ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 134-2 แต่งองค์ทรงเครื่องให้แก่ไทเฮา กับ คำสั่งของฮ่องเต้
- Home
- ยอดหญิงอันดับหนึ่ง
- ตอนที่ 134-2 แต่งองค์ทรงเครื่องให้แก่ไทเฮา กับ คำสั่งของฮ่องเต้
ไทเฮาเล่าถึงการเสียชีวิตอย่างน่าสังเวชของนางสนมและลูกๆ ของคนเหล่านั้นที่ถูกทำร้ายอย่างลับๆ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยนาม ก็รู้ว่าเป็นแผนของบุคคลนั้นเช่นกัน
ลูกๆ ถูกทำร้ายหรือ หรือว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ฉินอ๋องถูกวางยาเมื่อครั้นยังเป็นเด็ก หากย้อนเวลากลับไปขณะนั้น สนมเอกเฮ่อเหลียนกำลังได้รับความโปรดปรานอยู่ ให้กำเนิดพระโอรสคงต้องเป็นที่โปรดปรานมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน เป็นธรรมชาติที่จะถูกบุคคลนั้นอิจฉาริษยาและป้องปรามไว้ล่วงหน้า
ถูกต้องแล้ว นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดที่ฉินอ๋องถึงมีสำนักแพทย์และแปลงปลูกยาสมุนไพรส่วนพระองค์ โดยปิดบังอาการที่แท้จริงกับคนภายนอก หลบเลี่ยงการส่งยาจากหมอหลวง…สถานะของบุคคลนั้นสูงที่สุดในวังหลัง หากลงมือเปลี่ยนยา ฉินอ๋องคงจะไม่สามารถสังเกตเห็นและป้องกันได้ทุกครั้งหรอก
หากเป็นเช่นนั้นแล้วนางสนมที่ตายอย่างอนาถนั่นเป็นใครกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงความคิดกลับมาและดูเหมือนว่าเส้นทางการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้าของฉินอ๋องนั้นไม่ง่ายเลย…อย่างน้อยที่สุดก็ก่อนขึ้นบัลลังก์
ทว่า หลายสิ่งหลายอย่างของภพนี้ ช่างแตกต่างจากภพก่อนอย่างสิ้นเชิง ภายใต้สายตาที่จ้องมองเช่นนี้ เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่นจริงหรือ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นก็สว่างวาบขึ้นทันทีแล้วตอบว่า “เป็นพระกรุณาธิคุณสำหรับการเตือนเพคะ และขอให้ไทเฮาทรงโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่เดินตามรอยของมารดาเพคะ”
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าใบหน้ามุ่งมั่น ดวงตาแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและแข็งแกร่ง เพียงแค่เห็นการกระทำของนางในงานเลี้ยงเสียเล่อแล้ว นางคงไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องแบกรับความไม่เป็นธรรม และไม่ยอมแพ้ในสิ่งที่ตนสมควรจะได้รับ จะเหมือนกับนางสวี่ซื่อได้อย่างไรเล่า เจี่ยไทเฮาไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย จึงเพียงยิ้มเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน หม่ามอมอก็พูดติดตลกว่า “ไทเฮาช่างรักหลานสะใภ้ในอนาคตมากจริงๆ นะเพคะ เมื่อพบเจอหน้ากัน ก็มีเรื่องราวให้พูดคุยกันไม่รู้จบ เพียงแต่เกรงว่าจะลืมจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในการเชิญแม่นางอวิ๋นเข้าวังไปเสียแล้วเพคะ”
หม่ามอมอเป็นผู้อาวุโสที่ติดตามรับใช้ข้างกายไทเฮามาหลายสิบปี เจี่ยไทเฮาไม่ตำหนิที่นางพูดจาตามใจชอบ แต่กลับเขกกระบาลแทน “ใช่จริงๆ ด้วย เร็วเข้า สาวน้อยอวิ๋นรีบแต่งหน้าให้ข้าเร็ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองสำรวจไปที่ใบหน้าที่สะท้อนของไทเฮาในกระจก แล้วเรียกให้นางกำนัลใช้อ่างสีทองตักน้ำสะอาดมาก่อน จากนั้นเปิดกล่องแต่งหน้าที่นำมา แล้วเทน้ำมันอัลมอนด์ลงบนฝ่ามือ โดยเช็ดเครื่องสำอางบนหน้าให้สะอาดหมดจดก่อน จากนั้นใช้ผ้าฝ้ายเช็ดหน้าให้แห้ง แล้วหยิบผงน้ำหอมและแป้ง ลิปสติก ที่เขียนคิ้วออกมา ซึ่งของเหล่านี้ล้วนถูกนำไปวางขายที่ร้านเซียงหยิงซิ่ว และได้รับผลตอบรับดีเยี่ยม แต่คงสู้ร้านเก่าแก่อย่างร้านเทียนเชียงไม่ได้เพราะเป็นร้านที่ได้ใจผู้คนมาช้านาน วันนี้ตั้งใจนำเข้าวังเพื่อมาใช้แต่งหน้าหงษ์อย่างไทเฮา หากไทเฮาพอพระทัย มิใช่ว่าช่วยเครื่องสำอางค์เหล่านี้ของร้านเซียงหยิงซิ่วทำการประชาสัมพันธ์ด้วยตัวของพระองค์เองหรือ
หลังจากเช็ดเครื่องสำอางออกหมดแล้ว ผิวพรรณของเจี่ยไทเฮาสภาพดีมาก แทบไม่มีริ้วรอย และขาวเนียนใส ไร้จุดด่างดำและไม่มีความหมองคล้ำอีกด้วย ใช้นิ้วกดเพียงเล็กน้อย ผิวก็เด้งทันที แสดงว่ายังมีความยืดหยุ่นอยู่มาก ผิวพรรณเช่นนี้ แม้แต่หญิงสาวหลายคนยังไม่มีด้วยซ้ำ ยากที่จะหาข้อบกพร่องออกมาได้
เพราะผิวพรรณดี ก็เหมือนกับหญิงฉลาดที่จัดเตรียมส่วนผสมทั้งหมดก่อนที่จะทำอาหาร อวิ๋นหว่านชิ่นมั่นใจมาก อุปสรรคเพียงอย่างเดียวคืออายุมากแล้ว เนื้อบริเวณแก้มทั้งสองข้างจะหย่อนลงเล็กน้อย ไม่เต่งตึงเหมือนหญิงสาวที่อ่อนเยาว์
วิธีการแต่งหน้าก่อนหน้านี้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าบรรดาลูกหลานขุนนางแห่งเขตเยว่จิง กล่าวคือแต่งหน้าสวยเข้ม นำแป้งมาทาให้หนาๆ ทั่วใบหน้าก็ถือว่างดงามแล้ว หากเป็นหญิงสาวก็คงจะพอไปวัดไปวาได้บ้าง ทว่า สำหรับสาวแก่ที่มีอายุแล้วก็จะดูไม่สง่างาม อันที่จริงใบหน้าและความสง่าของไทเฮาสามารถแต่งหน้าหนาๆ หนักๆ ได้เช่นกัน เพียงแต่ชุดที่จะสวมใสเลอค่าและสง่างามมาก แถมสีสันก็สดใส หากยังแต่งหน้าด้วยสีฉูดฉาดแล้ว จะยิ่งดูฟุ้งเฟ้อเกินไป อีกทั้งวันนี้เจี่ยไทเฮาออกงานเลี้ยงอาหารค่ำ หากดื่มจนได้ที่ หน้าที่แต่งไว้อาจจะเลอะได้ จะยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าสกปรกได้
อีกประการหนึ่ง สาเหตุที่ชาวเยว่จิงชอบแต่งหน้าจัด เพราะลักษณะใบหน้าของชาวฮั่นมีมิติน้อยกว่าชาวเหนือและชาวตะวันตกมาก หากแต่งหน้าจัด ก็สามารถเน้นอวัยะที่อยู่บนหน้าได้ เพิ่มเติมสิ่งที่ขาดหายไปตามกำเนิด ทว่า ก่อนมา ได้ยินจูซุ่นเล่าว่าแขกของวันนี้บังเอิญคือชายาของนักการทูตแห่งดินแดนแถบตะวันตก
หญิงสาวส่วนใหญ่จากดินแดนตะวันตกมีจมูกที่โด่ง ดวงตาที่ลึกและมีสีฟ้า คิ้วสีเขียวเหมือนกับตุ๊กตาของชาวตะวันตกก็ไม่ปาน แม้ว่าจะไม่ได้แต่งหน้า ก็มีใบหน้าที่งดงามอยู่แล้ว เหตุใดถึงต้องต้องใช้ข้อบกพร่องของตนไปสู้กับจุดแข็งของคนอื่น ชาวจงหยวนต้าเซวี่ยน นอกจากฉินอ๋องที่มีเชื้อสายของชาวต่างชาติผสมอยู่ครึ่งหนึ่งซึ่งทำให้ใบหน้าสง่างามแล้ว คนส่วนใหญ่มีคิ้ว ตา ริมฝีปากและจมูกที่นุ่มนวล สู้แต่งหน้าตามจุดแข็งของตนคงจะดีเสียกว่า
อวิ๋นหว่านชิ่นมีแผนการแต่งหน้าไว้ในใจแล้ว จึงทำความสะอาดมือ โดยเริ่มจากลงหน้าเป็นขั้นตอนแรกจนไล่ไปที่คิ้วและตาตามลำดับ จากนั้นใช้ชาดทาริมฝีปาก และขั้นตอนสุดท้ายคือฉีดน้ำหอมดอกไม้ที่ปรุงขึ้นเองลงบนข้อมือเล็กๆ ของตนแล้วถูไปที่บริเวณหลังหูและชุดของไทเฮา ความหอมของธรรมชาติเช่นนี้ได้ฟุ้งกระจายไปทั่ว โดยกลิ่นตัวแรกคือกลิ่นของดอกมณฑาขาและสมุนไพรกว่างฮั่วเซียงซึ่งมีคุณสมบัติทำให้เจริญอาหารและช่วยให้อารมณ์ดี กลิ่นในช่วงกลางและช่วงสุดท้ายเป็นกลิ่นหอมหวานจากดอกพุดและดอกมะลิซึ่งช่วยลดความเลี่ยนบนโต๊ะอาหารค่ำได้
เมื่อแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเอาแขนเสื้อลง แล้วให้สัญญาณไปที่หม่ามอมอและสาวกำนัลเพื่อย้ายกระจกบานยาวมา
ผู้หญิงในกระจกยาวมีการแต่งหน้าที่แตกต่างจากในอดีตมาก ดูสะอาด สบายตา ไม่มีการลงหมึกและสีที่หนัก ทว่า กลับถูกแต่งหน้าใหม่ให้มีความรู้สึกเป็นธรรมชาติที่เปล่งประกายและสดใส มีความปราณีตและสดชื่นกว่าการแต่งหน้าก่อนหน้านี้อย่างมาก ทั้งสง่างาม ไม่ดูฉูดฉาด ทั้งดูอ่อนเยาว์ลงมากกว่าสิบปีและไม่ได้รู้สึกแปลกตาหรือจงใจแสร้งทำเป็นคนอ่อนเยาว์
โดยเฉพาะบริเวณรอยพับโพรงจมูกที่มีรอยเ**่ยวย่นเล็กน้อยในวันปกติ ถูกทาด้วยแป้งที่มีสีเข้มกว่าเล็กน้อยถึงสองรอบ ทำให้ทั้งใบหน้าถูกยกขึ้นและผิวพรรณก็เต่งตึงขึ้นด้วย
ไทเฮาเป็นหญิงงามตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่นแล้ว เแม้ว่าจะอายุมาก แต่ก็ยังมีงดงามหลงเหลืออยู่มาก ทว่า ไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องเฉกเช่นวันนี้มานานหลายปีแล้ว นางหม่าซื่อจึงกล่าวชื่นชมจากใจจริงว่า “รูปร่างหน้าตาของไทเฮางดงามกว่าฮูหยินของนักการทูตแห่งดินแดนตะวันตกไม่รู้กี่เท่านะเพคะ ผู้หญิงแถบตะวันตกหน้าตาเหมือนแมวเปอร์เซียก็ไม่ปาน อาจรู้สึกประทับใจในครั้งแรก แต่พอมองนานๆ ก็จะรู้สึกเอียน และหากยิ่งสูดกลิ่นกายเข้าปอดแล้ว ก็จะมีกลิ่นที่หนักและฉุนมาก ดังนั้น รูปโฉมของไทเฮา จึงงดงามและมองไม่เบื่อเพคะ ทำให้บ่าวพลันนึกถึงตอนที่ท่านเข้าวังและได้พบกับฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นครั้งแรกเลยเพคะ”
ไทเฮายิ้มพูดกับมอมอ “ตอนนั้นข้าอายุอานายังน้อย เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรเช่นนั้น” ถึงจะพูดเช่นนั้นออกไป แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยสีแดงก่ำและความสุข พร้อมกับเอานิ้วชี้ไปที่น้ำหอม แป้งและของอื่นๆ อีกด้วยแล้วว่า “ประเดี๋ยวแม่นางอวิ๋นเก็บไว้ชุดหนึ่งนะ”
อวิ๋นหว่านชิ่น หัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วกล่าวว่า “ของเหล่านี้เคยถูกใช้แล้ว หากไทเฮาต้องการ ก็ต้องใช้ของใหม่ที่ยังไม่เคยเปิดใช้มาก่อนเพคะ หม่อมกลับไปแล้วจะรีบให้คนส่งชุดใหม่มาให้นะเพคะ”
เจี่ยไทเฮาถูกเอาอกเอาใจจนจิตใจเบิกบานมีความสุขมากและมองหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง “ใช่ ไว้แวะไปเอาที่ร้านเซียงหยิงซิ่วเองดีกว่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นหุบยิ้มและดึงสีหน้าลงเล็กน้อย “ร้านเซียงหยิงซิ่วที่ไหนกันเพคะ…เป็นเพียงร้านที่ทำกันเล็กๆ เท่านั้นเพคะ”
“ยังจะปิดบังข้าอีกหรือ” ไทเฮายิ้มแล้วเบิกตากว้างไปที่นาง “หากร้านเซียงหยิงซิ่วไม่มีคนมีฝีมือคอยหนุนหลัง อาศัยเพียงบุตรีของหงซื่อฮั่น คงจะเปิดร้านไม่สำเร็จหรอก ตอนหงเยียนมาขอพระราชทานแผ่นป้ายจากฮ่องเต้ เพลานั้นข้ากับฮ่องเต้ก็ต่างเดาได้แล้วและเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังนั้นคงเป็นเจ้าอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นมิได้เขินอายจนเกินงาม สะบัดกระโปรงแล้วยิ้มว่า “เป็นพระกรุณาธิคุณที่ไทเฮาไม่ทรงเปิดโปงเพคะ” นิ่งไปชั่วครู่แล้วว่า “และเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานป้ายให้เพคะ” ว่าไปแล้ว นอกจากฤดูการล่าสัตว์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เขาสร้างเรื่องจนทำให้ในใจของนางถึงกับขนลุกแล้ว โอรสสวรรค์องค์นี้ก็เข้าข้างนางไม่น้อย หากเป็นเพราะท่านแม่ของนางจริงๆ ก็นับว่าให้ความเมตตาและรักษาสัจจะจนถึงที่สุดแล้ว อันที่จริง ตนกับหนิงซีฮ่องเต้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย หลายปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้ได้ให้การสนับสนุนคนของสกุลอวิ๋นมาโดยตลอด ต่อมายังแกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอดโดยพระราชทานป้ายชื่อให้ในนามของหงเยียนอีก จนถึงบัดนี้ได้พระราชทานงานแต่งให้เป็นไปอย่างราบรื่น ที่ให้เกียรตินางเช่นนี้คงเป็นเพราะมารดาของตนไม่มากก็น้อย
“แต่อย่างไรก็ตาม…” เสียงของเจี่ยไทเฮาทำลายความครุ่นคิดของหญิงสาว “เจ้ามีงานอดิเรกเล็กๆ น้อย ๆ ไม่เป็นไร เพียงแต่เจ้าจะแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นต้องถือจวนอ๋องเป็นหลัก เพราะฝีมือของเจ้าโดดเด่นเช่นนี้ จะบอกให้เจ้าปิดร้าน ละทิ้งจุดเด่นของเจ้าไป ข้าก็ทำไม่ได้ เพียงแต่ให้เจ้าจงจำไว้ อย่าวอกแวกมากจนเกินควร ได้ยินหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มอย่างเชื่อฟังแล้วว่า “ล้วนฟังคำสอนจากไทเฮาเพคะ”