ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 94-1
หลังจากคนสกุลอวิ๋นสร้างจวน ตั้งรกรากในเยี่ยจิงสำเร็จ เรือนเจี่ยวเย่ว์ก็เป็นเรือนหลังแรกที่ช่างทำการตกแต่งแล้วเสร็จ และถูกใช้เป็นห้องหนังสือของอวิ๋นเสวียนฉั่งมาสิบกว่าปี แม้ตอนนี้อวิ๋นเสวียนฉั่งบอกให้บ่าวในบ้านซ่อมแซมต่อเติม เพื่อให้เหลียนเหนียงย้ายเข้ามาอยู่ แต่นอกจากห้องนอนและห้องปีกข้างแล้ว ระเบียงและกำแพงบางส่วนยังมีคราบเหลืองเป็นจุดๆ บ่งบอกร่องรอยทางประวัติศาสตร์ให้เห็น
อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ตอนที่ตนยังเล็กมากๆ นั้น บิดามารดาก็เริ่มระหองระแหงกันแล้ว และพอไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้เป็นเมียน้อย บิดาก็อยู่แต่กับเมียน้อย เย็นชากับเมียหลวง น้อยครั้งนักที่จะไปเรือนมารดา สวี่ฮูหยินก็ค่อยๆ ทำใจได้ และมักฉวยโอกาสตอนที่สามีไม่ใช้ห้องหนังสือ พาลูกสาวมาที่เรือนเจี่ยวเย่ว์ หาหนังสือมาอ่าน ฆ่าเวลาไปวันๆ สองแม่ลูกช่วยกันนำโต๊ะไม้แดงสี่เหลี่ยมตัวเตี้ย มาวางไว้ข้างหน้าต่าง บนพื้นที่ยกสูงไว้นั่งเล่น เพื่อใช้อ่านหนังสือ ฟังเสียงฝน ชมพระอาทิตย์ ท่องบทกวี เขียนอักษรพู่กัน
สวี่ฮูหยินเศร้าเสียใจที่สามีห่างเหินและนอกใจ จึงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้กับลูกสาว โดยใช้ห้องหนังสือแห่งนี้ สอนหนังสือลูกสาวอย่างจริงจัง ทั้งอ่านและเขียนหนังสือ วาดภาพ ดีดพิณ ด้วยต้องการบ่มเพาะให้ลูกสาวเป็นกุลสตรีที่รอบรู้และรู้จักมารยาท สวยสง่าอย่างมีคุณค่า
นับเป็นความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกได้ถึงการปลอบประโลมและให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกันระหว่างแม่ลูก ในโมงยามที่ต่างไม่ได้รับการเอาใจใส่และอยู่ในสภาวะกึ่งถูกทอดทิ้ง
ห้องนอนของเหลียนเหนียงในตอนนี้ เมื่อก่อนมีหนังสือสารพัดสารพันเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะก้าวออกจากห้อง ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ผุดขึ้น แม้เลือนราง ก็ยังสามารถเห็นร่างที่ยังสาวของมารดานั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างหน้าต่าง ใบหน้าสดใสมีน้ำมีนวลอมยิ้ม ปรากฏลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างแบบเดียวกับตน กำลังอ้าและหุบปาก คล้ายกำลังสอนเด็กเล็กอย่างตนให้อ่านหนังสือสารานุกรม ประวัติศาสตร์ ศีลธรรม วัฒนธรรมประเพณี นิทานยี่สิบสี่ยอดกตัญญู หรือแม้แต่ปรัชญาสำหรับเด็ก
หนังสือคล้ายสามารถชำระล้างจิตใจคน ทำให้คนลืมโลกที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าตน ตนจะไม่เห็นความเศร้าเสียใจและความอึดอัดใจในชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลวบนใบหน้าของมารดา
“ท่านแม่…”
อวิ๋นหว่านชิ่นชะงักฝีเท้าพลางร้องเรียกในใจ ขณะอยู่ตรงหน้าความว่างเปล่าข้างหน้าต่างอันไร้ซึ่งผู้คน
เพราะเหตุนี้ หลังจากสวี่ฮูหยินจากโลกนี้ไป อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ได้เข้ามาเหยียบเรือนเจี่ยวเย่ว์อีก ที่นี่ เงาร่างของมารดายังคงเด่นชัดเสมอ ภาพที่เห็นง่ายต่อการทำร้ายจิตใจ แม้นางได้เกิดใหม่ ก็ยังไม่คิดจะมา
หลังจากสวี่ฮูหยินเสียชีวิต ร่างก็ถูกบรรจุไว้ในโลงศพ วางไว้ในจวนอยู่หลายวัน ถึงจะเคลื่อนกลับไปฝังยังสุสานสกุลอวิ๋นที่ไท่โจว ระหว่างนี้ สำหรับเด็กอายุแปดขวบอย่างอวิ๋นหว่านชิ่น ราวกับเป็นความฝันที่สับสนและมึนงง ตอนนี้พอนึกถึงก็รู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ชาติก่อนตนอ่อนแอมาก ตอนนั้นตนไม่อยากจะเชื่อว่าไม่มีมารดาแล้ว ตอนที่ร่างของมารดาถูกวางไว้ในห้องโถง ยังไม่บรรจุลงในโลงศพนั้น นางไม่กล้าเข้าไปดูแม้แต่น้อย และวัน
เคลื่อนศพมารดากลับบ้านเกิด นางก็อยู่แต่ในห้อง ดูแลอวิ๋นจิ่นจ้งที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ไม่ได้ออกมาส่งศพ
ถ้าย้อนกลับไปในวันส่งศพมารดาได้ นางต้องอยู่เฝ้าศพและมองดูมารดาเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน!
อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บอารมณ์เศร้าโศก แล้วรีบก้าวเดินต่อ ยังไม่ลืมจุดประสงค์ของการมาเรือนเจี่ยวเย่ว์
พอออกจากห้องนอน ก็เลี้ยวไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องปีกข้าง
เป็นไปตามคาด สลักประตูห้องถูกลงกลอนโลหะไว้อย่างแน่หนา
ห้องๆ นี้ตอนนี้ถูกใช้เป็นห้องเก็บของในเรือนเจี่ยวเย่ว์ แต่เมื่อครั้งสวี่ฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ ห้องๆ นี้ถูกใช้เป็นห้องพักผ่อน สำหรับผู้ที่อ่านหนังสือหรือทำงานในห้องหนังสือจนเมื่อยล้า ก็สามารถมาพักผ่อนในห้องได้
ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นยังเล็ก คัดลอกตัวหนังสือจนง่วงและสัปหงกติดต่อกัน สวี่ฮูหยินก็จะยิ้มอย่างเอ็นดู วางตำราในมือลง แล้วอุ้มลูกสาว เดินเข้าไปในห้องข้างๆ พร้อมสาวใช้ ให้ลูกสาวนอนพักในห้อง
แม้เวลาล่วงเลยมานาน แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังจดจำห้องนี้ได้ทุกซอกทุกมุม ชนิดหลับตาก็คลำหาเจอ!
เมื่อก่อนห้องนี้ไม่เคยใส่กลอน ตอนนี้เมื่อเป็นเพียงห้องเก็บของเบ็ดเตล็ด จำเป็นด้วยหรือที่ต้องใส่กลอน
กลอนโลหะมีความแวววาว เป็นกลอนใหม่ที่เพิ่งถูกคล้องเข้าไปอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยิ่งมั่นใจ เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนวิ่งไปยังลานหน้าห้อง
ปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว ใบของต้นมะยมหินที่ตั้งตระหง่านร่วงจวนจะหมดต้นอยู่รอมร่อ ใต้ต้นจึงมีกิ่งไม้เล็กๆ ที่กวาดไม่หมดอยู่จำนวนหนึ่ง
นางหยิบกิ่งที่ดูตรงแต่หยาบขึ้นมาหนึ่งกิ่ง ออกแรงหักเต็มที่ พอเห็นว่ากิ่งแข็งแรงมาก ไม่หัก ก็รีบถือกิ่งวิ่งกลับไป นำปลายแหลมของกิ่งแยงเข้าไปในรูกลอนโลหะ หมุนซ้ายเสียงดังกึก ไม่ได้ จึงหมุนขวาครึ่งรอบ หมุนซ้ายหมุนขวาอย่างคล่องแคล่วอยู่หลายรอบ จนได้ยินเสียงดัง ‘แคร๊ง’ เบาๆ ประตูเปิดออกได้ในที่สุด
อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วปิดประตู
ห้องปีกข้างยังมีสภาพเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนพอสมควร ทั้งตั่งไม้แดงสำหรับเอนหลัง และแจกันดอกเหมย เพียงมีของเบ็ดเตล็ดที่ไม่ได้ใช้ชั่วคราวอย่างที่นอนหมอนมุ้ง เป็นต้น วางกองเพิ่มเข้ามาจำนวนหนึ่ง
มุมห้องปีกข้างยังคงเหมือนเดิม มีตู้เสื้อผ้าธรรมดาๆ สูงราวครึ่งตัวคนตั้งอยู่
นางก้าวเข้าไป ดันตู้เสื้อผ้าออกอย่างสงบนิ่ง เห็นผนังสีขาวด้านหลังตู้ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าดูให้ดีๆ จะเห็นเส้นบางๆ สี่เส้นบรรจบกัน คล้ายผนังสลักลายเป็นรูปกรอบสี่เหลี่ยม พอใช้มือค่อยๆ ลูบไปตามเส้น ก็จะรู้สึกว่าผนังในกรอบสี่เหลี่ยมคล้ายช่องเล็กๆ ที่ยุบเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกับผนัง ราวกับลิ้นชักที่ฝังอยู่ในผนังอย่างไรอย่างนั้น
ทว่า ‘ลิ้นชัก’ นี้ ไม่มีกุญแจไข และไม่มีเครื่องมือใดๆ สามารถงัดมันออกมา นอกเสียจากทุบผนังให้แตก มิฉะนั้นแล้วก็ทำอะไรไม่ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมอง และเห็นว่าผนังด้านทิศตะวันตกมีภาพเขียนสีพู่กันรูปสิงโตลงจากภูเขาแขวนอยู่ แม้เหลืองลงไปบ้าง และมีฝุ่นเกาะตามกาลเวลา แต่ลายเส้นและสีสันยังคงชัดเจน ท่าทางของสิงโตเหมือนจริงมาก ทั้งดวงตาที่ทรงพลัง เขี้ยวสีขาวที่ทำให้สัตว์ต่างๆ เกรงขาม รวมทั้งกรงเล็บที่กางออก ดูเหมือนกำลังจ้องมอง
ผู้มาที่อยู่นอกภาพอย่างดุดันและจริงจัง
อวิ๋นหว่านชิ่นหรี่ตามอง แล้วยกมือเรียวยาวขึ้น ใช้ปลายนิ้วกดลงไปที่ตาข้างซ้ายของสิงโต ค่อยรู้สึกว่าปลายนิ้วมีปุ่มนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่ด้านหลัง
พอหันมอง ผนังกรอบสี่เหลี่ยมคล้ายลิ้นชักที่อยู่หลังตู้เสื้อผ้าก็ค่อยๆ ยื่นออกมาเอง แล้วหยุด
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ้านขุนนางจะมีการออกแบบช่องลับเล็กๆ ที่แยบยลเช่นนี้ไว้ ขุนนางบางคนยังสร้างกระทั่งห้องลับไว้ในจวนเพื่อใช้หลบหนีในยามจำเป็นอีกด้วย
ช่องลับแบบนี้ ก็เหมือนตู้นิรภัยเล็กๆ เอาไว้เก็บซ่อนข้าวของที่เป็นความลับหรือไม่สะดวกให้ใครพบเห็น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าวของหรูหรา ที่กลัวว่าถ้ามีใครมาเห็นเข้า จะปากมาก หรือวันใดวันหนึ่งไม่ทันระวัง ถูกคนในราชสำนักตรวจสอบ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง แล้วเก็บทรัพย์สินไม่ทัน ก็ยังมีข้าวของในลิ้นชักลับ ให้ใช้เป็นทางหนีทีไล่
บ้านสกุลอวิ๋นก็ไม่มีข้อยกเว้น