ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 994 ท้าทาย
ตอนที่ 994 ท้าทาย
และครั้งนี้ก็ยังคงเป็นกระบี่หลงหยวนที่รับแรงปะทะแทนนาง!
เพียงแต่เมื่อเทียบกับเมื่อครู่แล้ว ดูเหมือนสถานการณ์ในรอบนี้จะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
พลังปราณของสายฟ้าครั้งที่สองเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่พลังปราณในกระบี่หลงหยวนกลับค่อยๆ ลดลง
เมื่อด้านหนึ่งเพิ่มและด้านหนึ่งลด สุดท้ายพลังปราณทั้งสองก็เสมอกัน!
ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ด้านล่างเองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นความรุนแรงนั่น!
แม้ว่าพลังของกระบี่หลงหยวนจะหายไปเกินครึ่งและไม่ได้ส่งผลกระทบต่อนาง แต่ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจว่าหลังจากนี้สถานการณ์จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้นนางจะต้องทะลวงผ่านขอบเขตพลังปราณให้ได้! และก้าวเข้าสู่จอมยุทธ์ระดับเจ็ดโดยเร็วที่สุด!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเร่งให้ไข่มุกธาราที่อยู่ในกายกลืนกินพลังปราณสีทองรอบตัวนางเร็วขึ้น
หลังจากที่พลังปราณเหล่านี้ถูกขัดเกลาโดยไข่มุกธาราแล้ว พวกมันทั้งหมดก็จะกลายเป็นพลังของนาง และค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในแขนขาและกระดูกของนาง
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากการถูกกระชากอย่างแรง และยังรู้สึกได้ว่าชีพจรดั้งเดิมในร่างกายของนาง กำลังใกล้ถึงขีดจำกัดของมันแล้ว!
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางตกใจมากที่สุดก็คือ ทั้งๆ ที่มาถึงขั้นนี้แล้ว แต่นางกลับยังไปไม่ถึงจังหวะเหมาะในการทะลวง
หากต้องการทะลวงขึ้นสู่จอมยุทธ์ระดับเจ็ด จักต้องผ่านด่านวั่งเสิ่น และเผชิญหน้ากับพลังจิตวั่งเสิ่นแบบตัวต่อตัว
โดยทั่วไปแล้ว ก่อนที่ผู้ฝึกตนจะทำการทะลวง พวกเขาจะกลืนกินพลังปราณดั้งเดิมของสวรรค์และโลกเข้าไปส่วนหนึ่ง เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเอง
ยิ่งกลืนกินมากเท่าไร ความแข็งแกร่งก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเท่านั้น และอัตราความสำเร็จในการทะลวงสู่จอมยุทธ์ระดับเจ็ดก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งในขณะเดียวกัน เป้าหมายที่ต้องจัดการอย่างพลังจิตวั่งเสิ่นเองก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
อย่างใดก็ตาม ตราบใดที่นางทำสำเร็จ ความแข็งแกร่งหลังจากการทะลวงก็จะสูงกว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน รวมทั้งศักยภาพและความเร็วของการบ่มเพาะพลังปราณในอนาคต ก็จะเพิ่มขึ้นมากมายเช่นกัน
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเต็มใจที่จะเสี่ยง
ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่ลองคำนวณเวลาดู และคาดว่ามันใกล้จะถึงเวลาแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าไข่มุกธาราในจุดตันเถียนนั้น จะหมุนวนและกลืนกินพลังเหล่านั้นไม่หยุด แถมยังไม่มีวี่แววที่จะทะลวงขั้นพลังปราณอีกต่างหาก
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าตัวเองสัมผัสได้ถึงพลังปราณของจอมยุทธ์ระดับเจ็ดอย่างแผ่วเบา และเดิมทีก็คิดว่าคงสมควรแก่การทะลวงแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าขั้นตอนนี้จะยังอีกยาวไกลนัก!
ฉู่หลิวเยว่ตั้งสมาธิแล้วมองเข้าไปจิตวิญญาณของตัวเอง ก่อนจะเห็นระลอกคลื่นพลังปราณบนไข่มุกธารา พร้อมลวดลายอักขระทั้งหกเส้นที่เคลื่อนไหวอย่างงดงามและชัดเจน
แต่เส้นที่เจ็ดกลับมิได้ปรากฏขึ้นมา
นางรู้ตั้งนานแล้วว่า มันคงยากหากคิดจะใช้ไข่มุกธารานี้ทะลวงขั้นพลังปราณ
แต่นางนึกไม่ถึงว่าแม้มันจะดูดกลืนพลังปราณเข้าไปมากมาย มันกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย!
ขณะเดียวกันสายฟ้าเส้นที่สาม ก็เริ่มรวมตัวกันบนท้องฟ้าแล้ว!
…
ท่าทีที่แปลกไปของฉู่หลิวเยว่ เรียกความสนใจจากผู้คนได้ทันที
เพราะนับตั้งแต่ตอนที่นางเริ่มตั้งท่าจะบุกทะลวง มันก็ผ่านมาพักใหญ่แล้ว
พูดตามหลักก็คือ ในเมื่อนางถูกล้อมรอบด้วยพลังปราณสีทองอันไร้ขีดจำกัด และความเร็วในการกลืนกินก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า เช่นนั้นมันควรจะได้เวลาบุกทะลวงตั้งนานแล้ว
แต่พอเวลาผ่านไป นางก็ยังคงนั่งนิ่งๆ เช่นเดิม
ถ้าไม่ใช่เพราะพลังปราณสีทองยังคงไหลเวียนอยู่รอบตัวนาง มันแทบจะทำให้คนอื่นๆ คิดว่านางหมดสติไปแล้ว
อวี่เหวินจิงหงเอนตัวไปหาเจี่ยนเฟิงฉืออย่างร้อนใจ และถามอย่างระมัดระวัง
“เฟิงฉือ ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนยามที่ฝ่าบาททะลวงสู่จอมยุทธ์ระดับเจ็ดนั้น เหมือนนางจะใช้เวลาไม่มากเท่านี้… และในตอนนั้น มิใช่ว่าฝ่าบาททะลวงได้อย่างรวดเร็ว แล้วเอาชนะเจ้าได้หรอกหรือ?”
เจี่ยนเฟิงฉือเหลือบมองเขานิดๆ
“ข้าจำมันได้ขึ้นใจอยู่แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าย้ำอีกรอบก็ได้”
อวี่เหวินจิงหงคอยด้วยความตกใจ พลันเกาศรีษะอย่างกล้ำกลืน
“แหะๆ อย่าเข้าใจผิดเชียว! ขะ ข้าก็แค่สงสัยว่า… ในเมื่อฝ่าบาทไม่มีชีพจรเทียนจิง แล้วจะดูดกลืนพลังได้รวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างใด?…”
ซึ่งสิ่งที่เขาถามไปนั้น ก็มีคนอยากรู้อีกเยอะเลยมิใช่หรือ?
เจี่ยนเฟิงฉิอยิ้มเยาะให้ตัวเอง แล้วสะบัดพัดในมือเบาๆ
“ก็อย่างที่เห็น”
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่เคยจะเอะใจ แต่ช่วงนี้เขากลับพบว่า นอกจากชีพจรเทียนจิงของนางที่ไม่ได้รับการฟื้นฟูแล้ว ดูเหมือนว่าทักษะอื่นๆ ของฉู่หลิวเยว่จะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
มันเป็นความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนและยากที่จะอธิบาย
เนื่องจากฉู่หลิวเยว่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถเทียบเคียงซั่งกวนเยว่ผู้เก่งกาจเหนือผู้ใดในชาติก่อนได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของระดับชีพจรดั้งเดิมหรือระดับความแข็งแกร่งส่วนบุคคลก็ตาม
ผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้สึกว่าถึงนางจะฟื้นกลับมาได้ แต่ฝีมือของนางก็ยังแย่กว่าเมื่อก่อนอยู่นิดหน่อย
ซึ่งหากไม่ใช่เพราะนางทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการยอมรับจากคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่ง อีกทั้งยังเป็นที่โปรดปรานขององค์ไท่จู่ล่ะก็…
บัลลังก์ของนางจักต้องสั่นคลอนเป็นแน่
ทว่าจากมุมมองของเจี่ยนเฟิงฉือแล้ว จากคนที่ฟื้นขึ้นมาพร้อมสภาพร่างกายอันไร้ประโยชน์และชีพจรดั้งเดิมแตกสลายอย่างนาง สามารถพัฒนาตัวเองได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงปีสองปี กระทั่งประสบผลสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้นั้น น่าทึ่งเสียยิ่งกว่าใคร!
และในปัจจุบัน คนเหล่านี้เพียงคุ้นเคยกับซั่งกวนเยว่ในอดีต และรู้จักฉู่หลิวเยว่เพียงผิวเผินเท่านั้น
แต่เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจตัวตนทั้งสองของนางได้อย่างลึกซึ้ง
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเชื่อมั่นว่า นางจักต้องชนะการแข่งขันในวันนี้อย่างแน่นอน!
…
สภาพจิตใจทั้งหมดของฉู่หลิวเยว่พร้อมที่จะบุกทะลวงแล้ว
และสิ่งนี้ทำให้นางเลือกที่จะเพิกเฉยต่อเวลาที่เสียไป
แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่รออยู่นั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ยากเกินรอ
“พวกเจ้าสังเกตหรือไม่ว่า เมื่อเทียบกับตอนเริ่มต้นแล้ว ดูเหมือนว่าพลังปราณสีทองเหล่านั้นจะลดลงมาก… ราวกับหายไปเกือบครึ่งเลย!”
“นอกจากส่วนที่จวินจิ่วชิงกลืนกินเข้าไปในตอนแรก พลังที่เหลือส่วนใหญ่ก็เข้าไปอยู่ในร่างของซั่งกวนเยว่แล้วมิใช่หรือ? หรือนางคิดจะรวบเอาพลังปราณทั้งหมดเหล่านี้ไว้เป็นของตัวเองกัน?”
“เหอะ เชื่อข้าสิ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก! เจ้ามองไม่เห็นเศษเสี้ยวพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ขององค์ไท่จู่แห่งเป่ยหมิง ที่จ้องจะเขมือบนางหรือไร? ว่าก็ว่าเถอะ เดิมทีเจ้าสิ่งนี้ก็เป็นของราชวงศ์เป่ยหมิงมาแต่ไหนแต่ไร การที่นางคิดชิงมันไปเช่นนี้ ช่างไม่เหมาะสมเลยจริงๆ…”
“จะว่าเช่นนั้นก็มิได้ เพราะยามเปิดหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงในครานี้ ทางราชวงศ์เป่ยหมิงเป็นผู้เชิญทุกคนเข้ามาเอง ในเมื่อกล้าเชิญคนนอกเข้ามา ฉะนั้นพวกเขาต้องเตรียมการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วย…”
เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว และสายฟ้าเส้นที่สามก็ผ่าลงมาอย่างรวดเร็ว!
หลายคนที่ยังคงเฝ้าอยู่รอบๆ ยอดเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ใกล้เข้ามา พลันล่าถอยออกไปอีกครั้ง!
…
ครั้งนี้กระบี่หลงหยวนนั้นแทบจะใช้พลังปราณเฮือกสุดท้ายในการหยุดยั้งมันก็ว่าได้
และในที่สุดแสงเรืองรองของมันก็ดับลง และร่วงหล่นสู่พื้นดินราวไร้จิตวิญญาณ
ถ้าไม่ใช่เพราะการป้องกันของโล่สีดำและเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดง ร่างนางของคงถูกแรงกดดันของมันบดขยี้โดยตรงไปแล้ว!
หลังถูกแรงกระแทกพุ่งใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดสีสดพลันไหลออกมาจากมุมปากของนางอีกครั้ง
น้ำเสียงขององค์ไท่จู่เต็มไปด้วยความกังวล
“นังหนู! กระบี่หลงหยวนไม่สามารถใช้การได้อีกแล้ว เจ้ายังไม่พร้อมทะลวงอีกหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองไปยังไข่มุกธาราในจุดตันเถียนของตนด้วยแววตาไร้ความรู้สึก แล้วค่อยๆ กำมือแน่นขึ้น
“หากยังไม่ทะลวงอีก ประเดี๋ยวสายฟ้าครั้งที่สี่ก็จะผ่าลงมา! เมื่อถึงตอนนั้นข้าเกรงว่ามันจะ…”
ถ้านางยังไม่ทะลวงให้ถึงระดับเจ็ดสักที สุดท้ายจะมีแต่คำว่า “แพ้” อย่างเดียวเท่านั้น!
เปรี้ยง!
ราวกับยืนยันคำพูดขององค์ไท่จู่ เพราะเพียงพริบตา สายฟ้าเส้นที่สี่ก็ปรากฏขึ้นในหมู่เมฆแล้ว!
การบีบบังคับของมันรุนแรงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด!
ทว่าขณะเดียวกัน ในที่สุดก็มีเสียง หึ่ง ดังขึ้นเหนือไข่มุกธารา!
ฉู่หลิวเยว่ใจชื้นขึ้นมาทันที!
แต่ไม่ทันที่นางจะได้ยกยิ้มดีใจ ก็ได้ยินเสียงตะโกนตกใจขององค์ไท่จู่เสียก่อน
“เหตุ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้!”
ฉู่หลิวเยว่พลันสังเกตเห็นความผิดปกติแล้วเงยหน้าขึ้นมอง!
ก่อนจะเห็นเมฆดำขยับเข้ามารวมตัวกันบนท้องฟ้า พร้อมสายฟ้าเสมือนงูสีเงินกำลังแหวกว่ายอย่างรวดเร็ว!
และหลังจากนั้น ก็มีสายฟ้าอีกเส้นปรากฏขึ้นมา!