ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 137-2 ออกเรือน
อวิ๋นเสวียนฉั่งอยู่กินกับนางมาหลายปี เคยมีช่วงเวลาหวานปานน้ำผึ้ง ไม่เคยอยู่ห่างกัน แม้ว่านางจะทำผิดอย่างใหญ่หลวง แต่พอไม่เจอกันตั้งนาน ความโกรธนั้นก็ทุเลาลง นางดูผอมลงไม่เบา ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง คงลำบากอยู่ไม่น้อย ท่าทีก็ยังใช้ได้ “มาแล้วหรือ นั่งก่อนสิ”
เหลียนเหนียงอยู่ด้วย พอนางแต่งตัว ก็ดูเป็นผู้เป็นคนเหมือนกันนะ แม้อายุจะมากกว่าตน หากพูดถึงอิริยาบถแล้ว ตนน่าจะเทียบนางไม่ได้ คงต้องระมัดระวังเสียหน่อย ขยับเข้าใกล้นายท่านอีกด้วยความตั้งใจ พูดด้วยเสียงออดอ้อนว่า “ฮูหยินนั่งก่อนเจ้าค่ะ เจ้าสาวยังแต่งตัวอยู่ในห้อง ยังไม่ถึงเวลามงคล ขันทีจากตำหนักอ๋องมาแจ้งแล้วครั้งหนึ่งว่าองค์ชายสามต้องรออีกประเดี๋ยวหนึ่งถึงจะมาถึงที่นี่”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเขม่นนางหนึ่งที นางต่างหาก แม่ผู้ส่งออกเรือน นังสารเลวกล้าดีอย่างไรมาสอนนาง ถ้าไม่ใช่เพราะนางเป็นแบบนี้ในวันนี้ จะมีหรือที่จะยอมให้นังนี่แย่งไปต่อหน้าต่อตา พอคิดถึงเรื่องงานศพของลูกสาว ใจยิ่งลุกเป็นไฟ ดีที่ยับยั้งความโกรธนี้ได้ นึกถึงยาที่นางดื่มจนหมด ความโกรธนั้นก็ทุเลาลง
คิดไปคิดมา ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่โกรธแล้ว นางนั่งลงตามคำพูดของเหลียนเหนียง
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่านิสัยนางเปลี่ยนไปแล้ว ก็ยิ่งพึงพอใจ ไม่เอ่ยถึงเรื่องวันวานอีก แต่พูดลำดับพิธีกับขนบธรรมเนียมให้นางฟัง ส่วนนางก็ขานตอบทุกประโยคด้วยเสียงนุ่มนวล
ผ่านไปครู่หนึ่ง หวงน้าสี่พยุงย่าถงเดินมาที่ห้องโถงเอก พร้อมกับพี่เม่าและพี่จู๋ ด้านหลังยังมีอวิ๋นจิ่นจ้งกับฮุ่ยหลานด้วย แม่เล็กฟาง ทุกวันนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของย่าถงกับอวิ๋นเสวียนฉั่ง วันนี้มีคนจากพระราชวังมาด้วย ย่าถงมองว่านางเป็นคนหยาบ กลัวจะทำให้งานมงคลแปดเปื้อน จึงสั่งให้นางอยู่ในเรือนชุนจี้ ไม่ต้องออก
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตาลุกวาวเป็นประกาย เมื่อเห็นฮูหยินใหญ่เดินมา
ท่าทางของย่าถงที่มีต่อไป๋เสวี่ยฮุ่ย ไม่ดีเท่าลูกชาย พอเห็นหน้านาง ย่าถงก็อดคิดถึงเรื่องที่นางรวมหัวกับบ่าวใช้ใส่ร้ายหลานชายไม่ได้ แต่วันนี้เป็นวันมงคล ต้องให้นางอยู่รักษาภาพพจน์ และไม่อยากก่อความวุ่นวายให้มันน่าเกลียด ย่าถงจึงไม่พูดอะไรมาก หันหัวไปอีกทาง พูดคุยแต่กับฮุ่ยหลาน
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยแป้วทันที มองนายท่านด้วยสายตาน่าสงสาร อวิ๋นเสวียนฉั่งเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร แต่ก็ไม่พูดอะไร
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้รับคำอนุญาตแล้ว นางดีใจยิ่ง เรียกอาเถามารินน้ำชา ถือขึ้นมาเดินไปใกล้ย่าถง
ย่าถงไม่ทันตั้งตัว นางไป๋คุกเข่าลงฟุบ สองมือชูแก้วน้ำชาขึ้น พูดว่า “ท่านแม่ ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ความ พอมาวันนี้ข้าเหมือนได้ตื่นจากฝัน และรู้ว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปนั้นแย่มากแค่ไหน หลายวันมานี้ข้าอยู่ใกล้ศาลบรรพชน ทุกครั้งที่ข้านึกขึ้นได้ว่าข้าไม่ได้ดูแลลูกหลานเรือนหน้าให้ดี ในใจข้าเหมือนถูกมีดเฉือน ด่าตัวเองว่าไม่ใช่คน เป็นสัตว์รัจฉาน จักต้องได้รับการลงโทษ ความทุกข์ทรมานในใจถึงจะทุเลาลง…วันนี้นับเป็นโอกาสหาที่หาได้ยากนักที่ข้าได้พบกับท่านแม่ หากพิธีงานแต่งงานจบ ข้าต้องกลับไปอีก ข้าจึงขอน้อมรับความผิดกับท่านตอนนี้เจ้าค่ะ!”
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ยกมือขึ้น ชุดตี๋คอกว้างของไป๋เสวี่ยฮุ่ย เลื่อนลงไปหลายนิ้ว เผยให้เห็นรอยแผลเป็นเส้นสีน้ำตาลสิบกว่าเส้น ดูเหมือนเป็นแผลที่ถูกของมีคมบาด เส้นที่ยาวที่สุด ยาวเกือบสองสามนิ้ว และยังมีรอยกรีดข้อมือ ซึ่งเป็นส่วนที่เส้นเลือดอยู่รวมกัน หากพลาดเพียงนิดเดียว ก็จะทำให้เสียเลือดเป็นจำนวนมาก ย่าถงไม่ตอบ แต่เห็นว่านางยอมรับผิด ด้วยการลงโทษตัวเองเพื่อไถ่โทษ ประกอบกับสูญเสียลูกสาว น่าสังเวชถึงเพียงนี้ ใจไม่แข็งเท่าก่อนหน้าแล้ว
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ที รีบตีเหล็กขณะที่ไฟยังร้อน นางหันไปหาอวิ๋นจิ่นจ้ง กอดเข้าที่ชายกระโปรงของชายหนุ่ม ร้องห่มร้องไห้ “จิ่นจ้ง…แม่ขอโทษ ตอนนี้เจ้ายังเกลียดแม่อยู่ใช่หรือไม่ จิ่นจ้งตอนเด็กแม่เคยอุ้ม เคยเลี้ยงดูเจ้าอยู่ช่วงหนึ่ง ถ้าพูดถึงระยะเวลาที่เจ้าอยู่กับแม่ มันมากกว่าอยู่กับแม่แท้ๆ ของเจ้าเสียอีก เห็นแก่แม่ที่เคยดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เจ้ายกโทษให้กับความผิดที่ไม่ได้มีเจตนาทำของแม่ได้หรือไม่ แม่สูญเสียพี่เฟยไปแล้ว สวรรค์ได้ลงโทษข้าแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าให้โอกาสแม่ได้ไถ่โทษ ด้วยการดูแลเจ้าเป็นอย่างดีได้หรือไม่”
บรรยากาศนิ่งสงบ ทุกคนที่อยู่ในงาน มองคุณชายน้อยกันหมด
เหลียนเหนียงจับชายกระโปรง กลั้นหายใจเอาไว้ เท่าที่ดูเหตุการณ์วันนี้ นายท่านยังมีใจให้กับนางไป๋ซื่อ ส่วนฮูหยินใหญ่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องไปอยู่ดี แล้วถ้าคุณชายน้อยพยักหน้า ให้อภัยอีกคน นางไป๋ซื่อคงกลับมาในเร็ววันเป็นแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด จนมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ
อวิ๋นจิ่นจ้งมองแม่ที่ร้องห่มร้องไห้ ถอยหลังไปสองก้าว กลับไปอยู่ข้างๆ ฮุ่ยหลาน และตอบกลับด้วยเสียงเหมือนเด็ก “แม่ที่ไหนกัน จิ่นจ้งมีแม่คนเดียว เจ้าเป็นแค่ภรรยาที่ท่านพ่อแต่งใหม่ก็เท่านั้น”
หลายวันที่ผ่านมา อวิ๋นหว่านชิ่นล้างสมองน้องชายได้ผล ไม่เสียแรง
ชาติก่อน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกล่อมหูอวิ๋นจิ่นจ้งตั้งแต่เด็กจนโต ให้เขารับนางเป็นแม่ เชื่อฟังแต่นาง อวิ๋นหว่านชิ่นอยากให้คนในครอบครัวรักใคร่ปรองดอง บ้านเรือนสงบสุข นางจึงไม่บอกน้องชายว่า ฮูหยินไป๋กับฮูหยินสวี่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน
ชาตินี้นางจึงใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน คนอื่นใช้วิธีไหนนางก็ใช้วิธีนั้น ตั้งแต่น้องชายกลับมาวันแรก นางเริ่มกล่อมน้องชาย ว่าฮูหยินสวี่ต่างหากที่เป็นแม่แท้ๆ ของเขา ส่วนฮูหยินไป๋ เป็นแค่สุนัขจิ้งจอกที่ไม่รู้คุณคน เลี้ยงไม่เชื่อง หนีภัยเข้าเมืองหลวง จนมาถึงเรือนอวิ๋น บีบคั้นฮูหยินสวี่จนตายและแย่งตำแหน่งแม่ของเขาไป
อันที่จริง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้อยากให้น้องชายมีความเกลียดชังเกิดขึ้นในใจ แต่สู้ให้มียังดีกว่ายอมให้น้องชายถูกคนเขาหลอก นางต้องทำให้น้องชายรู้ว่า ‘ใคร’ ที่เป็นคนชั่วร้าย
เหลียนเหนียงถึงกับโล่งใจ เมื่อได้ยินอวิ๋นจิ่นจ้งพูดประโยคนี้
ไป๋เสวี่ยฮู่ยหน้าซีดเผือดไปเลยทีเดียว นางรู้จักนิสัยของอวิ๋นจิ่นจ้งดี เด็กอายุสิบขวบ จะร้องห่มร้องไห้ขอความเป็นธรรม คงไม่ใจแข็งขนาดนั้นหรอกกระมัง แต่ใครเล่าจะรู้ เขาปฏิเสธอย่างเฉียบขาด แล้วยังพูดจาทิ่มแทงตนอีก สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่กลับร้องไห้หนักมากกว่าเดิม เรียกขอความเห็นใจไม่หยุด
อวิ๋นจิ่นจ้ง เดิมทีที่ยืนอยู่ข้างฮุ่ยหลาน เห็นนางร้องไห่ไม่หยุด จึงก้าวไปข้างหน้า
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยคิดว่าครานี้คงจะใจอ่อนแล้ว แต่กลับเป็นเสียงตะโกนตำหนิว่า “วันนี้ เป็นวันมงคลของพี่สาวข้า แม่เก็บน้ำตาเอาไว้ตอนร้องไห้ออกเรือน หากน้ำตาหมดเดี๋ยวนั้นจะทำอย่างไร นี่ท่านแม่ยินดีกับพี่สาวจริงๆ หรือ”
หนุ่มน้อยทำสีหน้าจริงจัง ใบหน้าอันหล่อเหลากองรวมกันเป็นก้อน ราวกับไม่เห็นใจแม้แต่น้อย ฮุ่ยหลานเห็นว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังเป็นฮูหยิน เวลานี้คนตระกูลอวิ๋นก็อยู่ในงานกันหมด กลัวว่าคุณชายน้อยตำหนิต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ อาจะทำให้นายท่านไม่พอใจ นางจึงเขม่นอวิ๋นจิ่นจ้งหนึ่งที และแอบดึงกลับมา
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยแอบกัดฟัน นางยืนขึ้นและกลับที่นั่ง เช็ดน้ำตาพลางพูดว่า “เป็นความประมาทเลินเล่อของข้าเอง”
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นลูกชายตำหนิไป๋ต่อหน้าผู้คน กลัวว่าข้าราชการจากสำนักพระราชวังและคนในวังได้ยิน จะรู้สึกไม่ถูกกาลเทศะ แล้วไป๋ซื่อเองก็ทำตามที่พูด นายท่านขมวดคิ้วพลางพูดว่า “จิ่นจ้ง…”
ย่าถงต้องปกป้องหลานชายอยู่แล้ว ไอสองทีเพื่อขัดลูกชาย “เอาหล่ะๆ พอแค่นี้แหละ เดี๋ยวคนในวังที่อยู่ด้านนอกนั้นได้ยิน พวกเจ้าไม่อับอายกันบ้างรึ ข้าอับอายนะ แล้วนี่ก็ใกล้เวลามงคลแล้วใช่หรือไม่”