ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 68-5 โกรธแล้ว!
พอสองแม่ลูกเดินมาที่หน้าประตู ผู้คุ้มกันก็ขวางทางไว้
อนุฟางจึงดึงลูกสาวเข้ามา แย้มยิ้มแล้วอ้างชื่อไป๋เสวี่ยฮุ่ย “ท่านพี่ ข้าเห็นละครเล่นจบไปเรื่องหนึ่งแล้ว คุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ออกมา ฮูหยินเกรงว่าจะรบกวนรัชทายาท จึงให้ข้ามาดูๆ หน่อย”
ผู้คุ้มกันเห็นว่านางเป็นญาติของสวี่มู่เจิน จะไล่ไปก็ไม่ดีนัก แต่ก็ยังไม่ปล่อยเข้าไป
“คุณหนูบ้านเจ้ากำลังดูละครอยู่ มีอะไรน่าดู”
ขณะที่อนุฟางกำลังตื๊อไม่เลิกอยู่นั้น คนในห้องก็เอะใจ
และเมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเงี่ยหูฟัง ก็พอจะรู้เจตนาของอนุฟาง โห…เล่นบทแม่สื่อเสียเอง พาลูกสาวมาแนะนำตัว
“ชิ่นเอ๋อร์…เหมือนแม่เล็กบ้านเจ้ากับน้องสาวเจ้ามาหาน่ะ อยากให้พวกเขาเข้ามาไหม เราให้เกียรติเจ้าตัดสินใจ”
รัชทายาทเบือนหน้าจากเวที มามองอวิ๋นหว่านชิ่นสักพัก ก็หันกลับไปจ้องเวทีอย่างไม่วางตาต่อ เพราะละครกำลังสนุก พลาดไม่ได้เป็นอันขาด
เฮ้อ เรียกอย่างกับสนิทกันมาก แต่ก็คงแก้ไม่ได้แล้วล่ะ อวิ๋นหว่านชิ่นปล่อยเลยตามเลย ยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงเวลาพูดกับเขา
“คนเขามาถวายบังคมรัชทายาท ไม่ได้มาหาหม่อมฉันสักหน่อย รัชทายาทอยากพบก็พบ ไม่อยากพบก็แล้วกันไป หม่อมฉันจะเข้าไปข้องเกี่ยวอย่างไรได้”
พอดีบนเวที ถึงฉากพระเอกออกรบอย่างดุเดือดเลือดพล่าน รัชทายาทจึงยืนขึ้น เปล่งเสียงออกมา “ดี!” แล้วค่อยหันมามอง “หา? ชิ่นเอ๋อร์ว่าไงนะ ใครมาหาใคร เอาล่ะ ไม่สนใจละ ให้พวกนางเข้ามา”
แล้วจึงยกนิ้วส่ายไปมาให้อวิ๋นหว่านชิ่นอีก “ให้เกียรติเจ้าไง” ว่าแล้วก็หันหน้าเข้าหาเวทีต่อ ดูจนมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครแล้ว
เมื่อประตูเปิดออก อนุฟางกับอวิ๋นหว่านถงก็พุ่งเข้ามา ดุจนกกางเขนที่ได้บินออกจากกรงอย่างไรอย่างนั้น ส่ายหางดุ๊กดิ๊ก แล้วก้าวเข้ามาอย่างดีอกดีใจ
ทั้งสองถอนสายบัวแล้วกล่าวถวายบังคม แต่รัชทายาทไม่แม้แต่มอง สายตายังคงจ้องจับอยู่แต่เวทีด้านล่าง ขณะยกมือปราม “อืมๆ พวกเจ้าพี่น้องมีอะไรก็คุยกันได้เลย ไม่ต้องสนใจเรา”
ทำพอเป็นพิธีจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นขำ
ทว่าสองแม่ลูกกลับไม่ถือสา อนุฟางส่งสายตาให้ลูกสาว อวิ๋นหว่านถงจึงรีบรวบรวมความกล้า ก้าวเข้าไปอีกสองก้าว ถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อยอีกครั้ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะคั้นเป็นน้ำได้
“หม่อมฉัน อวิ๋นหว่านถง บุตรีที่สามแห่งจวนรองเจ้ากรม วันนี้เกือบถูกคนเมาลวนลามที่ชั้นล่าง โชคดีที่ได้องค์รัชทายาทช่วยเอาไว้ ตอนนี้ยังมารบกวนพระองค์อีก”
อวิ๋นหว่านถงแอบมอง พลางปลื้มปีติ รัชทายาทดูอัธยาศัยดี ท่าทางเข้าถึงง่าย คิดว่าต้องเป็นคนเอาใจใส่ทะนุถนอมบุปผาคนหนึ่ง จึงเริ่มมั่นใจมากขึ้น
รัชทายาทตอบอืมๆ สองคำ เห็นชัดว่าได้ยินไม่ถนัดว่าอวิ๋นหว่านถงพูดอะไร
อวิ๋นหว่านชิ่นพอจะฟังน้ำเสียงออกว่า เขาเริ่มไม่สบอารมณ์แล้ว ก็ละครบนเวที แสดงได้อย่างออกรสออกชาตินี่ ซึ่งกับผู้ที่หลงใหลและชื่นชมละครเวทีแล้ว ในฉากหนึ่ง ทุกอิริยาบถของตัวละคร ทั้งสีหน้าและท่าทาง ล้วนคลาดสายตาไม่ได้ทั้งสิ้น จะให้หันมาได้อย่างไรเล่า
ทว่าอวิ๋นหว่านถงไหนเลยจะรู้ว่า การที่รัชทายาทปลอมพระองค์ออกมาดูละครเวทีนอกวังเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการดูจริงๆ พอเห็นชายหนุ่มไม่มีท่าทีปฏิเสธ ใบหน้ารูปไข่เล็กๆ ก็ดีใจ ริอ่านก้าวเบาๆ ใกล้เข้าไปอีก โดยยืนห่างจากรัชทายาทไม่ถึงหนึ่งศอก จากนั้นก็ก้มหน้า พูดภาษาดอกไม้
“รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันเห็นถ้วยชาของพระองค์ไม่มีน้ำชาแล้ว ขออนุญาตรินให้เต็มนะเพคะ”
รัชทายาทกำลังไม่ต้องการให้ใครมารบกวน พอได้ยินเสียงจุ๊กจิ๊กของผู้หญิงที่ข้างหู สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยน จึงพูดเสียงแข็งขึ้นมา
“มีเด็กรับใช้รินน้ำชาอยู่ คุณหนูสามไม่จำเป็นต้องช่วยเขาหรอก”
“ไม่เป็นไรเพคะ” อวิ๋นหว่านถงดีใจเกินคาด คราวนี้รัชทายาทพูดกับตนมากขึ้น รวมแล้วสิบกว่าคำเชียว อืม ต้องพยายามอีกหน่อย “หม่อมฉันอยู่ใกล้กับกาน้ำชา รินได้…” ว่าแล้วก็ยกกาน้ำชาขึ้น รินใส่ถ้วย
พอรินจนเต็ม อวิ๋นหว่านถงก็หันไปเหลือบมองอนุฟาง
อนุฟางที่รู้กันอยู่ ก็ก้าวเข้าไป โค้งกาย แอบลากอวิ๋นหว่านชิ่นออกมา พูดเสียงเบาด้วย
“คุณหนูใหญ่มานานแล้ว ควรไปบอกฮูหยินสักคำก่อน เมื่อครู่ฮูหยินถามถึง คงเป็นห่วงน่ะ แม่เล็กกับน้องสามจะอยู่ปรนนิบัติรัชทายาทแทนเอง” ต้องเก็บกวาดพื้นที่ให้เหลือเพียงลูกสาวกับรัชทายาทสองต่อสอง
หึ อดใจรอไม่ไหวล่ะสิ
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน ว่า แม่ลูกคู่นี้จะมาไม้ไหน
ซึ่งนิสัยแปลกๆ ของรัชทายาท…นางก็เพิ่งรู้เมื่อครู่ แล้วสองแม่ลูกจะเอาอยู่หรือ
จึงหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน “เมื่อแม่เล็กพูดเช่นนี้ ข้าก็ต้องไปหาแม่ใหญ่ละ”
ว่าแล้วก็หันไปถอนสายบัวให้รัชทายาท ก่อนหันกาย นำเมี่ยวเอ๋อร์เดินออกจากห้องไป
ช่วงเปิดเรื่องของละครสนุกมาก พลาดไม่ได้แม้แต่น้อย รัชทายาทจึงห่วงแต่ดูละครไม่วางตา แต่ก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่ง
“ไปแล้วหรือ เราไม่ส่งล่ะ เจ้ารีบไปรีบกลับก็แล้วกัน”
หลังจากเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นจากไปไม่นาน อนุฟางก็ตบหน้าอกตัวเอง
“อุ๊ย หม่อมฉันลืมเสียสนิทว่า มีเรื่องที่ต้องทำอีกนิดหน่อย ขอตัวก่อนนะเพคะ หวังว่าจะทรงไม่ถือสา ถงเอ๋อร์จ๊ะ อยู่ปรนนิบัติรัชทายาทไปพลางๆ ก่อน”
รัชทายาทไหนเลยจะสนใจว่าแม่เล็กท่านนี้จะขึ้นเขาหรือลงห้วย อยากให้ออกไปให้หมดด้วยซ้ำ แต่ก็ปิด
ปากเงียบ จ้องมองแต่เวที ไม่พูดไม่จา
ในห้อง สะอาดเรียบร้อย
อวิ๋นหว่านถงจึงเริ่มส่งเสียงอ่อนเสียงหวาน “รัชทายาทเพคะ…”
ในห้องเงียบลงไปมาก เสียงนี้จึงดังเป็นพิเศษ
รัชทายาทถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างกายตนเหลือเพียงคุณหนูสามของบ้านสกุลอวิ๋น แม้กำลังดูละครอย่างตื่นเต้น แต่ก็ยังหันไปถามอย่างงุนงง “อะไร?”
อวิ๋นหว่านถงนึกถึงคำสอนของท่านแม่และคำพูดที่ร้อนแรง ก็รู้สึกว่าตนเหมือนกวางน้อยที่วิ่งเข้าชน ถ้ารัชทายาทไม่ชอบ จะดูแคลนตนไหม หรือ จะไล่ตนออกไปในทันที!
ไม่สนใจแล้ว ท่านแม่บอกว่า ถึงยากแค่ไหน ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด!
สนมคนโปรดหลายคนในรัชสมัยก่อน ก็ล้วนร้องเล่นเต้นระบำจนเข้าตาฮ่องเต้กันทั้งนั้น!
แล้วทำไมนางจะทำไม่ได้เล่า! อีกอย่างรัชทายาทก็ดูอ่อนโยนดี
จึงตัดสินใจ ลงดาบก่อนค่อยทูลทีหลัง อวิ๋นหว่านถงพลันดึงหน้าต่างบานใหญ่ที่ใช้ดูละครลง แล้วจับคอเสื้อเข้าหากัน ไขว้มือไว้ตรงหน้าอก ทำท่าน่าสงสารยิ่ง
“หม่อมฉันหนาวเพคะ หน้าต่างบานนี้รับลมจะจะ พัดจนหม่อมฉันขนลุกไปหมด ไม่ทราบว่าปิดก่อนดีหรือไม่”
นอกห้อง
ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะเดินเลี้ยวตรงมุมทางเดิน ก็บังเอิญเห็นอนุฟางที่หาข้ออ้างออกมาจากห้องจนได้ จึงดึงมือเมี่ยวเอ๋อร์ให้เดินย้อนกลับ
พอผู้คุ้มกันเห็นคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นเดินกลับมา ก็อ้าปากจะถาม แต่นางรีบส่งเสียง “ชู่” ขึ้นก่อน แล้วก็แนบหน้ากับประตู
ผู้คุ้มกันเห็นว่านางเป็นญาติผู้น้องของคุณชายสวี่ จึงปล่อย ไม่ว่าอะไรมาก เพียงสงสัย
“คุณหนูใหญ่กำลังทำอะไรขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันหันมาตอบ ก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังมาจากในห้อง!
ตามด้วยเสียงเก้าอี้เคลื่อน
ผู้คุ้มกันตกใจ บิดกลอนประตูแล้วพุ่งตัวเข้าไป “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้น”
อวิ๋นหว่านชิ่นสบตากับเมี่ยวเอ๋อร์ ก่อนตามเข้าไป
ในห้อง อวิ๋นหว่านถงล้มอยู่กับพื้น พลางร้องไห้อย่างตื่นตระหนก น่าจะพัวพันกัน แล้วนางไม่ทันระวัง ล้มลงกระแทกพื้น หน้าผากปูดบวมเป็นซาลาเปาหนึ่งลูก
ตาสวยของรัชทายาทแดงก่ำ เป็นคนละคนกับผู้ที่ดูเข้าถึงง่าย อ่อนโยนและมีมารยาทเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ทรงชี้หน้าหญิงสาวบนพื้นอย่างเดือดดาล
“นางทำให้เราพลาด…ตอนที่สนุกที่สุดไป! พวกเจ้าควรรู้ไว้ว่า เรารอมานานมาก พวกเจ้าคิดว่าการที่เรา
ออกนอกวังมาดูละครนั้น ง่ายนักหรือ!”