ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 72-5 แม่เลี้ยงแท้ง คุณหนูเปิดร้าน
ไม่เสียแรงที่เป็นลูกสาวนายทหาร รังสีพร้อมเข้าสู่สนามรบฟาดฟันศัตรู จัดการบริหารร้าน ถูกเปล่งออกมาแล้ว แม้แต่คำว่า พยายามอย่างสุดความสามารถ จงรักและภักดี ก็ล้วนหลุดออกมาหมด
อวิ๋นหว่านชิ่นลงจากตั่ง เดินไปข้างหน้า เลิกผ้าม่าน ก้าวเข้าไปพยุงนางให้ลุกขึ้นด้วยตัวเอง
“หงเยียน ลำบากเจ้าแล้ว”
หงเยียนน้ำตาคลอ ตั้งแต่ได้รับพระราชโองการเนรเทศ เดินทางไปยังทะเลทรายเหนือ จวบจนตกอยู่ในแวดวงคาวโลกีย์ นางมักถูกคนดูหมิ่นเหยียดหยามว่าเป็นหญิงชั้นต่ำ ไหนเลยจะเคยได้ยินคำพูดที่ อบอุ่นเป็นกันเองเช่นนี้ พูดกันตรงๆ คุณหนูอวิ๋นจะรับนางไว้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่ต่อไปคุณหนูอวิ๋นคือนายหญิงของนาง มีนายหญิงคนไหนปฏิบัติกับลูกน้องเช่นนี้บ้าง…
มืดค่ำมากแล้ว
หงเยียนยังคงพักอาศัยที่บ้านป้าสี่ในตรอกดอกบัวชั่วคราวพลางรอข่าวจากอวิ๋นหว่านชิ่น
ป้าสี่ของพี่เฉียวเป็นหญิงสูงวัยใจดีคนหนึ่ง อาศัยอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีลูก ไม่มีสามี ซึ่งปกติแล้ว พี่เฉียวก็มิได้สนใจไยดีป้าสี่ ถ้ามิใช่เพราะหงเยียนถูกนำตัวมาฝากไว้ พี่เฉียวก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนหญิงชราเลย แต่หงเยียนกลับดีต่อป้าสี่มาก หลายครั้งที่พี่เฉียวคิดถึงใบหน้าสวยๆ ของหงเยียน และบึ่งมาที่บ้าน คิดจะมีอะไรด้วย พอป้าสี่เห็นว่าหงเยียนรังเกียจ ก็จะช่วยนางขวางพี่เฉียวไว้
พูดคุยอีกไม่กี่คำ หงเยียนจึงคารวะอีกครั้ง แล้วกางร่มเดินออกจากจวนรองเจ้ากรมไป
พอนางไป ชูซย่าก็อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณหนูคิดเปิดร้านหรือเจ้าคะ”
คิดมานานแล้ว เพียงไม่ทันได้บอกใคร พอดีคืนนี้หงเยียนปรากฏตัวขึ้น
และตนก็ไม่อยากให้ทุกครั้งที่ใครต้องการเครื่องประทินผิวอะไรจากตน ก็ต้องมาที่จวนรองเจ้ากรม นานวันไป ถ้าคนภายนอกรู้เข้า จะไม่ค่อยดี ยิ่งถ้าท่านพ่อรู้ ก็ยิ่งไม่อนุญาต คิดว่าจวนรองเจ้ากรมเป็นร้านค้าที่ใครๆ ก็เข้ามาได้หรือ เรื่องเปิดร้าน จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ
อีกอย่าง ถ้าเจอลูกค้าที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอลูกค้าแบบครั้งก่อน ที่รับมือยากอย่างอวี้โหรวจวง ที่อะไรนิดอะไรหน่อยก็มาเบ่งถึงจวนด้วยตัวเอง ย่อมหงุดหงิดแย่
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้มีใจบริการลูกค้าที่จงใจมาหาเรื่อง ถ้าเปิดร้านแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้จัดการช่วยดูแลไป ตนจะได้ใจจดใจจ่ออยู่กับการค้นคว้าสูตรสมุนไพร ไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอกมากนัก
รูปหล่อทองคำเณรน้อยจากคุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตมีมูลค่าไม่น้อย บวกกับเงินเก็บส่วนตัว คิดต้นทุนเบ็ดเสร็จแล้ว สามารถซื้อร้านเล็กๆ ริมถนนที่ไม่ถึงกับคึกคักมากนักได้ร้านหนึ่ง รวมค่าตกแต่งด้วย เงินสะสมในตอนนี้ ไม่มีปัญหาหรอก
ส่วนต้นทุนของสินค้าข้ามไปก่อน ส่วนผสมจากพืชพรรณธรรมชาติ ถ้าผ่านมือตน ส่วนใหญ่สามารถนำมาจากบ้านสวนโย่วเสียน
ด้านค่าแรงก็จ่ายได้สองสามเดือนอยู่ ค่อยดูทีหลัง
ไม่ว่าอย่างไร ต้องลองดูสักตั้ง
อวิ๋นหว่านชิ่นเล่าแผนการคร่าวๆ ให้ชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์ฟัง เมี่ยวเอ๋อร์ก็สงสัยขึ้นมาอีก
“แต่…หงเยียนเชื่อใจได้หรือ แม้เชื่อใจได้ แล้วใช้งานได้รึเปล่า สามารถดูแลจัดการร้านได้หรือ ยิ่งเป็นร้านใหม่ด้วย การเริ่มต้นเป็นเรื่องที่ยากนะเจ้าคะ”
มองไป คนที่มีอยู่ก็ไม่มีใครสามารถใช้งานได้จริงๆ หรือต่อให้หาคนที่มีประสบการณ์มากมายมาได้ แต่ถ้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขา ก็ไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี อีกอย่าง หงเยียน…อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดสักพัก ค่อยว่า
“นางเป็นลูกสาวนายทหาร มีใจภักดีและรักศักดิ์ศรี ถ้าเป็นพวกฉลาดแกมโกง ทำไมไม่เอาเงินจากญาติผู้พี่ข้าล่ะ และต้องฉวยโอกาสโก่งราคาแต่แรกด้วย เมื่อครู่ก็ยังขอเงินจากข้าได้อีก ป่านนี้มิไปไหนต่อไหน ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีมีความสุขไปแล้วหรือ! อีกทั้งบ้านนางก็เป็นครอบครัวขุนนางฝ่ายบู๊ พอสถานการณ์ที่บ้านเปลี่ยน คนทั้งบ้านเสียชีวิต เหลือนางเพียงคนเดียว หัวใจย่อมต้องแข็งแกร่งมาก ผ่านความทุกข์ทรมานมาไม่น้อย ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ หรอก นี่เป็นเงื่อนไขของคนที่จะประสบความสำเร็จทางการค้า! อีกอย่าง สามปีมานี้ หงเยียนอยู่ในแวววงคาวโลกีย์ ยากดีมีจนอย่างไรนางเคยเห็นมาหมด ถูกเคี่ยวกรำจนมีนิสัยเข้าได้กับทุกฝ่าย จัดการได้ทุกอย่าง นี่ก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างของคนทำการค้า อ้อ…อย่าหาว่าข้าเข้าข้างนาง แล้วดูแคลนพวกเจ้าล่ะ พวกเจ้าสองคนน่ะ ไม่แน่ว่าจะตามหงเยียนทันด้วยซ้ำ!”
ชูซย่าชำเลืองมองเมี่ยวเอ๋อร์ แล้วทำปากยื่นปากยาว แก้มกลมๆ ทั้งสองข้างของนางยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนผลไม้ผิวบางใส นางพูดขำๆ
“บ่าวกับเมี่ยวเอ๋อร์ไม่อิจฉาหงเยียนหรอก เมื่อนางดีเช่นนี้ ใยคุณหนูไม่ให้นางมาอยู่ข้างกายล่ะเจ้าคะ จะได้เห็นหน้ากันทุกวันๆ! อย่างไรหงเยียนก็เกิดในตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊ น่าจะเหมือนคุณหนูเฉิน เป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง อยากจะไปก็ไป อยากจะมาก็มา ง่ายนิดเดียว”
นี่ก็คือเหตุผลที่ไม่สามารถให้หงเยียนตามติดอยู่ข้างกาย
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะแล้วหยุดกะทันหัน “เมื่อสามปีก่อนทางเหนือมีสงครามที่ สมรภูมิถังโจว พวกเจ้าจำได้หรือไม่”
“จำได้เจ้าค่ะ” ทั้งสองพยักหน้า
สงครามในครั้งนั้น เด็กอายุต่ำกว่าสามขวบอาจไม่เคยได้ยิน ทหารแคว้นเหมิงหนูรุกล้ำเมืองถังโจวของแคว้นต้าเซวียน แม่ทัพในถังโจวดูแคลนศัตรู ปกป้องประชาชนไม่ได้ ทหารเหมิงหนูตีเมืองแตก สุดท้ายก็ยึดเมืองแล้วเรียกค่าไถ่จากต้าเซวียน ทำให้หนิงซีฮ่องเต้ได้รับความอัปยศ ทรงกริ้วมาก จึงส่งผู้ตรวจการและขุนนางส่วนหนึ่ง ไปจับกุมและประหารแม่ทัพในถังโจว พร้อมเนรเทศครอบครัวของพวกเขา
“สมรภูมิถังโจว เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิของปีนั้น ส่วนการเนรเทศครอบครัวของนายทหาร ก็น่าจะอยู่ราวฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่หงเยียนตกต่ำ อีกอย่าง พวกเจ้าฟังออกหรือไม่ว่า หงเยียนติดสำเนียงถังโจว”
หงเยียนคือทายาทของนายทหารในสมรภูมิถังโจว?
เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าอึ้ง
มิน่าเล่า! แม้หงเยียนย้ายมาอยู่เมืองหลวง เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวนักโทษ ถ้าให้นางมาอยู่ข้างกาย แม้เป็นเพียงบ่าวรับใช้ในบ้านสกุลอวิ๋น แต่ถ้าวันใดสถานะถูกเปิดเผย สกุลอวิ๋นก็ต้องเดือดร้อน
เช่นนี้ ก็นับว่าดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ต่างบรรลุจุดประสงค์ของตนเอง
แล้วฟ้าก็เหมือนถูกคนเจาะรู ฝนตกไม่หยุดต่อเนื่องไปอีกหลายวัน ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่ตกลงอย่างกะทันหัน ทำให้อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ตัวคนในจวนสกุลอวิ๋นต่างก็ใส่เสื้อผ้าเนื้อหนากันแล้ว และแต่ละเรือนแต่ละห้องต่างก็มีเตาถ่านใบเล็กเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ความอบอุ่น
พี่เฉียวถูกตีไม่ถึงสิบไม้ ก็สิ้นลมเสียชีวิต ฟ้ายังไม่ทันสาง ศพก็ถูกบ่าวลากออกจากจวนรองเจ้ากรม ใส่เกวียน นำไปฝังที่สุสานบ่าวไพร่
พอความยุ่งวุ่นวายผ่านพ้น หวงน้าสี่ อาเม่า และอาจู้ ก็กลายเป็นหนึ่งในผู้กำชัยที่ยิ่งใหญ่ สามารถอยู่ในจวนต่อได้อย่างชอบธรรม ส่วนม่อไคไหล คืนนั้นก็ถูกถงฮูหยินเรียกไปตักเตือน เช้าตรู่ของวันถัดมา ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เขาก็รีบไปยังที่ทำการไปรษณีย์ ขอจดหมายที่เตรียมส่งไปชนบทของไท่โจวคืนกลับ
หลังจากคืนนั้น ทุกคนในบ้านสกุลอวิ๋นก็รู้ว่า ฮูหยินแท้งลูก
คืนนั้นไป๋เสวี่ยฮุ่ยเลือดออกไม่หยุดทั้งคืน จนเสื่อรองตัวซึ่งปูอยู่บนที่นอน เปียกแฉะไปหมด วันต่อมาก็นอนหายใจรวยริน ลุกไม่ขึ้น มีเพียงอวิ๋นหว่านเฟยที่เข้ามาเยี่ยม
อวิ๋นหว่านเฟยไหนเลยจะคิดว่า เพียงระยะเวลาสั้นๆ ชั่วข้ามคืน มารดาจะร่วงหล่นจากฟากฟ้าสู่แดนดิน บาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าไม่ใช่เพราะช่วงล่างเลือดไหล เกรงว่าป่านนี้คงถูกขังไว้ในห้องบูชาบรรพชน ทิ้งไว้ในห้องมืดเล็กๆ นั่นแล้ว ก่อนที่นางจะมา พอได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก็ตกใจสะดุ้งโหยง เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันจนอยากจะจับหวงน้าสี่ กับพวกอวิ๋นหว่านชิ่นฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนกินลงไป
พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นลูกสาวมา ความแค้นและความโศกเศร้าที่สุมอยู่เต็มอกก็ไม่เก็บไว้ไม่อยู่ พรั่งพรูออกมาพลางปล่อยโฮขณะกอดลูกสาว
“เฟยเอ๋อร์ น้องชายเจ้าน่ะ ไม่มีไปเสียแบบนี้แล้ว! แม่ชะล่าใจเกินไปจริงๆ ระยะนี้ทำงานหนักเกินตัว แล้วยังถูกหวงน้าสี่ทำให้โมโหอีก แม่ไม่ได้ท้องมาหลายปีแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าครั้งนี้ดันท้องขึ้นมา!?…แม่…”
ว่าพลางกำมือที่ซูบผอมและซีดขาว ตีอกชกหัวตัวเองอีก เกลียดจนเสียงแหบเสียงแห้ง หลายวันก่อนก็รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนนิดหน่อย ซึ่งอาการแบบนั้น ไม่เหมือนกับตอนท้องลูกสาว ถ้าเดาตามมาตรฐานของคนทั่วไปว่าจะได้ลูกสาวหรือลูกชาย แปดหรือเก้าในสิบส่วนน่าจะเป็นลูกชาย ถ้าคลอดออกมาได้ สถานการณ์จะเปลี่ยนทันที ถึงมีความผิดมากแค่ไหน ท่านพี่กับท่านย่าก็ต้องเห็นแก่เด็กผู้ชาย อาจอภัยให้ตนเอง หลังเรือนในตอนนี้ไหนเลยจะยังมีที่ทางให้นังตัวดีอวิ๋นหว่านชิ่นพูดอีก
ทว่าตอนนี้ ไม่มีแล้ว ไม่มีไปเสียแบบนี้แล้ว…แล้วจะไม่ให้นางกระอักโลหิตอย่างไรได้
ถ้ามารดาล้ม อวิ๋นหว่านเฟยจะดีได้อย่างไร เข้าจวนโหวไป ก็รังแต่จะถูกคนดูหมิ่น เคราะห์ดี สินสอดได้เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย ถ้าช้าไปอีกสองสามวัน เกรงว่าของส่วนตัวก็อาจเอาไปไม่ได้!
นี่ก็สายมากแล้ว เฝ่ยชุ่ยเห็นว่านายท่านใกล้เลิกงานเต็มที ตอนนี้ฮูหยินยังมีความผิดติดตัว เกรงว่าถ้านายท่านเห็นคุณหนูรองมาเยี่ยมแม่ จะไม่พอใจ จึงแอบส่งเสียงเบาๆ เร่งรัดมา
อวิ๋นหว่านเฟยก็กลัวว่าถ้าบิดามาเห็นเข้าจะไม่สบอารมณ์ จึงรีบพูดสองสามคำ ปลอบใจมารดาผู้อ่อนแอ “ท่านแม่วางใจ คอยดูก็แล้วกัน ตอนนี้ท่านก็ไม่ได้เข้าห้องบูชาบรรพชนนี่ ยังอยู่ในเรือนนายหญิงอย่างสง่าผ่าเผย ยังมีโอกาสหว่านล้อมท่านพ่อ…นี่ก็สายมากแล้ว ลูกต้องขอตัวก่อน อีกสักพัก ค่ำๆ ค่อยมาหาท่านแม่ใหม่…”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยผ่อนคลายลงไม่น้อย ขณะจะยืดตัวขึ้น มองตามลูกสาวไป ด้านนอกก็มีเสียงดังมา เป็นเสียงกล่องตกพื้นอีกแล้ว
สองแม่ลูกตกใจ อวิ๋นหว่านเฟยดีดตัวขึ้นก่อน และพอแง้มหน้าต่างดู ก็ตื่นตระหนก หน้าเปลี่ยนสีทันที พลางร้อง “ตายจริง! นั่นมันสินสอดข้า ทำไมถึงขนออกมาล่ะ!” ว่าแล้วก็รีบพุ่งตัวออกจากห้อง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยืดตัวสั่นๆ ขึ้นมอง
หวงน้าสี่เลิกม่านออก แล้วเดินอาดๆ มายืนอยู่หน้าสุด เผชิญหน้ากับอวิ๋นหว่านเฟย ขวางทางและผลักนางเข้าไปในห้อง
ด้านหลัง ถงฮูหยินเดินนำมอมอที่รูปร่างบึกบึนสองสามคนเข้ามา