ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 136-3 ฮวงจุ้ยอันโหดร้าย ได้บันทึกลึกลับ
นางนอนพักไปชั่วขณะ ขณะนี้เป็นเวลาน้อมทักทายย่าถงก่อนอาหารมื้อค่ำแล้ว บังเอิญเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับหลานสาวของย่าถงเข้าวัง จึงให้หญิงแก่คนหนึ่งมาเร่งนางให้รีบไปคุยด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบกลับเป็นอันรับทราบ กำลังจะไป ชูซย่ากำลังเดินมาหา พูดกับนางด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ตอนที่คุณหนูใหญ่เข้าวัง พ่อบ้านจวนโหวพาบ่าวใช้มาที่นี่เจ้าค่ะ”
ที่แท้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นคนของจวนกุยเต๋อโหวนี่เอง หอิ๋นหว่านชิ่นสงสัย “เกี่ยวกับงานศพของคุณหนูรองหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ” ชูซย่าตอบกลับ “ทิ้งศพไว้นานขนาดนี้ ในที่สุดก็มีจุดจบสักที มู่หรงไท่กำลังจะถูกเนรเทศ ให้ไปรับโทษที่ทางเหนือไม่ใช่หรือ จวนโหวก็เพิ่งประกาศไปเมื่อไม่นานมานี้ว่า ได้ตัดขาดกับมู่หรงไท่แล้ว คงอยากให้เรื่องของคุณหนูรองจบลงในคราเดียว อนุรองท่านนั้นของพวกเรา คงรอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน หากยังยืดออกไป จนศพคุณหนูรองกองรวมเป็นขี้เถ้า เจ้ากรมจักต้องตำหนินางเป็นแน่ พอได้ยินจวนโหวประกาศเช่นนั้น อนุรองจึงยอมตกลงทุกอย่าง! ข้าได้ข่าวมาว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ว่าจะสั่งโลงศพชั้นดีให้กับคุณหนูรอง แล้วยังให้สุสานที่มีคนคอยเฝ้าด้วย ให้มาแจ้งทางตระกูลอวิ๋นว่า หากยอมตกลง เขาจะจัดการให้คืนนี้เลย…ศพถูกย่ำยีปานนั้น ข้าเกิดมา ยังไม่เคยพบไม่เคยเจอใครตายได้น่าเวทนาเช่นนี้มาก่อนเลย ต่อให้วันนี้จะสั่งโลงศพเป็นทองทั้งอัน ก็จะมีประโยชน์อันใดอีกเล่า”
“แล้วคนของจวนโหว ไปแล้วหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นถาม
“เพิ่งตกลงกับอนุรองเสร็จเมื่อครู่นี้เจ้าค่ะ พ่อบ้านจวนโหวแสดงความจริงใจโดยการเรียกให้คนไปที่เรือนเดิมของคุณหนูรอง เก็บข้าวของส่วนตัวที่นางเคยใช้ เห็นบอกว่า จะฝังลงไปด้วย พออนุรองได้ยิน ก็พูดว่าทั้งชีวิตของคุณหนูรองมีแต่มู่หรงไท่ ตายก็เพราะมู่หรงไท่ ให้พ่อบ้านจวนโหวไปหยิบของใช้ส่วนตัวของมู่หรงไท่ แล้วฝังลงไปพร้อมกันด้วย อย่างน้อยในโลกใบนั้น คุณหนูรองก็ได้อยู่กับสิ่งของเหล่านั้น พ่อบ้านจวนโหวจำใจยอม จึงเรียกให้คนกลับไปเอาของมา ตอนนี้ ก็น่าจะใกล้ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบรับอืม เสียงของหญิงแก่ก็ดังขึ้น นางไม่ได้ถามอีก จากนั้นก็เดินไปเรือนตะวันตกกับชูซย่า
พอออกจากเรือน กำลังเดินผ่านชานเรือนหน้าห้องรับแขก อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสาวใช้แต่งหน้าแต่งตัวคนหนึ่ง เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในมืออุ้มหนังสือไว้กองเล็กกองหนึ่ง
สาวใช้แลดูจะเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่าเหมือนกัน นางลดความเร็วลง เดินเข้ามาหา ย่อตัวลง “คุณหนูอวิ๋น”
ฮว่าซั่นเป็นสาวใช้คนสนิทของมู่หรงไท่ คนที่ถูกพ่อบ้านสั่งให้ไปหยิบของใช้ส่วนตัวของมู่หรงไท่ ก็คือนาง
อวิ๋นหว่านชิ่นมองสิ่งของในมือของนาง ต้องเป็นของๆ มู่หรงไท่เป็นแน่ ชูซย่าส่ายหัวอยู่ข้างๆ “คุณชายรองยังมีชีวิตอยู่นะ นำของใช้ส่วนตัวฝังพร้อมกับคุณหนูรอง ท่านโหวช่างเด็ดขาดเสียจริง ข้าว่า การที่คุณชายรองถูกเนรเทศไป ท่านคงไม่สนใจเลยสินะ”
ฮว่าซั่นเกลียดชังอวิ๋นหว่านเฟยเข้ากระดูก ถึงแม้นางจะตายแล้ว แต่ก็ไม่ยอมให้นางได้สิ่งดีๆ ไป ตอนที่นางกลับไปเก็บของ นางจะยอมเอาของใช้ส่วนตัวของคุณชายรอง ฝังลงไปพร้อมกับอวิ๋นหว่ายเฟยได้อย่างไรกัน นี่ล้วนเป็นหนังสือที่ไม่ได้ใช้แล้ว นางเบ้ปากพลางพูดว่า “ก็แค่เศษกระดาษกับตำราเก่าไม่กี่เล่มเท่านั้น ไม่ใช่ของมีค่าอะไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองตาม เล่มแรกเป็นสมุดสีน้ำตาล เดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นสี่ตัวอักษรบนนั้น ตะลึงงันไปเลยทีเดียว
เป็นลายมือของมู่หรงไท่ น่าจะเป็นสมุดจดของเขาเลย อักษรสี่ตัวนั้นก็คือ บันทึกหงเจีย
หงเจีย คือรัชศกใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนหลังจากจักรพรรดิเจาจงขึ้นครองราชย์
บันทึกเล่มนี้…อย่าบอกว่าเป็นการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ช่วงรัชศกหงเจีย หลังจากที่มู่หรงไท่ย้อนอดีตกลับมา
บ่าวใช้คนนี้ อย่างน้อยก็ได้ทำสิ่งที่ดี! อวิ๋นหว่านชิ่นไม่แสดงสีหน้าใดๆ “ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่”
ฮว่าซั่นกล้าพูดว่าไม่เช่นนั้นหรือ อวิ๋นหว่านเฟยถูกมอบให้กับนางโดยคุณหนูอวิ๋นใหญ่ท่านนี้แหละ จุดอ่อนของตัวนางอยู่ในมือของคุณหนูผู้นี้ทั้งหมด นางจึงรีบยื่นให้ทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นเปิดออก นอกจากเล่มนี้ที่เป็นบันทึกหงเจียแล้ว นอกนั้นเป็นแค่สมุดคัดก็เท่านั้น นางดึงบันทึกเล่มนั้นไว้ และคืนที่เหลือกลับไป
ฮว่าซั่นรู้สึกทะแม่งๆ คุณหนูใหญ่จะเอาบันทึกเล่มนี้ไปเผาทิ้ง หรือไปรองขาโต๊ะ นางก็ไม่กล้าถาม จึงทำได้เพียงทำเป็นมองไม่เห็น และหอบที่เหลือ ไปรายงานที่ห้องโถงต่อไป
อวิ๋นหว่านชิ่นม้วนบันทึกเล่มนั้น ซ่อนเข้าไปในแขนเสื้อ ยับยั้งความตื่นเต้นเอาไว้ และตรงไปเรือนตะวันตกเพื่อน้อมทักทายท่านย่า นางเล่าเรื่องในวัง ท่านย่าหัวเราะชอบใจใหญ่ จนถึงเวลามื้อค่ำ มีบ่าวมาเรียก นางจึงขอตัวลากลับก่อน
นางก้าวเท้าเร็วจนแทบจะโบยบิน พอกลับถึงเรือนหยิงฝู นางเปิดบันทึกหงเจียทันที
ทุกตัวอักษร ทุกประโยค เป็นลายมือของมู่หรงไท่ไม่ผิดแน่ ทุกๆ หน้า มีการบันทึกเรื่องราวสำคัญในช่วงรัชศกหงเจีย น่าจะได้ยินจากคนเฝ้าในเรือนจำ ในเรือนจำค่อนข้างเงียบจนน่าเบื่อ เวลาไม่มีอะไรทำ คนเฝ้าเรือนจำมักจะซุบซิบนินทาแต่เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของราชสำนัก ตั้งแต่หัวจรดค่ำ ใครได้ขึ้นยศตำแหน่ง ใครถูกลดยศเนรเทศ ปีไหนมีภัยพิบัติธรรมชาติ ปีไหนมีสงครามภายใน มีไหนถูกคนนอกโจมตี เขาคงได้ยินมาทั้งหมด
ด้วยนิสัยของมูหรงไท่ หากกลับมาเกิดใหม่ได้ คงอยากได้อนาคตที่รุ่งโรจน์เป็นแน่ เรื่องสำคัญภายนอกที่ได้ยินเมื่อชาติก่อนจากเรือนจำ จะเป็นต้นทุนของชาตินี้ เขาคงกลัวจำไม่ได้ จึงได้บันทึกเรื่องสำคัญต่างๆ ลงไป ในขณะที่ความทรงจำยังมีอยู่ พอถึงเวลา บันทึกนี้ก็จะกลายเป็นบันไดที่ทำให้เขาได้เลื่อนยศ
นางเปิดดูทีละหน้าๆ เริ่มบันทึกจากรัชศกหงเจียปีที่สอง เป็นช่วงเวลาที่มู่หรงไท่คนชาติก่อน ถูกขังแล้ว หลังจากนั้นปีที่หนึ่ง วันเวลาละเอียดตั้งแต่เดือนและวันอะไร เพราะฟังจากปากของผู้เฝ้าเรือนจำ เนื้อความที่ได้ไม่ค่อยละเอียดมากนัก ต้องพึ่งการคาดเดาอยู่บ้าง
อย่างเช่น “รัชศกหงเจีย ปีสอง หนาว เดือนสิบสอง ในราชสำนักมีกบฏ เหมิงนู๋ติดสินบน สร้างปัญหาให้เขตเอ๋อร์เฮิงเมืองเหนือ… ”
หรือ “รัชศกหงเจีย ปีสาม ปลายฤดูใบไม้ผลิ แผ่นดินไหวเขตหลั่วสุ่ย เนื่องด้วยก่อนเกิดเหตุไม่มีคำเตือนและสัญญาณ ทำให้สามเขตห้าอำเภอ รวมประชาชนสี่หมื่นห้าพันคน บางคนบาดเจ็บ บางคนเสียชีวิต บางคนไม่มีบ้านให้กลับ จำเป็นต้องจากบ้านไกลเมือง”
ถึงแม้ประโยคหน้าไม่สอดคล้องกับประโยคหลัง อย่างน้อยก็รู้ช่วงเวลาสำคัญ
นางพลิกอ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งเปิดถึงท้ายๆ มือก็ยิ่งสั่น ในที่สุดก็เปิดเจอหน้าหนึ่ง นางหยุดพลิก
รอยหมึกในนั้น ราวกับมีงูพิษ กำลังพ่นน้ำลายลงในกระดาษ มันแยกเคี้ยว ขยับไปมา จนน่าตกใจ
“รัชศกหงเจีย ปีห้า ประกาศ จักรพรรดิเจาจงซย่าโหวซื่อถิง สวรรคต สาเหตุ อาจเพราะโรคเดิมกำเริบ หมอไร้วิธีรักษา”
เจาจง คือพระอารานามของเขา
ชาติก่อน นางรู้เพียงต้องเรียกว่า จักรพรรดิหงเจีย
บันทึกเลื่อนลงมา นางปิดบันทึกลงแม้ด้านหลังยังไม่ได้อ่าน เดิมที ยังคิดว่ามันจะช่วยปลอบใจ เพราะธูปหอมไม่ได้ทำให้นางหลับดี มู่หรงไท่มั่วแน่ๆ ปัจจุบันนี่สิ คือความจริง
นางมองบันทึกเล่มนั้น ไม่มีกะจิตกะใจอ่านต่อแล้ว เมื่อชาติก่อนเขาจากไปตั้งแต่รัชศกหงเจีย ปีห้า ที่เหลือจากนั้น จะให้อนาคตรุ่งโรจน์เพียงใด ก็หาใช่ยุคสมัยของเขาแล้ว
ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บบันทึกไว้ในลิ้นชัก ล็อกไว้
*
หลายวันผ่านไป วันแต่งงานก็มาถึง
ก่อนหน้านี้ ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้น ไม่คิดเลยว่าก่อนงานคืนนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นพลิกตัวไปมานอนหลับไม่ลงเสียที กว่าจะหลับได้ก็เลยช่วงกลางดึกไปแล้ว แต่หลับได้ไม่นาน ก็เริ่มมีคนมาปลุก ข้างหูเป็นเสียงดีใจของชูซย่า
“คุณหนูใหญ่ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ ผัดหน้ากันแล้ว เดี๋ยวขบวนองค์ชายสามจะมารับที่จวนแล้วนะเจ้าคะ”