ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 75-1
และแล้วภายใต้การนำของขันทีน้อย ฉินลี่ชวนก็ไปถึงห้องน้ำหลังพระที่นั่งอี้เจิ้งได้ทันท่วงที
ผ่านไปครึ่งก้านธูป ฉินลี่ชวนค่อยตัวเบาลง พอสวมกางเกงและรัดผ้ารัดเอวเสร็จ ก็ก้าวออกมาพลางสวดยับ บ้าจริง ทั้งๆ ที่ใกล้เกษียณกลับบ้านเลี้ยงหลานแล้ว ยังต้องมาขายหน้าฝ่าบาทกับพวกขุนนางซึ่งหน้าอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน ท้องไส้ข้าไม่ได้แย่แบบนี้นี่
เพิ่งก้าวออกจากห้องน้ำ ขันทีน้อยที่ยืนรออยู่ก็จ้องมองตนพร้อมรอยยิ้มล้ำลึก
“ท้องไส้เจ้ากรมฉินในตอนนี้ ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?”
เฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างฉินลี่ชวนย่อมรู้ดีว่า ขันทีน้อยมิได้พูดเสียดแทงตน จึงนิ่งไป น้ำชานั่น…หรือว่าน้ำชานั่นมีปัญหา “เป็นเจ้า?”
“โอ้ ข้าน้อยไหนเลยจะมีขวัญกล้าเทียมฟ้าเยี่ยงนี้ กลัวถูกประหารจะแย่” ขันทีน้อยหัวร่องอหาย ก่อนสะบัดแส้ขนหางจามรีในมือ ก้าวเข้าหา แล้วล้วงสมุดพับเล่มหนึ่งออกจากแขนเสื้อ
“แต่มีผู้สูงส่งในวังคนหนึ่งอยากให้ใต้เท้าเสนาบดี ช่วยเปลี่ยนโผรายชื่อหน่อย”
…..
ในห้องประชุม
พอเห็นฉินลี่ชวนไปห้องน้ำ อวิ๋นเสวียนฉั่งแม้สะใจ แต่ก็รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้ามาก ทั้งๆ ที่รู้ว่ารายชื่อที่ฉินลี่ชวนนำเสนอ ไม่มีชื่อตน แต่ก็ยังไม่วางใจ ต้องได้ยินเขาประกาศออกมาก่อน จึงจะสบายใจ มิเช่นนั้น ในใจก็เหมือนมีหินก้อนหนึ่งทับไว้
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ฉินลี่ชวนก็กลับเข้ามา
ขุนนางหลายท่านเห็นเขาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปป้องปากพูดข้างหู บ้างก็แอบหัวเราะ
ทว่าตอนนี้ ฉินลี่ชวนมิได้รู้สึกอับอายเช่นเมื่อครู่อีก เขาเดินเข้ามาอย่างเหม่อลอย พอเดินถึงกลางห้อง ก็กล่าวขออภัยกับหนิงซีฮ่องเต้ ที่เสียมารยาทเมื่อครู่
เมื่อเห็นเขาเข้าห้องน้ำเรียบร้อย แต่สีหน้ากลับซีดขาว ฝีเท้าก็ช้าลง หนิงซีฮ่องเต้จึงคิดว่าเขาอาจไม่สบายจริงๆ และเห็นแก่ที่เขาเป็นขุนนางสองรัชสมัย เป็นผู้อาวุโสที่อายุมากแล้ว จึงมิได้ตำหนิติเตียน คร้านที่จะเสียเวลาอีก จึงว่า “เมื่อไม่เป็นไรแล้ว ท่านฉินก็รีบส่งโผรายชื่อมาให้ข้าเถิด”
ฉินลี่ชวนล้วงสมุดพับออกจากแขนเสื้อ ส่งให้เหยาฟู่โซ่วด้วยมืออันสั่นเทา เหยาฟู่โซ่วจึงนำสมุดพับถวายให้หนิงซีฮ่องเต้
อวิ๋นเสวียนฉั่งกำหมัดแน่น คับแค้นใจยิ่ง ตำแหน่งเจ้ากรมอยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่กลับหลุดลอยไปแบบนี้ ตนเป็นถึงรองเจ้ากรม นอกจากฉินลี่ชวนแล้ว ตนก็ใหญ่สุด ประสบการณ์ก็หลากหลาย เคยบังคับบัญชากองทัพด้วยตัวเองมาแล้วหลายสมรภูมิ ไม่มีใครมีคุณสมบัติเทียบเท่าตน ที่พอจะนั่งในตำแหน่งนี้ได้ แต่กลับ…
อวิ๋นเสวียนฉั่งกัดฟันกรอด ลอบกอดอก ถอนหายใจ
ผ่านไปพักใหญ่ เห็นเพียงหนิงซีฮ่องเต้ถือสมุดพับไว้ในมือ เงยหน้าขึ้น แล้วมองมาที่ตนด้วยสายตาค่อนข้างพินิจพิจารณา
อวิ๋นเสวียนฉั่งยืนนิ่ง ในที่สุดฝ่าบาทก็เห็นตนอยู่ในสายตา…แต่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ หนิงซีฮ่องเต้ก็หรี่พระเนตรที่เปี่ยมอำนาจบารมี แล้วหันพระพักตร์ไปเล็กน้อย
“เราว่า ท่านอวิ๋นไม่เลวจริงๆ เป็นหนึ่งในสามรายชื่อเจ้ากรมที่เราเลือกไว้ในใจแต่แรก แสดงว่าท่านฉินกับเราใจตรงกัน”
กบาลคล้ายถูกอะไรตีไปทีหนึ่ง เห็นแสงสีเงินระยิบระยับ
อวิ๋นเสวียนฉั่งตื่นตกใจ มีตนอยู่ในรายชื่อด้วยหรือ? เป็นไปไม่ได้…
พอฉินลี่ชวนเห็นว่าฝ่าบาทมองอวิ๋นเสวียนฉั่งไว้แต่แรก ก็ยิ่งต้องพายเรือตามน้ำ เหลือบมองอวิ๋นเสวียนฉั่ง แล้วว่า
“พ่ะย่ะค่ะ เสวียนฉั่งอยู่ในกรมกลาโหมมาหลายปี เป็นบุคลากรที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในกรมทั้งซ้ายและขวา ต้องสามารถบังคับบัญชากรมกลาโหมต้าเซวียนได้อย่างแน่นอน สมควรที่จะได้รับตำแหน่งเสนาบดี”
แววตาไม่ได้รู้สึกจากใจจริงทั้งหมด คล้ายถูกบังคับอยู่บ้าง
ของขวัญหล่นลงจากฟากฟ้า ใส่กบาลอวิ๋นเสวียนฉั่ง ทำให้เขาไม่ทันได้คิดอะไร สมองยังมึนงง ขณะรีบลุกขึ้นยืน “กระหม่อมรู้สึกละอายใจ ที่อายุราชการยังน้อย แต่ถ้าได้เป็นเสนาบดี ย่อมต้องอ่อนน้อมถ่อมทน ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทำงานหนักอย่างสุดความสามารถ เพื่อต้าเซวียนเรา!”
…
เลิกประชุม
ฝ่าบาทจากไปก่อน เหล่าขุนนางทยอยกันเดินออกจากพระที่นั่งอี้เจิ้ง
อวิ๋นเสวียนฉั่งจงใจออกเป็นคนสุดท้าย เขาเดินเข้าหาฉินลี่ชวน ตาเฒ่านี่ จะมาไม้ไหนอีก ไม่มีทางที่จู่ๆ จะค้นพบสัจธรรมแน่
แต่เขายังไม่ทันได้เข้าใกล้ ฉินลี่ชวนก็กุมท้อง แย่จริง สลอดในน้ำชานั่นแรงมาก ยังถ่ายออกมาไม่หมด ปวดท้องอีกแล้ว พอเห็นอวิ๋นเสวียนฉั่งเดินเข้ามา ก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วพูดน้ำเสียงดูหมิ่น
“อาศัยเส้นสายเมีย เครือข่ายญาติ ต่อให้ได้เป็นเสนาบดี ก็เท่านั้น! โอ๊ย ท้องข้า…ไม่ไหว…” ว่าแล้วก็บึ่งไปห้องน้ำทันที
อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดไปคิดมา ก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ขณะเดียวกัน ขันทีน้อยชุดแดงคนหนึ่งก็เดินจากระเบียงพระที่นั่งเข้ามาหาเขา
คุ้นหน้าจริง ขันทีน้อยผู้นี้คล้ายยืนอยู่ด้านหลังของฉินลี่ชวนตอนอยู่ในห้อง
ขันทีน้อยมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้อวิ๋นเสวียนฉั่ง
…
เวลาเดียวกัน ที่จวนสกุลอวิ๋น
หลังเที่ยง เมี่ยวเอ๋อร์ก้าวเข้ามาในเรือนฝูหยิง “คุณหนูใหญ่ ตอนนี้ผู้อาวุโสอยู่ที่ห้องน้อยข้างห้องบูชาบรรพชน พร้อมคนกลุ่มหนึ่ง นางบอกให้ท่านไปที่นั่นด้วย”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง วางมือลงจากงานที่ทำ แล้วเดินนำเมี่ยวเอ๋อร์ไปทางห้องบูชาบรรพชน
ห้องน้อยข้างห้องบูชาบรรพชน ที่ไม่มีใครถามถึงมาหลายวัน
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดวงแข็งมาก ที่รอดชีวิตจากการถูกลงโทษในครั้งนี้ บาดแผลส่วนล่างไม่อักเสบเพิ่ม สองวันนี้ปากแผลจึงปิดสนิท ไข้ก็ลดแล้ว พอได้ยินว่าหญิงชรามา ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด แต่จำต้องข่มความกลัวไว้ แล้วให้อาเถาไปเอากระจกกับหวี
พออาเถากลับมา ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็นั่งหน้ากระจก หวีผมรกรุงรังให้เรียบแล้วมวยขึ้น ล้างหน้าล้างตา เช็ดตัวคร่าวๆ ให้สะอาดด้วยน้ำหนึ่งกะละมัง จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างเตียง
หวงน้าสี่มาเป็นเพื่อนถงฮูหยิน พอเห็นน้องสะใภ้หน้าซีดเซียวยามไร้เครื่องสำอาง ก็แอบตกใจอยู่บ้าง นึกถึงตอนเห็นน้องสะใภ้ครั้งแรกที่มาเมืองหลวงใหม่ๆ นางเหมือนนางฟ้าก็มิปาน รักษาตัวเป็นอย่างดี และสวยแบบสาวรุ่น ผิวพรรณเนียนละเอียดสะอาดสะอ้าน ดวงตาอ่อนโยนมีเสน่ห์ ผมแต่ละเส้นก็หวีอย่างเรียบร้อยหมดจด เสื้อผ้าตลอดทั้งตัว รอยยับสักรอยก็ไม่มี ไหนเลยจะเหมือนสาวใหญ่อายุเฉียดสามสิบ ถ้าอยู่บ้านนอก ใครๆ ก็นึกว่าอายุสิบแปดสิบเก้า แต่ตอนนี้ ใบหน้าเหลืองตอบ เรื่องเนื้อตัวมีกลิ่นยากจะทานทนไม่ต้องพูดถึง รอบดวงตาที่เหม่อลอยบุ๋มลงไปคล้ายเบ้าเล็กๆ ร่องจมูกทั้งสองข้างลึกลงไปมาก ทำให้นางดูแห้งเ**่ยวเหมือนผู้สูงอายุ
ผู้หญิงอย่าหยุดสวย เฉกเช่นดอกไม้ที่ต้องบำรุงดูแลรักษาเสมอ แต่การแก่ชรา กลับทำได้ในเวลาไม่กี่วัน เพียงเจ็บปวดใจ กลุ้มใจ ตรากตรำทำงานหนัก ผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตเพียงครั้งเดียว กลับสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ เร็วยิ่งกว่าการแปลงโฉมเสียอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ด้านหลังท่านย่า แววตาเฉยชาขณะจ้องมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย ลักษณะเช่นนี้ของไป๋ฮูหยิน นางไม่เคยเห็นมาก่อน ชาติที่แล้ว ตนต่างหากที่มีลักษณะเช่นนี้ แล้วสองแม่ลูกก็คงจ้องมองตนเองด้วยสายตาเช่นนี้
พอนึกได้แบบนี้ ก็คิดว่าการเป็นคนไม่อ่อนไหวง่ายก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องเอะอะอะไรก็ร้องไห้เสียใจให้กับผู้ชายใจโลเล กลุ้มใจที่มีลูกสาวอกตัญญู และโกรธเพราะถูกปล้นสมบัติพัสถาน
ถงฮูหยินกับหวงน้าสี่ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ตกใจเล็กน้อยกับท่าทางอิดโรยของไป๋ฮูหยิน ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน นางผอมลงไปมาก ดูราวกับต้นไม้แห้งเ**่ยว ยิ่งเปลี่ยนเป็นชุดผ้าเนื้อหยาบสีขาวล้วนแบบเรียบๆ ผมเผ้าก็มวยแบบลวกๆ จนย้อยห้อยลงต่ำ ไม่มีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด ทรุดโทรมกว่าบ่าวรับใช้ในบ้านเสียอีก
เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน