ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 92-3
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ใช่คนที่ไม่อดทนอดกลั้น จะว่าไปการคารวะอย่างเป็นทางการ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ถกกระโปรง แล้วก้มลงกราบไหว้ คิดเสียว่าอวิ๋นหว่านถงเป็นป้ายบูชาอันหนึ่งก็ได้แล้ว ไม่เป็นไร ไม่เสียหายอะไรนี่ แต่คนบางคน เกิดมาก็ไม่มีทางทำดีกับท่านหรอก ท่านถอยก้าวหนึ่ง นางก็ยิ่งเดินเข้าหาท่าน คิดบีบท่านให้จนมุม ครั้งนี้โขกศีรษะ ครั้งหน้าจะเป็นอะไร ไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น
ถงฮูหยินได้ยินอวิ๋นหว่านถงบีบบังคับคนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งไม่ชอบใจ คารวะอย่างเป็นทางการ? นี่มันมากเกินไปแล้ว พี่สาวตนเอง อยู่ในบ้านตนเองแท้ๆ ยังจะให้คุกเข่าโขกศีรษะอีก เช่นนี้คนสกุลอวิ๋นอยู่นอกบ้านมิต้องเลียรองเท้าให้ชายารองคนนี้หรอกรึ! น้ำใจควรมาก่อนมารยาท นังหนูสามนี่ ไม่มีความรักให้กับพี่น้องจริงๆ จิตใจคับแคบ อิจฉาริษยา! ถงฮูหยินเหลือบมองลูกชาย พอเห็นเขาเงียบไม่ส่งเสียง ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
ขณะกำลังจะพูด กลับนึกไม่ถึงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะจ้องมองชายารองที่นั่งอยู่ด้านบน แล้วยิ้ม
“เกรงว่าวันนี้จะคารวะอย่างเป็นทางการไม่ได้หรอก น้องสาม”
“คารวะอย่างเป็นทางการไม่ได้?”
อวิ๋นหว่านถงกลับนึกขัน นึกว่าพี่ใหญ่คนนี้จะมียันต์ป้องกันตัวอะไร ที่แท้ก็แข็งนอกอ่อนในนี่เอง ไม้ตายหรือ ที่ทำปากกล้าขาแข็งเช่นนี้น่ะ
“พี่ใหญ่ไม่ได้พิการ ไม่ได้บาดเจ็บสักหน่อย มือเท้าครบถ้วนแข็งแรงดี ทำไมถึงคารวะอย่างเป็นทางการไม่ได้ล่ะ น้องก็เห็นอยู่ว่าตอนอยู่ในวัง พี่ใหญ่ยังคารวะไทเฮากับเจ้านายท่านต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วดีนี่นา!”
ว่าแล้วก็ปรายตามอง ยวนยางจึงก้าวเข้าหาคุณหนูอวิ๋น ก่อนยกมือไปที่ไหล่ของนาง ดูท่า คิดจะกดอวิ๋นหว่านชิ่นลงไป
แต่เมี่ยวเอ๋อร์ยืนจ้องอยู่ด้านข้างแต่แรก จึงไม่รอให้ยวนยางก้าวเข้าใกล้ ยื่นเท้าออก แอบขัดขายวนยางที่สวมกระโปรงยาวลากพื้น
พอช่วงร่างสะดุด ยวนยางก็เสียการทรงตัว ยืนนิ่งไม่ได้ ซวนเซเกือบล้มคะมำ หน้าฟกช้ำแบบนายหญิง เมี่ยวเอ๋อร์จึงรีบยื่นมือออก พยุงนางไว้ แล้วเหลือบมองอวิ๋นหว่านถงแบบผ่านๆ หัวเราะคิกคัก แล้วว่า
“ก็บอกแล้วไงว่าวันนี้คุณหนูใหญ่คุกเข่าไม่ได้! เป็นพระประสงค์ของฟ้าน่ะ!”
“ใช้ไม่ได้เรื่อง! ยังไม่ยืนให้ดีๆ อีก!” อวิ๋นหว่านถงทั้งอายทั้งโกรธ
ยวนยางยังตกใจไม่หาย ก็ต้องรีบยืดตัวให้ตรง แต่ก็ไม่ได้ว่องไวแบบเมื่อครู่อีก แถมตอนล้มลงไปใกล้อวิ๋นหว่านชิ่น ได้กวาดตามองไป แล้วดวงตาก็ลุกวาว พอมองให้ถ้วนถี่อีกครั้ง ก็หายใจเข้าลึกๆ หันหน้าไป พูดอ้ำๆ อึ้งๆ “ชายารอง ท่านดู ดู…”
เห็นผีหรือไง! หรือร่างพี่ใหญ่มีไอปีศาจ ที่สามารถทำให้คนต้องคำสาปอย่างไรอย่างนั้น?
หรือยวนยางสะดุดล้ม แล้วตกใจจนงุนงงไป?!
มันยากนักหรือ ที่จะทำให้นางคุกเข่าลง? ตลกละ!
อวิ๋นหว่านถงลุกพรวดขึ้น ก้าวฉับๆ เข้าไป แล้วมองตามสายตาของสาวใช้คนสนิท ตอนแรกยังไม่ทันได้สังเกตว่ามีอะไร แต่พอดูให้ดีๆ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน
บนศีรษะพี่ใหญ่ ไม่มีเครื่องประดับใดๆ ปิ่นปักผมที่ปักไว้บนมวยผมดำสลวยจึงเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ…เป็น…ปิ่นหยกแท้สลักลวดลายหงส์สีแดงสยายปีกทั้งสองด้าน
ลวดลายหงส์ ชาวบ้านร้านตลาดผู้ใดกล้าใช้บ้าง? ปิ่นอันนี้ก็คือของขวัญที่ไทเฮามอบให้คุณหนูใหญ่ขณะอยู่ในงานเลี้ยงสังสรรค์นั่นเอง
แม้บอกว่าปิ่นปักผมของไทเฮาไม่ใช่กระบี่อาญาสิทธิ์ หรือป้ายทองไว้ชีวิตที่ฮ่องเต้มอบให้ แต่อวิ๋นหว่านถงในตอนนี้คือสะใภ้ราชวงศ์ ซึ่งมีไทเฮาเป็นเจ้านายสูงสุด ถ้าทรงคิดเล่นงานตน ย่อมลงมือได้ทุกเมื่อ จึงไม่อาจไม่ใส่ใจ
บนตัวพี่ใหญ่มีเครื่องประดับที่ไทเฮาประทานให้ แต่ตนกลับบีบบังคับนางคุกเข่าให้กับตน นี่เป็นการไม่ให้เกียรติกันเห็นๆ ถ้าได้ยินไปถึงหูไทเฮา จะทรงไม่ระแวงสงสัยตนหรือ
ไทเฮาเป็นคนอย่างไร มีแค้นต้องชำระ กระทั่งหลานก็ไม่ละเว้น
ผ่านเรื่องของเว่ยอ๋องมา นับว่าอวิ๋นหว่านถงได้เรียนรู้แล้วจริงๆ
หัวหมุนไปหนึ่งรอบ อวิ๋นหว่านถงเสียวสันหลังวาบ นิ่งงันไปชั่วขณะ กลับเป็นอวิ๋นหว่านชิ่นที่เอ่ยปากขึ้นก่อน พร้อมแววตาอมยิ้มไม่เลิก ขณะจ้องมองตน
“น้องสามเป็นอะไรไป ยังต้องการให้พี่คารวะอย่างเป็นทางการอีกหรือเปล่า”
อวิ๋นหว่านถงกัดกรามกรอด เนื้อแก้มยุบเข้ายุบออก หน้าแดงก่ำ เนิ่นนานถึงจะส่งเสียงที่ฝืนใจเป็นอย่างยิ่งออกจากลำคอ
“เมื่อท่านพี่พูดเช่นนี้ วันนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป”
ถงฮูหยินไม่พอใจและทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของอวิ๋นหว่านถงอยู่แต่แรก ติดที่นางเป็นชายารองของอ๋อง ด่าว่าไปจะไม่ดี ตอนนี้จึงระบายใส่อนุฟาง ด้วยการกระแทกถ้วยชาลงไปบนโต๊ะแรงๆ จนน้ำชากระฉอกใส่ใบหน้าและศีรษะของอนุฟาง ก่อนสะบัดแขนเสื้อ พูดตีวัวกระทบคราด
“กว่าจะกลับบ้านได้สักครั้ง ยังต้องให้พี่สาวคนเดียวในบ้านคุกเข่ากราบไหว้อีก! คนในบ้านถูกข่มเหงยังไม่เท่าไหร่ ถ้าคนนอกได้ยินเข้า จะพูดว่าเราเลี้ยงลูกอกตัญญู คนทั้งบ้านไม่มีน้ำใจต่อกัน! ไม่รู้ว่าปกติ สอนลูกอีท่าไหนกันแน่!”
อนุฟางไหนเลยจะกล้าแข็งขืนกับผู้อาวุโส ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา โมโหก็โมโห แต่ไม่กล้าแสดงออก แอบส่งสายตาให้อวิ๋นหว่านถง บอกให้นางรามือ อย่าดึงตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
อวิ๋นหว่านถงเพียงเกรงว่ามารดาอยู่ในบ้านจะถูกลงโทษ จึงได้แต่แค่นเสียงเย็นชาออกมา กลับไปนั่งที่เดิม แล้วชำเลืองมองปิ่นปักผมบนศีรษะพี่ใหญ่อีกครั้ง ที่สุดแล้วก็ยอมเลิกรา หันไปสั่ง
“นำเก้าอี้ให้พี่ใหญ่นั่ง”
พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าสงครามใต้ดินของลูกสาวทั้งสองสงบลง จึงพูดไกล่เกลี่ยไปสองสามคำ ดึงให้
บรรยากาศกลับมาเป็นดังเดิม
เที่ยงตรง สุราอาหารที่บ่าวในบ้านเตรียมเอาไว้ ก็ถูกยกออกมา คนในห้องต่างแยกย้ายกันนั่งรับประทานอาหารกลางวันตามใจชอบ
ส่วนอวิ๋นหว่านถงที่วันนี้ไม่ทำอะไรพี่ใหญ่ไม่ได้ ย่อมไม่สบายใจ ทานไปได้ไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง แล้วนำผ้าเช็ดปากที่ยวนยางส่งมาให้ เช็ดปากอย่างเซ็งๆ แล้วว่า
“กับข้าวแบบนี้ไม่ถูกปากข้า อย่างไรท่านพ่อกับท่านย่าค่อยๆ ทานกันไปก่อนก็แล้วกัน”
เดิมทีถงฮูหยินยังนึกอยากจะใกล้ชิดกับอวิ๋นหว่านถงให้มากขึ้น แต่ตอนนี้ดูๆ ไป ชายารองอย่างนาง ไม่รู้จักคนในบ้านไปแล้ว ผ่านไปแค่ไม่กี่วันนางก็กลายเป็นคนไร้ความรู้สึก ไร้หัวใจ ไม่นับคนในบ้านเป็นครอบครัว นานวันเข้าจะดีหรือ จึงไม่คิดหวังในตัวนางอีก พอเห็นนางจะออกจากห้อง ก็ดีเหมือนกัน อาจทำให้ทุกคนกินได้มากขึ้น จึงไม่รั้งนางไว้ ไม่แม้แต่จะมองเสียด้วยซ้ำ คีบผักพลางพูดอย่างรวดเร็ว
“ชายารองอยากพัก ก็ไปพักเถิด”
อวิ๋นหว่านถงนึกว่าจะถูกขอให้อยู่ต่อ พอได้ยินเช่นนี้ ก็โมโห เขวี้ยงตะเกียบทิ้ง เวลากลับบ้านมีจำกัด ก่อนบ่ายสามครึ่งก็ต้องกลับจวนอ๋องแล้ว จึงเรียกมารดาให้กลับเรือนไปด้วยกัน สองแม่ลูกอยากคุยกันเป็นการส่วนตัว
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นชายารองออกจากห้อง ก็กวักมือเรียกเมี่ยวเอ๋อร์ ก่อนพูดเสียงเบา
“เมี่ยวเอ๋อร์ ไปดูซิว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน”
เมี่ยวเอ๋อร์รู้ดีว่าคุณหนูใหญ่คิดสืบเรื่องอะไร ก็ต้องเรื่องความเป็นมาเป็นไปของรอยแผลบนใบหน้าชายารองนั่นล่ะ จึงหัวเราะคิกคัก แล้วก้าวเท้าออกไปทันที
พออวิ๋นหว่านชิ่นทานข้าวเสร็จ และกลับไปที่เรือน ก็เห็นเมี่ยวเอ๋อร์รออยู่ก่อนแล้ว หลังจากปิดม่านประตู นางก็ถ่ายทอดคำพูดที่ได้ยินขณะหลบอยู่มุมกำแพง ให้คุณหนูใหญ่ฟังโดยไม่ตกหล่นแม้สักคำเดียว