ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 117-2 ทับทิมรักษาบาดแผล ความรักหยั่งลึกในยามค่ำคืน
เฉินจ้าวหันกลับไปอยู่บ่อยครั้ง อาศัยแสงไฟมองว่านางตามติดมาหรือไม่ เขาเห็นเพียงเด็กสาวที่อยู่ด้านหลังมีสีหน้าคาดเดาได้ยาก ทว่ายังคงฉายความเด็ดเดี่ยว ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างกระแทกโดยไม่รู้ตัว สายตาของชายหนุ่มหม่นลง แล้วหันกลับมาถอนใจ ‘เฮ้อ’ จากนั้นก็เร่งฝีเท้ามากขึ้น
ม้าสามตัวจากคอกของราชสำนักกำลังก้าวเดินอยู่ภายใต้พายุฟ้าคะนอง เมื่อเลี้ยวโค้งอยู่สองสามครั้ง พวกมันก็ผ่อนฝีเท้าลง ทันใดนั้นก็มีเสียงล้อลากดังมาจากข้างหน้า ราวกับมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางมาก
…
เป็นไปตามคาด ข้างหน้าที่ห่างออกไปห้าหรือหกจั้ง มีแสงไฟส่องสว่างขึ้นสองสามจุด เงาร่างของทหารม้าปรากฏแก่สายตา พวกเขาคุ้มกันรถม้าคันหนึ่งเดินมาข้างหน้าอย่างช้าๆ ด้านหน้าสุดคือรถกรงขังสัตว์ ภายในขังสัตว์ตัวสีดำทมิฬที่กำลังสบลไสลอยู่ตัวหนึ่ง
ครั้นอวิ๋นหว่านชิ่นมองให้ดี พร้อมกับบังคับม้าเข้าไปใกล้ๆ นางถึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าภายในกรงคือหมีดำตัวสูงใหญ่หลายจั้ง ข้างใต้หน้าอกของมันมีกริชด้ามสีทองปักไว้ ยังไม่ได้ดึงออกมา ปลายกริชผูกผ้าสีทองลายมังกรผืนยาว เป็นสัญลักษณ์ของราชสำนัก คราบเลือดที่เปรอะอยู่บนนั้นแห้งกรังแล้ว
นางดูออกว่ามีดนี้ทำขึ้นเพื่อจัดการหมีดำ
ตอนนี้หมีดำถูกจัดการแล้ว มันไม่สนใจผู้คน กำลังหลับอุตุ
แม้แต่ยามนอนหลับยังดูน่าหวาดหวั่น ฟันของหมีดำโผล่ออกมาด้านนอก ดวงตาใหญ่เท่าระฆังทองแดงหรี่ลงเป็นเส้นเล็ก แสดงความดุร้ายออกมาอยู่บ้าง ปากใหญ่กระหายเลือดอ้าออกเล็กน้อย ทั้งยังแลบลิ้นออกมาด้วย ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายมากมายในป่า บนลิ้นของมันเคลือบด้วยหนามเล็กหนาแน่น เพียงแค่เลียครั้งเดียว ก็นำผิวหนังอันโอชะออกไปได้แล้ว บนอุ้งมือของมันมีกรงเล็บยาวประมาณสามถึงสี่ชุ่น ข่วนเพียงครั้งเดียวก็เปิดเนื้อหนังคนได้ พอจะทะลุไปถึงอวัยวะภายในได้เลยด้วยซ้ำ!
ท่าทางนอนหลับของมันดุร้ายยิ่งนัก แค่คิดก็รู้แล้ว ว่ายามตื่นจะรับมือกับมันยากเพียงใด!
ทหารกลุ่มล่าสัตว์ด้านหน้าเห็นเฉินจ้าวแล้ว รู้ว่าเขาเชิญหมอหลวงประจำตัวองค์ชายสามมาด้วย จึงยกมือขึ้น
“หยุด!”
กลุ่มทหารหยุดลงระหว่างทางในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบ
อวิ๋นหว่านชิ่นลงจากม้าตามเฉินจ้าวและหมอหลวงอิง อาศัยเส้นทางที่เหล่าทหารหลีกให้ เพื่อเดินเข้าไป
องครักษ์ที่ข้างรถมาเดินเข้ามาสองสามก้าว พวกเขาเห็นว่ามีใครบางคนเพิ่มขึ้นมา ทว่าตัวเล็กจ้อย ทั้งยังสวมเสื้อกันลมของเฉินจ้าว ปิดบังร่างกายจนมิด กระนั้นก็ชัดเจนว่าไม่ใช่บุรุษ เมื่อมองอีกครั้ง ถึงได้พบว่าเป็นอวิ๋นหว่านชิ่น องครักษ์คิดว่ามองผิดไป สุดท้ายแน่ใจแล้วว่าเป็นนาง จึงตกใจจนสะดุ้งโหยง “คุณหนูอวิ๋นมาได้อย่างไรขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงเสื้อกันลมลง “ข้าได้ข่าวมาจากจื่อหลิง จึงมาดูสักหน่อย ฉินอ๋องเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินคุณหนูอวิ๋นกล่าวว่ามาดูสักหน่อย นางกล่าวเสียงแผ่วเบาน่าฟัง ทว่านางขี่ม้าออกมาจากกระโจมสตรีถึงป่าลึกเชียวนะ!
ซือเหยาอันยังไม่ทันได้ตอบ เฉินจ้าวก็เอ่ยขึ้นมาว่า “หมอหลวงอิง ฉินอ๋องอยู่ในรถม้า เชิญท่านเข้าไปดูเถิดขอรับ”
หมอหลวงอิงพยักหน้า ก่อนจะหันหลังให้รถกรงล่าสัตว์ แล้วเดินไปทางรถม้า จากนั้นก็เลิกผ้าม่าน เพื่อก้าวขาขึ้นไป
เพราะหมอหลวงอิงมาตรวจดูอาการบาดเจ็บให้ฉินอ๋อง กลุ่มลมแรงหลายสายราวกับงูในป่าเขาอันเย็นเยียบก็หยุดลงทันที เปลวไฟในมือของเหล่าองครักษ์ที่ติดตามมาล่าสัตว์ด้วย ก็ส่องสว่างไปทั่วป่าในยามค่ำคืน
อวิ๋นหว่านชิ่นมองรถมาที่อยู่ห่างจากข้างหน้าสิบกว่าก้าว พลางกล่าวถามซือเหยาอันเสียงเบา “ใต้เท้าซือ ฉินอ๋องบาดเจ็บได้อย่างไร บาดเจ็บตรงไหน ร้ายแรงหรือไม่”
ซือเหยาอันมองอวิ๋นหว่านชิ่น ประกายไฟพาดผ่านดวงตาของเขาไป แล้วถอนใจเสียงหนึ่ง “พวกข้าพบเจ้าสัตว์ดุร้ายนั่นเข้า คอยคุ้มกันกันและกันอยู่วันหนึ่ง เมื่อจัดวางกับดักเรียบร้อย เตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ เหลือรอเพียงเจ้าหมีดำนั่นเดินเข้ามา ทว่ามันฉลาดนัก ราวกับได้กลิ่นของคน มันวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กับดักอยู่นาน จนกระทั่งเย็นย่ำก็ยังไม่เข้ามา…องค์ชายสามจึงให้พวกเราไปคุ้มกันอยู่ที่หน้ากับดัก แล้วนำองครักษ์ฝีมือดีหลายคนไปล่อหมีดำด้วยตนเอง หลังจากหลอกล่อหมีดำมาได้แล้ว เจ้าหมีดำนั่นรู้ว่าเป็นกับดัก จึงเกิดบ้าคลั่ง มันมีแรงมหาศาลจริงดังคาด เจ้านั่นดิ้นหลุดจากเชือก เหล่าองครักษ์กลัวว่ามันจะกระโดดมาตะครุบ ต้องคุ้มครององค์ชายสามก่อนค่อยว่ากัน ด้านองค์ชายสามรู้สึกว่าจะเสียโอกาสครั้งนี้ไป จึงแหวกหญ้าให้งูตื่น หวังจะให้เจ้าหมีดำตกที่นั่งลำบาก พระองค์พาคนตามเข้าไปจัดการมันอีกครั้ง แต่กลับถูกมันข่วนเข้าที่ขาซ้ายขณะที่กำลังดิ้นรน…”
ลูกตาของอวิ๋นหว่านชิ่นพลันหดตัว
“…โชคดีที่องค์ชายเตรียมตัวไว้แล้ว พยายามฝืนบาดแผลดึงกริชอาบยาสลบออกมาจากรองเท้า แล้วแทงเข้าไปใต้หัวใจของหมีป่า ถึงทำให้หมีตัวนั้นสลบล้มคว่ำไป”
อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้วมุ่น ความใจร้อนนี่มันอะไรกัน ถึงหมีตัวนั้นจะฉลาดเพียงใด ก็ไม่มีทางฉลาดไปได้มากกว่าคนหรอกกระมัง ในเมื่อเจอแม้กระทั่งรังของมัน ทั้งยังจัดเตรียมกับดักแล้วเรียบร้อย ไม่ช้าก็เร็วต้องก็ต้องจับได้ รอมากกว่านั้นอีกสักคืนหนึ่งจะเป็นไร หากเขาเงียบขึ้นมา ก็เงียบได้ยิ่งกว่าทะเลสาบลึกล้ำหลายพันปีเสียอีก เมื่อเข้าตาจนเช่นนี้ เหตุใดถึงได้ร้อนใจได้แล้ว
…
ซือเหยาอันเห็นสีหน้าของนางแปลกไป จึงกัดฟันกล่าวเสียงเบา “คุณหนูอวิ๋น เดิมทีองค์ชายสามไม่ได้รีบร้อนจะไปจับหมีป่าตัวนั้น ทว่าองค์ชายได้ข่าวจากเหล่าทหารในวัง…และทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในลานล่าสัตว์วันนี้”
เปลือกตาของอวิ๋นหว่านชิ่นกระตุกครั้งหนึ่ง หมายความว่าเขารู้เรื่องที่ฮ่องเต้เรียกเมี่ยวเอ๋อร์ไปปรนนิบัติอย่างนั้นหรือ? หรือเขาเดาได้ว่าเดิมทีฮ่องเต้เรียกนางไป?
ทันใดนั้นเอง ก็เมีเสียงร้องเรียกของหมอหลวงอิงดังมาจากภายในรถม้า “เหยาอัน! นำผ้าพันแผลมา ไม่พอแล้ว”
ซือเหยาอันรีบหอบกล่องพยาบาลที่นำมาด้วยวิ่งไป ก่อนจะส่งเข้าไปให้ในรถม้า อวิ๋นหว่านชิ่นตามเขาอยู่ด้านหลัง เมื่อเดินเข้าไปใกล้รถม้า นางได้กลิ่นเลือดสดๆ โชยออกมาเตะจมูก ทั้งๆ ที่มีผ้าม่านกั้นอยู่
ภายในรถม้ามีเสียงร้องซี๊ดออกมา รวมถึงเสียงผสมน้ำเกลือ และเสียงฉีกดัง ‘แควก’ ข้างในน่าจะกำลังล้างแผล จากนั้นถึงค่อยพันแผล
เพียงฟังเสียงก็ทำให้หลายคนที่อยู่ด้านนอกเคร่งเครียดแล้ว คนด้านในกลับไม่ร้องด้วยความเจ็บปวดสักนิด แต่นั่นยิ่งทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกนับถือ
เมื่อครู่นางได้เห็นกับตาตนเอง ว่ากรงเล็บของหมีป่าตัวนั้นแหลมคมเพียงใด หากมันได้ข่วนใครเข้าแล้ว คาดว่าคงจะถลกเนื้อทั้งชิ้นไปด้วย จะไม่เจ็บได้อย่างไรเล่า เพียงแค่ใช้น้ำเกลือฆ่าเชื้อโรค ทันทีที่น้ำเกลือซึมลงไปในแผล คนที่ทนความเจ็บปวดไม่ได้ ก็คงจะต้องดิ้นพล่าน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เหล็กกล้า
แต่เขากลับหนักแน่นอย่างยิ่ง ไม่ร้องส่งเสียงใดออกมาสักแอะ
ไม่มีใครออกมาจากข้างในรถม้าอยู่เนิ่นนาน
เดิมทีซือเหยาอันคิดว่าแค่พันแผลสักครั้งก็ใช้ได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะนานถึงเพียงนี้ จึงรู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง “หมอหลวงอิง เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
หมอหลวงอิงเลิกผ้าม่านขึ้น ก่อนจะยื่นหน้าที่มีเหงื่อกาฬแตกพล่านออกมา “แผลใหญ่อยู่บ้าง ฆ่าเชื้อแล้ว แต่ยังมีเลือกซึมออกมาอยู่ ต้องเร่งการเดินทางขึ้น เมื่อกลับไปที่ลานล่าสัตว์แล้ว ที่นั่นถึงจะมีอุปกรณ์หยุดเลือด”
ซือเหยาอันไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบไปจัดทัพ ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะมองเห็นสถานการณ์โดยรอบชัดเจน ตอนนี้นางกล่าวออกมาว่า “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ ใต้เท้าซือ”
เสียงนี้…เสียงที่เหมือนลูกตุ้มหยกได้สมมาตร อ่อนหวานนุ่มนวลทำให้จิตใจสงบยิ่งนัก
เดิมทีคนที่อยู่ในรถม้าอยู่ในอารามสะลึมสะลือ จึงหลับตาพักเอาแรงเสียแลย บัดนี้เขากลับขยับตัวขึ้นมา ลมหายใจขาดช่วง ใบหน้าหล่อเหลาที่อ่อนแอเพราะขาดเลือดพลันกระปรี้กระเปร่า
นางมาหรือ? ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ นางมาได้อย่างไร ไม่ใช่เกิดภาพหลอนเพราะเสียเลือดหรอกกระมัง องค์ชายหกได้ยินเสียงหวานของสตรีข้างนอกรถม้าดังชัดเจน
“…ข้ารบกวนท่านให้คนปีนต้นไม้ เด็ดดอกของมันลงมาสักกระจาดหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่ามีน้ำมันหอมระเหยและถ่านหินบ้างหรือไม่ รบกวนท่านนำมาสักหน่อยเจ้าค่ะ”