ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 132-2 การยื้อแย่งระหว่างจวน ไป๋ฮูหยินวางยา
คิดแบบนี้แล้ว หัวใจของนางเหมือนถูกมีดทิ่มแทงด้วยความเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าเรื่องอยุติธรรมแบบนี้จะตกอยู่กับนาง
อวิ๋นหว่านชิ่น ใช่แล้วเพราะอวิ๋นหว่านชิ่นนั่น ที่ทั้งตนแม่ลูกสองคนต้องตกระกำลำบากอยู่ที่นี่ก็เพราะนาง
ตอนที่อวิ๋นหว่านชิ่นมาไม่กี่วันก่อน นางก็เกลียดจนเข้ากระดูกดำ แต่ในช่วงเวลานี้ได้หยุดพักสงบในห้องพระ ก็ได้ฝึกฝนจิตใจให้มีความสงบ ควบคุมสติได้อยู่บ้าง
แล้วก็ยังมีไป๋ซิ่วฮุ่ยน้องสาวของนางที่เข้ามาที่ตระกูลอวิ๋นเพื่อเตือนสติในครั้งนั้น
จำต้องทน ได้เพียงแค่ทน
แม้จะทนจนอาเจียนเป็นเลือดก็ต้องทน
หลังความโศกเศร้าผ่านไป ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหายใจสองสามครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ เกาะไหล่ของอาเถาเอาไว้ ยกสายตาขึ้นเล็กน้อย วาดไปทางเหลียนเหนียงโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ภายในใจแม้นจะเจ็บปวด แต่ในสมองมีความคิดแวบเข้ามา
ลูกสาวตายจากไปแบบนี้ จะต้องไม่ให้เสียเปล่า อาจจะเป็นโอกาสให้นางก้าวไปข้างหน้า อวิ๋นหว่านเฟยเอ๋ย ถ้าดวงวิญญาณของลูกอยู่บนฟ้า ก็ปกป้องมารดาด้วยนะ ถ้ามารดาออกไปจากที่บ้าๆ นี้ได้ จะต้องล้างแค้นให้เจ้าแน่ จะต้องมีคนถูกฝังไปพร้อมลูกแน่!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา น้ำเสียงโศกเศร้า แต่ก็ไม่ตกตะลึงเหมือนก่อนหน้า น้ำตารินไหล “แล้วงานศพอวิ๋นหว่านเฟยของข้าจะจัดการอย่างไรต่อหรือ”
เหลียนเหนียงพูดเกี่ยวกับการจัดการของจวนกุยเต๋อโหวออกมา ในใจของไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่มีความเกลียดชังต่อจวนโหวมาก เหมือนกับต้องทนมีดที่บาดอก ขยับร่างกายสองครั้ง ตัดสินใจ โถมทั้งตัวไปข้างหน้า!
เหลียนเหนียงเห็นฮูหยินตาเหลือก ล้มตัวเองลงมา กลัวจะโดนล้มทับก็เลยกระโดดหลบ
อาเถากรีดร้อง “ฮูหยิน!” ยื่นมือรีบคว้าไว้ แต่แขนก็ไม่ได้ยาวขนาดนั้น คว้าได้แต่อากาศ!
สามคนภายในห้อง เบิกตากว้างมองไปที่ไป๋ฮูหยินที่เป็นลมจากความเศร้ามากเกินไป เสียงโครม ล้มลงบนพื้น หน้าผากกระแทกกับพื้น มีแผลเลือดไหลทันที
อาเถาทั้งโกรธทั้งรนพร้อมไปประคองไป๋เสวี่ยฮุ่ยขึ้นมา พร้อมบ่นไปพลาง “ทำไม ทำไมอนุเอ้อร์จึงไม่รับเอาไว้ แค่ข้างๆ มือเท่านั้นเอง แต่กลับยืนดูฮูหยินล้มลงเช่นนี้!”
เหลียนเหนียงรู้ว่ามันผิด แต่นางก็ตอบปัดๆ ไปว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าฮูหยินจะล้มลงมา…” แล้วก็เปลี่ยนหัวข้ออย่างเร็ว “ทำไมไม่รีบจัดการ รีบไปช่วยพยุงฮูหยินไปที่เตียงเถอะ ยังมัวบ่นอะไรอยู่ล่ะ”
ม่อไคไหลเห็นไป๋ฮูหยินล้มจนใบหน้าฟกช้ำ ไม่ว่าจะอย่างไร อีกไม่กี่วันจะต้องเจอผู้คน จะนิ่งเฉยไม่ได้ รีบออกไปเรียกหมอเข้ามาดู
อาเถาประคองไป๋เสวี่ยฮุ่ยขึ้นบนเตียงอย่างทุลักทุเล
เหลียนเหนียงเห็นเรื่องราวเริ่มวุ่นวาย จะจากไปก็ไม่ได้ ได้แต่ยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ รอพ่อบ้านเรียกหมอมา ตัวเองถึงจะจากไปได้ เห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยนอนอยู่ในอ้อมแขนของอาเถา ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ถอนหายใจออกมาครึ่งนึง “ขอโทษที่ทำให้เหลียนเหนียงตกใจ ตอนนั้นข้าหน้ามืดชั่วขณะ ทรงตัวไม่ได้ เกือบทำให้เหลียนเหนียงเจ็บตัวไปแล้ว”
เหลียนเหนียงริมฝีปากเรียวโค้งงอ ยังดีที่พอรู้ตัวอยู่บ้าง กระดูกทั้งตัวของเจ้าทับลงมาทับร่างข้า ตัวข้าไม่แหลกสลายไปเลยหรือไร ทับร่างกายอันมีค่าที่ให้กำเนิดบุตรชายเรือนนี้ เจ้าจะชดใช้ไหวหรือ อย่าว่าแต่ข้าเลย นายท่านและเหล่าไท่ไท่จะต้องฉีกร่างเจ้าออกเป็นชิ้นๆ แต่พอไป๋ฮูหยินพูดเช่นนั้น คำพูดก็นุ่มนวลขึ้น “ฮูหยินเหตุใดจึงพูดเช่นนั้น ไม่ต้องพูดต่อแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยและอย่าได้คิดมาก รอสักพักเดี๋ยวหมอก็มาตรวจดูว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหมือนไปสะกิดใจไป๋ฮูหยิน นางปิดปากและจมูก น้ำตาไหลออกมาจากตาทั้งสองข้าง “ได้รับบาดเจ็บแล้วอย่างไร อวิ๋นหว่านเฟยของข้านั้นแม้แต่ชีวิตก็ไม่มีเหลือแล้ว! นางยังเด็กอยู่เลยนะ! ยังต้องเจออะไรอีกมาก! ถึงจะเป็นอนุ นำไปฝังในหลุมฝังศพบรรพบุรุษไม่ได้ก็ช่าง ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดถึงการฝังศพเลย จุดจบก็ไม่ต่างจากทาสที่ตาย! น้องเหลียนเหนียงบอกข้าไม่ให้คิดมาก? ข้าทำผิดกฎของตระกูลอวิ๋น ได้รับความโกรธจากนายท่าน ไม่ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรก็ต้องจำใจรับ แต่อวิ๋นหว่านเฟย อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อของตระกูลอวิ๋นนะ จะให้ลงฝังในสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร ต่อให้ข้ารับได้ แล้วหน้าตาของตระกูลอวิ๋นเล่า จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร คุณหนูคนหนึ่งของตระกูล หลังตกตายไปแล้วก็ถูกยัดลงในหลุมศพหมกเป็นเศษผ้า…”
ชื่อเรียกเปลี่ยนเป็นน้องสาว ดูสนิทกันมากขึ้น น้ำเสียงยิ่งทุกข์และเศร้า ไม่สามารถคาดเดาได้
แต่ละคำที่กลั่นออกมาพร้อมน้ำตา เลือดบนหัวก็ยังไหลอยู่ บดบังสายตาทำให้เบลอไป แต่นางก็ไม่สนใจ
เหลียนเหนียงเห็นนางในสภาพนี้ ก็ทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ จึงเดินไปต่อหน้า เรียกให้อาเถาเอาน้ำสะอาด จุ่มผ้าขนหนูบิดหมาด แล้วไปนั่งข้างที่นอน “ฮูหยินวางใจได้ ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ได้จะให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ เหล่าไท่ไท่พูดแล้วว่า เมื่อถึงเวลาก็จะไปเจรจาว่าความกับจวนโหว ให้คุณหนูรองจากไปอย่างสมศักดิ์ศรี”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยสีหน้าผ่อนคลายลง มีความดีใจอยู่ในสายตา กุมมือเหลียนเหนียงทั้งสองไว้ “จริงหรือ ”
เหลียนเหนียงเห็นนางเป็นเหมือนสุนัขแสนเชื่องไปแล้ว ถือคำพูดของตนเองเป็นกฎเหล็ก ไม่มีราศรีของฮูหยินแห่งเจ้ากรมอีก ความเกรงใจที่มีต่อนางหายวับไป แล้วขยับปากพูด “แน่นอนสิ อย่างไรเสีย นางก็เป็นถึงบุตรสาวของตระกูลอวิ๋น ต่อให้จวนโหวไม่จัดการให้ดี ตระกูลอวิ๋นต้องทำบางอย่าง อย่าได้ให้คนนอกมานินทา”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำลังไตร่ตรอง ไม่พูดอะไร เหมือนกับครุ่นคิดพักหนึ่ง จู่ๆ ก็กัดริมฝีปาก จับมือเหลียนเหนียงไว้แน่น “น้องรอง พี่คนนี้ขอให้เจ้าช่วยสักเรื่องได้หรือไม่”
เหลียนเหนียงชะงักไปชั่วครู่ มองไปที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดวงตาอันโศกเศร้าที่สูญเสียลูกสาวไปมองมาที่นาง “น้องรอง ข้ารู้นะว่าตอนนี้เจ้าเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในจวนนี้ จนถึงตอนนี้ ดูท่าแล้ว นายท่านก็คงจะมอบหมายหน้าที่ในจวนให้เจ้าจัดการ ไม่มีใครวางใจได้เท่านี้อีกแล้ว ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยจัดการเรื่องงานศพลูกสาวที่น่าสงสารของข้าให้ที เรื่องงานศพนี้ เจ้าช่วยไปจัดการกับจวนโหวให้ที ช่วยให้อวิ๋นหว่านเฟยจากไปอย่างสมศักดิ์ศรีได้ไหม”
เหลียนเหนียงตาลุกวาว เรื่องนี้ต่อให้ขอมายังไม่ได้เลย นางจึงรีบเข้าไปนั่งใกล้ๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ถูก “เหลียนเหนียงก็อยากช่วยฮูหยิน แต่ก็ไม่รู้ว่านายท่านจะยอมไหม แม้ว่าถึงตอนนี้นายท่านจะอยู่ที่จวนของอนุภรรยามากกว่า แต่นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ เหลียนเหนียงอายุยังน้อย ตำแหน่งก็ไม่สูง เกรงว่านายท่านจะไม่วางใจมอบหน้าที่ให้จัดการ”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินว่าเหลียนเหนียงยินดีที่จะทำ ก็ปริ่มด้วยน้ำตา “ตอนนี้นายท่านทั้งรักทั้งถนอมเจ้า ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวหรือดวงจันทร์ก็ยอมหามาให้ จะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร แถมอวิ๋นหว่านเฟยก็ยังเป็นถึงลูกสาวของข้า หากนายท่านลังเล ก็ให้ยกข้าออกมาอ้าง แม้ว่าข้าจะทำพลาดครั้งใหญ่ ก็ขอให้นายท่านเข้าใจหัวอกของผู้เป็นมารดา เห็นแก่ชื่อเสียงของฮูหยินเจ้ากรมถึงแม้จะเพียงแค่ในนามก็ตามทีเถิด ข้าขอร้องล่ะ หากยังไม่พอ ตัวข้ามีน้องสาวที่ทำงานอยู่ในตำหนัก เจ้าส่งจดหมายให้นาง นางก็น่าจะทำตามคำขอของข้าได้ ช่วยกันขอร้องให้นายท่านมอบหน้าที่นี้ให้เจ้า น้องสาวที่แสนดี เจ้ายินยอมช่วยข้าไหม”
เหลียนเหนียงเบ่งบานดั่งดอกไม้ ชีวิตของลูกสาวเจ้าทำให้ข้าได้สิทธิ์ในการดูแลจวน จะไม่ยอมได้อย่างไร นางหน้านิ่ง กัดริมฝีปาก แล้วรับปาก “ฮูหยินรักบุตรสาวอย่างสุดซึ้ง ฟ้ารู้ดินรู้ เหลียนเหนียงจะลองดู หากนายท่านมอบหมายเรื่องงานศพให้กับข้าจริงๆ ข้าจะจัดการให้ดี จะกลับมารายงานขั้นตอนและการจัดงานศพให้ฮูหยินทราบ ไม่ทำให้ฮูหยินต้องกังวล” ในขณะที่พูด ก็กุมมืออันเย็นและผอมซูบของไป๋ฮูหยินไว้แน่น
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยลืมตา ภายในตาแวววาวแปลกๆ และจับมือกลับ จับมือของเหลียนเหนียงไว้แน่น สีหน้าโล่งใจ น้ำเสียงผ่อนคลายลง น้ำตารินไหล “น้องสาวแสนดี พี่สาวคนนี้ขอขอบใจเจ้ามากนะ”
*
เหลียนเหนียงดูแลไป๋เสวี่ยฮุ่ยอย่างดี รอหมอมาที่จวนเพื่อพันแผลที่หน้าผากให้นาง พูดคำพูดที่แสดงความเป็นห่วงสองสามคำแล้วก็จากไป ก่อนจากไปก็ได้ขอให้อาเถาดูแลฮูหยินให้ดีๆ ห้ามให้แผลโดนน้ำ
ม่อไคไหลเห็นว่าก่อนหน้านี้อนุรองคนนี้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องของฮูหยิน พอหันหน้ากลับมาอีกที ทั้งสองกลับดูสนิทกันเหมือนพี่สาวและน้องสาว รู้สึกแปลกหน่อยๆ แต่กลับไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร จึงตามเหลียนเหนียงกลับไปยังเรือนหลักนั้นก่อน
เหลียนเหนียงบอกม่อไคไหลให้ไปบอกกับจวนโหวนั่นก่อน อย่าเพิ่งรีบฝังศพไป บอกว่าครอบครัวนางอยากเห็นนางเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็รีบเข้าห้องไป บอกความปรารถนาของไป๋ฮูหยินให้อวิ๋นเสวียนฉั่งฟังไปหนึ่งรอบ ฮูหยินมอบเรื่องงานของคุณหนูรองให้ตนจัดการ พูดด้วยเหตุผลเล็กน้อยและออดอ้อนซะส่วนใหญ่ อวิ๋นเสวียนฉั่งจะทนกับการอ้อดอ้อนของอนุภรรยาได้อย่างไร ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงหวานนุ่มนวล ความเศร้าโศกจากการสูญเสียบุตรสาวแทบจะหมดไปแล้ว แต่พอคิดดูอีกที จะไม่ยอมจำนนต่อจวนโหวอย่างแน่นอน พิจารณาไม่นานก็ตอบรับ เรียกม่อไคไหลช่วยจัดการตามขั้นตอนของอนุรอง
ถงฮูหยินนั้นก็เปิดรับเหลียนเหนียงมากขึ้น เห็นลูกชายเรียกอนุภรรยามาดูแลเรื่องนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ได้เพียงหันหัวกลับมาเตือนอวิ๋นหว่านชิ่น แม้ว่างานศพของอวิ๋นหว่านเฟยจะไม่กลับมาจัดการที่จวนตระกูลอวิ๋น ท้ายที่สุดก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลอวิ๋นอยู่ดี งานแต่งกับงานศพชนกันก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องอัปมงคล จึงบอกนางว่าช่วงนี้ไม่ต้องสนใจอะไร ให้นั่งรอที่เรือนหยิงฝู หลีกเลี่ยงความวุ่นวาย