อยให้กระบี่หลงหยวนสกัดกั้นพลังนั่นแทนตัวเองไปก่อน
ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีแค่ฉู่หลิวเยว่เท่านั้นที่คิดทำแบบนี้
เพราะบนโลกนี้ยังผู้ฝึกตนอีกหลายคนที่พอเจอการทดสอบเช่นนี้ ก็จะเลือกวิธีการแบบเดียวกันเพื่อให้ข้ามผ่านมันไปได้
และมันคือเหตุผลที่พลังจิตวั่งเสิ่นยิ่งปรากฏตัวเร็วเท่าไร พลังของมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
…มันจงใจรีบเผยตัวออกมาแล้วถ่วงเวลาไว้นานๆ เพื่อให้ผู้ฝึกตนโจมตีใส่มันครั้งแล้วครั้งเล่า!
การปรากฏตัวอันรวดเร็วเกินตั้งตัวนั้น ทำให้ผู้ฝึกฝนมิอาจแข็งแกร่งพอที่จะจัดการกับมันได้ และกว่าพลังปราณของคนผู้นั้นจะไล่ตามมันทัน ก็อาจจะเหลือเพียงความล้มเหลวไปเสียแล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงสกัดกั้นมันไปเรื่อยๆ
และระหว่างที่ยื้อกันอยู่นั้น พลังปราณของพลังจิตวั่งเสิ่นก็จะเพิ่มพูนความแข่งแกร่งขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า!
จนถึงช่วงสุดท้ายที่ผู้ฝึกตนพร้อมแล้ว เจ้าตัวถึงจะพร้อมเปิดรับมัน แล้วสู้กับมันอย่างจริงจัง!
แล้วคว้าชัยชนะมาให้ได้…นี่แหละถึงจะเป็นวิธีเอาชีวิตรอดจากพลังจิตวั่งเสิ่นที่แท้จริง!
แต่ถ้าระหว่างการยื้อนั้นเกิดพลาดพลั้งแม้แต่นิดเดียว ก็ถึงคราวจบเห่
เพื่อรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ ในยามที่ผู้ฝึกตนมากมายกำลังจะทะลวงพลังปราณขึ้นสู่ระดับเจ็ด พวกเขาจึงมักจะเตรียมการและคิดหาวิธีรับมือไว้หลากหลายรูปแบบ
ฉะนั้นทุกคนจึงตกใจมาก เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่นั้นไม่ได้เตรียมตัวแต่อย่างใด แล้วยังรีบร้อนจะทะลวงให้ได้อีก พวกเขาต่างคิดว่านางเสียสติไปแล้ว
…ถึงกับเอาชีวิตและอนาคตของตัวเองเป็นเดิมพันขนาดนี้ นางบ้าไปแล้วหรือไร?
…
หลังจากการปะทะเมื่อครู่นี้ พลังปราณของกระบี่หลงหยวนก็หายไปบางส่วน
ในใจฉู่หลิวเยว่รู้ทันทีว่านางต้องรีบแล้ว!
ราวกับสัมผัสได้ถึงความคิดของนาง คลื่นความผันผวนจากไข่มุกธาราภายในจุดตันเถียนก็ขยายใหญ่ขึ้น!
สิ่งนี้ทำให้ความเร็วในการกลืนกินพลังปราณดั้งเดิมของฉู่หลิวเยว่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม!
ส่วนหลายคนที่อยู่ไกลออกไปก็เห็นเพียงพลังปราณดั้งเดิมสีทองอันไร้ขีดจำกัด พุ่งทะลวงเข้าสู่ร่างเพรียวบางนั่นอย่างบ้าคลั่ง!
ผู้คนมากมายที่อยู่ด้านล่างและบริเวณโดยรอบของยอดเขาหลัก ล้วนหวาดกลัวกับภาพที่เห็น
“บ้า…บ้าไปแล้ว!”
“ดูดพลังปราณดั้งเดิมจำนวนมากเข้าไปด้วยความเร็วเช่นนั้น แม้แต่จอมยุทธ์ระดับเจ็ดก็เกรงว่าจะทนไม่ไหว! แล้วนั่นนางคิดจะทำอันใด? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
“… ไม่แปลกใจเลยที่นางกล้าหือกับจวินจิ่วชิง… คนที่บ้าบิ่นเช่นนี้ มีหรือที่นางจะกล้าทำ?”
“แต่…พวกเจ้าไม่คิดหรือว่ามันแปลกที่นางสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้… ตอนนี้นางอยู่แค่ระดับหกขั้นสูงสูดเท่านั้น! ถ้าบอกว่าเป็นเพราะชีพจรตี้จิง เช่นนั้นมันก็ควรจะระเบิดไปนานแล้วสิ! แต่เหตุใดจนถึงตอนนี้ มันกลับดูปกติราวไม่มีอันใดเกิดขึ้นเลยเล่า?”
“พิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว…นี่พวกเจ้าจำข่าวลือที่ว่าเมื่อก่อนนางมีชีพจรเทียนจิงได้หรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ว่าความจริงแล้วตอนนี้นาง… จะยังมีมันอยู่กับตัว?”
“เพ้อเจ้ออันใดของเจ้า? คนเราจักมีชีพจรเทียนจิงกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“แล้วพวกเจ้าจะอธิบายสภาพของนางในตอนนี้เยี่ยงไร? เมื่อครู่ข้าเห็นกับตาว่าจวินจิ่วชิงต้องการจะฉวยพลังปราณนั่นกลับมา แต่ก็ล้มเหลว! หากไม่ใช่เพราะชีพจรเทียนจิงล่ะก็ นางจักต้านพลังของสวรรค์ได้อย่างใด?”
…
ทุกคนต่างสนทนาแตกประเด็นกันไม่หยุด แต่พวกของเจี่ยนเฟิงฉือกลับนิ่งเงียบราวตกอยู่ในห้วงความคิด
อวี่เหวินจิงหงเริ่มใช้ศอกสะกิดเจี่ยนเฟิงฉือ พลางเอ่ยเสียงเบา
“นี่ เฟิงฉือ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าภาพนี้มันดูคุ้นๆ นะ…”
เจี่ยนเฟิงฉือทำหน้านิ่งประหนึ่งคร้านจะตอบ
แต่พอมู่หงอวี่ได้ยินประโยคนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองพวกเขา และถามด้วยความแปลกใจ
“คุ้นๆ หรือ? พวกเจ้าเคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อนหรือ? โอ้ ใช่แล้ว! เหมือนว่าในอดีตหลิวเยว่จะเคยทะลวงผ่านขึ้นสู่จอมยุทธ์ระดับเจ็ดแล้วใช่หรือไม่… แสดงว่าพวกเจ้าก็เคยเห็นแล้วสิ?”
ตอนที่อีกฝ่ายยังอยู่ในร่างซั่งกวนเยว่ มู่หงอวี่เคยได้ยินมาว่าระดับของนางสูงกว่าตอนนี้มาก ฉะนั้นแล้วระดับเจ็ดน่ะหรือ… คงไม่ยากเกินเอื้อมหรอก
ทันใดนั้นอวี่เหวินจิงหงก็นึกบางอย่างขึ้นได้ หางตาเรียวกระตุกอย่างรุนแรง
“ก็ว่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้!”
นั่นเพราะเมื่อก่อนตอนที่ฝ่าบาทกำลังทะลวงขึ้นสู่จอมยุทธ์ระดับเจ็ดนั้น เขากับเจี่ยนเฟิงฉือบังเอิญอยู่ที่นั่นด้วยพอดี และพวกเขาก็ได้เห็นมันเต็มสองตา!
เมื่อมองย้อนกลับไปดีๆ แล้ว ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เหมือนกันกับตอนนั้นเลยมิใช่หรือ?!
“แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่ามันอาจจะไม่เหมือนกันหมดเสียทีเดียว แต่ที่บังเอิญก็คือว่า ในอดีตเองก็มีคนผู้หนึ่งกำลังสู้กับฝ่าบาทขณะทะลวงขึ้นสู่ระดับเจ็ดเหมือนกัน…”
และในเวลานั้น นางก็เรียกพลังจิตวั่งเสิ่นออกมาก่อนกำหนดเช่นกัน! และหลังจากสกัดกั้นกันอยู่หลายครั้ง สุดท้ายนางก็เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง!
จู่ๆ มู่หงอวี่ก็ทำท่าสนอกสนใจขึ้นมาทันที
“ข้าว่าแล้ว! ตอนนั้นนางต้องเก่งกาจมากเลยใช่หรือไม่!”
ทว่าอวี่เหวินจิงหงกลับเบือนหน้าออกไปอีกทาง
“มันก็… เอ่อ… ก็ใช่…”
แต่พอเห็นเขาทำท่าไม่อยากตอบ มู่หงอวี่จึงสบถออกมาเบาๆ และหันไปมองเจี่ยนเฟิงฉือแทน
“นี่คุณชาย เจ้าเองก็เคยเห็นใช่หรือไม่? บอกข้าหน่อยสิ! บอกข้าหน่อย!”
เจี่ยนเฟิงฉือชำเลืองมองนางเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
“เจ้าเห็นจวินจิ่วชิงแล้วใช่หรือไม่?”
มู่หงอวี่เบนสายตาไปมอง
“เห็นสิ!”
“ข้าคือเขาในตอนนั้น”
“…”
มู่หงอวี่พลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว ก่อนจะเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก
“ละ… แล้วหลังจากนั้นเจ้า… เป็นอย่างใดหรือ?”
เจี่ยนเฟิงฉือยิ้มเยาะ
เขายิ้มอย่างมีเลศนัย ทว่าแววตาตากลับมิได้แย้มยิ้มไปด้วย
“เจ้าคิดว่าอย่างใดล่ะ?”
เกรงว่าบทสรุปของจวินจิ่วชิงผู้นี้ คงไม่ได้ดีไปกว่าเขาในตอนนั้นแน่ๆ!
คนบ้าที่ดึงดันจะทะลวงให้ได้เช่นนี้ ใครมันจะไปสู้ได้กัน?
แต่ในขณะที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว วิถีสายฟ้าเส้นที่สองบนท้องนภา ก็พลันฟาดผ่าลงมาอีกครั้ง!
เปรี้ยง!