ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 84-1
คนในวังดึงเรือพระที่นั่งเข้ามา วางบันไดหยกลง แล้วคอยจูงสตรีสูงศักดิ์ทีละคนลงมา
เจี่ยไทเฮาขึ้นฝั่งก่อน พอหันกลับมามอง ก็เหลือบเห็นอวี้โหรวจวงยืนอยู่ที่หัวเรือ
ตอนล่องเรือ สีหน้านางไม่สู้ดีนัก ตอนนี้กลับยิ่งบึ้งตึงไม่พูดไม่จา เจี่ยไทเฮาจึงรู้ว่า คุณหนูอวี้กำลังน้อยใจตน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกครหาว่าตนลำเอียง จึงโบกมือเรียก
“โหรวจวง ยังไม่ลงมาอีก ทำไมถึงยืนคนเดียวอยู่ตรงนั้นล่ะ”
อวี้โหรวจวงพยายามข่มกลั้นไฟริษยา เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้ม ก่อนก้าวออกจากเรือพระที่นั่ง เดินลงบันไดหยก แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปยืนข้างเจี่ยไทเฮา ดวงตาหงส์เชิดใส่อวิ๋นหว่านชิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ เหล่ตามอง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบา ไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป ฟังดูนุ่มนวลจับใจ
“ไทเฮาเพคะ เกรงว่าคุณหนูอวิ๋นคงไม่สะดวกที่จะอยู่ค้างคืนในวังเป็นเพื่อนพระองค์แล้ว”
“หือ? โหรวจวงหมายความว่าอะไร” เจี่ยไทเฮาตกพระทัย คิดไม่ถึงว่าอวี้โหรวจวงจะพูดเช่นนี้
คุณหนูสูงศักดิ์ท่านอื่นๆ ที่ขึ้นฝั่งแล้วต่างดึงสาวใช้ของตนไว้ แล้วหันมามองเป็นตาเดียว
อวี้โหรวจวงมองอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนบิดผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากไว้ครึ่งหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายคำพูดที่ตนกำลังจะพูด ค่อนข้างระคายหู แต่ไม่พูดก็ไม่ได้
“หม่อมฉันได้ยินมาว่า ก่อนที่คุณหนูอวิ๋นจะเข้าวังสองวัน มีพี่สาวจากหอโคมเขียวสองสามคนรุดไปจวนรองเจ้ากรม แล้วเข้าพบปะพูดคุยกับคุณหนูอวิ๋นถึงในเรือน ซึ่งเรื่องนี้แม้คนสกุลอวิ๋นพยายามปิดกันให้แซ่ด แต่คนในละแวกนั้นล้วนรู้ดี ถ้าทรงไม่เชื่อ ก็ให้คนไปถามดูได้ และเมื่อคุณหนูอวิ๋นเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการคบหากับหญิงสาวหอโคมเขียวแล้ว ถ้าให้นอนค้างอ้างแรมในวัง ก็อาจทำให้พระเกียรติมัวหมองไปด้วย และอาจมีคนเอาไปนินทาลับหลังอีก จึงขอให้ไทเฮาพิจารณาให้ถ้วนถี่อีกครั้งเพคะ”
“หญิงสาวหอโคมเขียว…” เจี่ยไทเฮาตาโต หันมองอวิ๋นหว่านชิ่น “คุณหนูอวิ๋น มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ”
บีบคั้นแรงขึ้นเรื่อยๆ กะไม่ให้หายใจกันเลยทีเดียว เมี่ยวเอ๋อร์ทนมาหลายวันแล้ว พอเห็นเช่นนี้ ไหนเลยจะทนได้อีก อยากก้าวเข้าไปฉีกหน้ากากของอวี้โหรวจวงเต็มทน แต่คุณหนูของตนกลับแอบจับมือไว้
เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ข้างกายเจี่ยไทเฮา ตอนนี้จึงก้าวออกมา ยืนอยู่ต่อหน้าทุกคน โดยหันไปโค้งให้เจี่ยไทเฮา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและอ่อนกว่าปกติ
“เรียนไทเฮา มีเรื่องเช่นนี้จริงเพคะ”
พอคำพูดนี้หลุดจากปาก ไม่เพียงเจี่ยไทเฮากับจูซุ่นเท่านั้นที่สูดหายใจเข้าลึกๆ กลุ่มคนสวยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็หน้าเปลี่ยนสี สายตามิได้มองอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยความริษยาแบบเมื่อครู่อีก แต่เหมือนกำลังมองขบถหัวรุนแรงอย่างไรอย่างนั้น
เจี่ยไทเฮาขมวดคิ้ว พลางนึกในใจ นางเป็นเด็กสาวที่ตนชื่นชอบ และนางก็ได้ช่วยตนไว้ แต่ทำไมนางถึงมีพฤติกรรมส่วนตัวแบบนี้ไปได้!
พริบตาเดียว ผิวหน้าขาวเนียนที่ดูแลรักษามาอย่างดีของเจี่ยไทเฉาก็หมองคล้ำลง เดิมทีหลังขึ้นฝั่ง นางคิดจะไปศาลาปทุมหอม นั่งคุยกับหลานๆ ต่อ แต่ตอนนี้กลับโมโหจนมึนงง ยืนนิ่งอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออก
พอเห็นไทเฮามีท่าทางปั้นปึ่ง ไม่รู้ว่าจะตำหนิอวิ๋นหว่านชิ่นหรือไม่อย่างไร หญิงสาวแต่ละคนไหนเลยยังจะกล้าส่งเสียง ทะเลสาบเฉิงเทียน จึงตกอยู่ในความเงียบงันทันที
ส่วนเหล่าองค์ชายและคุณชาย เนื่องจากต้องอยู่รับเสด็จไทเฮา จึงตัดสินใจออกจากสวนสัตว์และสนามขี่ม้ายิงธนูก่อนเวลา โดยได้กลับเข้านั่งประจำที่เดิมบริเวณศาลาปทุมหอมเรียบร้อย ขณะนี้จึงเห็นกลุ่มผู้หญิงทั้งหมดกำลังยืนอยู่ริมทะเลสาบจากระยะไกล แต่บรรกาศดูตึงๆ ชอบกล ขนาดอยู่ไกลก็คล้ายได้กลิ่นควันไฟตุๆ คิดว่าต้องมีเรื่องอะไรกันแน่
รัชทายาทจึงโบกมือเรียกขันทีน้อยคนสนิทมากำชับ
“ไป ไปสืบดูหน่อยว่า ตรงไทเฮานั่น ใช่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
ขันทีน้อยรับคำ แล้วรีบวิ่งไป
กลับมาที่ข้างทะเลสาบเฉิงเทียน
จูซุ่นซึ่งรับใช้ไทเฮามาหลายสิบปี ตั้งแต่ทรงเข้าวังมาในฐานะพระสนม จนกระทั่งได้เป็นไทเฮาในรัชสมัยปัจจุบัน ไฉนจะไม่รู้ใจไทเฮาเล่า ข้อแรก ทรงโกรธที่กุลสตรีอย่างคุณหนูอวิ๋นคบหากับนางโลม ข้อสอง ตอนอยู่ในงานเลี้ยง ทรงชมเชยคุณหนูอวิ๋นว่า กตัญญูต่อบิดาและรักน้องสาว เป็นแบบอย่างที่ดีของกุลสตรีต้าเซวียน แต่ตอนนี้คุณหนูอวี้กลับพูดต่อหน้าผู้คนมากมายว่า จริงๆ แล้วคุณหนูอวิ๋นไม่ได้เป็นเช่นนั้น…เฮ้อ คุณหนูอวี้หนอคุณหนูอวี้ ท่านจะเล่นงานคุณหนูอวิ๋นน่ะไม่เป็นไร แต่พลอยตบหน้าไทเฮาไปด้วยนี่สิ นี่มิใช่กำลังบอกว่าไทเฮามีตาแต่หามีแววไม่ มองคนไม่ออกหรอกหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จูซุ่นก็ต้องพยายามกู้หน้าและหาทางลงให้กับไทเฮาของตน ซึ่งพอคิดได้ ก็ค่อยๆ เตือนสติ
“ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงเย็นพระทัย เมื่อคุณหนูอวิ๋นยอมรับอย่างตรงไปตรงมา โดยมิได้แก้ตัวแม้เพียงครึ่งคำ ในใจย่อมมีความในแอบแฝง มิสู้ซักถามอีกสักสองสามประโยค”
เจี่ยไทเฮาค่อยถอนหายใจออกมา คิ้วก็คลายลงได้บ้าง
“คุณหนูอวิ๋น ข้าเห็นท่าทางของเจ้าในวันนี้ ไม่น่าจะเป็นคนไม่มีวินัย ทำไมถึงคบกับพวก…ไม่มีหัวนอนปลายเท้าได้เล่า มีเหตุผลอะไรหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกระพริบตาอย่างซื่อตรงและเคร่งขรึม ก่อนตอบเสียงดังกังวานโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
“เรียนไทเฮา วันก่อนมีหญิงสาวจากสำนักโคมเขียวสามคนมาเป็นแขกของจวนรองเจ้ากรมจริง และผู้ที่พวกนางมาหาก็คือหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่รู้จักพวกนาง จึงพูดไม่ได้ว่าคบหากันเป็นการส่วนตัว วันนั้นพอพวกนางมาถึง ก็ตะโกนโหวกเหวกว่า ต้องการพบหม่อมฉันให้ได้ ถ้าเป็นคนรู้จักกันจริง เหตุใดต้องทำเช่นนี้เล่า ในเมื่อคุณหนูอวี้บอกว่า คนแถวนั้นเป็นพยานได้ว่าพวกนางเข้ามาในจวน เช่นนั้นก็ขอให้สอบถามถึงวิธีการที่พวกนางใช้ เพื่อเข้าไปในจวนด้วย”
สีหน้าของเจี่ยไทเฮาค่อยดีขึ้นบ้าง แต่ยังคงถามต่ออย่างเคร่งเครียด
“เช่นนั้นก็หมายความว่าคนเหล่านั้นมาก่อกวนให้เจ้าเดือดร้อน? แต่ถ้าไม่มีลมจะมีคลื่นได้อย่างไร เจ้าเป็นถึงกุลสตรีลูกสาวขุนน้ำขุนนาง และยังไม่ได้ออกเรือน ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แล้วทำไมคนเหล่านั้นถึงมาหาเรื่องเจ้าได้”
“คุณหนูอวิ๋น ไม่มีมูล สุนัขไม่ถ่ายหรอก ทำไมนางโลมสามคนนั่น ถึงไม่มาหาข้าหรือหาคนอื่นๆ บ้างล่ะ ไปหาก็แต่เจ้า? แล้วบอกว่าไม่ได้คบเป็นการส่วนตัว เป็นไปได้หรือ” น้ำเสียงอวี้โหรวจวงไม่หนักไม่เบาจนเกินไป
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่แม้แต่มองอวี้โหรวจวง หันหาไทเฮา พลางพูดอย่างมีจังหวะจะโคน
“ผู้มาเพียงบอกว่า ตนเองหน้าบวมจากการใช้ครีมทาหน้าที่หม่อมฉันทำขึ้นใช้เอง จึงมาหาเพื่อขอคำอธิบาย แต่ในเมื่อหม่อมฉันทำขึ้นใช้เอง ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าครีมหลุดออกไปได้อย่างไร ซ้ำยังหลุดไปในที่แบบนั้นอีก แต่เมื่อมีผู้ป่วยมาหาถึงบ้าน และหม่อมฉันอธิบายได้ จึงอธิบายไป พลางรักษาหน้าให้นางไปในตัว ถ้านับดู นี่ก็สองวันพอดี นางน่าจะหายเป็นปกติแล้ว ที่หม่อมฉันพูดมาทั้งหมด เป็นความจริงทุกประการ ถ้าทรงไม่เชื่อ ก็สามารถส่งคนไปสอบถามจากผู้ป่วยได้”
คุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตฟังถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสริม
“ไทเฮาเพคะ คุณหนูอวิ๋นมีฝีมือด้านนี้จริงๆ ใบหน้าก่อนหน้านี้ของหม่อมฉัน ก็เป็นคุณหนูอวิ๋นนี่ล่ะ ที่รักษาจนหาย”
พออวี้โหรวจวงเห็นเช่นนี้ ก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเพื่อนสนิทยืนอยู่ข้างไหนกันแน่ จึงมองค้อนอย่างดุดันไป คุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตแม้ปลื้มอวิ๋นหว่านชิ่น แต่อย่างไรก็มีสัมพันธ์อันดีกับอวี้โหรวจวง จึงรีบหุบปาก ไม่ส่งเสียงอีก
ดูอวี้โหรวจวง คำก็นางโลมสองคำก็นางโลม แต่พอนังหนูพูด กลับกลายเป็นแขก เป็นผู้ป่วยไป ฟังแล้วรื่นหูกว่ามาก เจี่ยไทเฮาจึงรู้สึกโล่งอก