ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 99-2
อนุฟางเหงื่อกาฬหลั่งไหล ไม่ง่ายเลยที่ตนจะกลับมาพูดดีๆ กับท่านพี่ได้ จึงก้าวออกมา พูดจาละล่ำละลัก “อาจไม่เกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายห้าก็เป็นได้นะ ท่านพี่…หรือถ้า ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็ไม่น่าจะ จะโยงใยมาถึงเราหรอก”
“เหรอ? เป็นได้แค่แม่บ้านจริงๆ โง่สุดจะเปรียบ! หนอนกัดกิ่งไม้ของต้นไม้ไปกิ่งหนึ่งแล้ว จะไม่กัดกิ่งอื่นๆ หรือ!?” อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่ได้ยินคำพูดของอนุฟางยังดี พอได้ยินแล้วก็โมโห อารมณ์ขึ้น ต้องจับทรวงอกอย่างช่วยไม่ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมือของเขากดลงบนกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงสองซี่เยื้องๆ หัวใจด้านล่าง เหมือนอาการระหว่างกินข้าวในตอนนั้นไม่มีผิด บิดาคลุกคลีในแวดวงขุนนางมานานหลายปี ต้องการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงประจบผู้บังคับบัญชา เอาใจผู้สูงศักดิ์ ดื่มสุราระหว่างมื้ออาหารเป็นเพื่อนบุคคลต่างๆ อยู่เป็นนิจจนเป็นเรื่องปกติ ทำให้ม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนแอ ยิ่งหมู่นี้ได้เลื่อนตำแหน่ง ก็ยิ่งยุ่งอยู่นอกบ้านตลอด กินอาหารสามมื้อไม่เป็นเวลา พอกลับถึงบ้าน ก็สนใจแต่เรื่องกิจกรรมบันเทิงเริงรมย์กับอนุคนใหม่ คงสูญเสียพลังงาน ระบบทางเดินอาหารจึงยิ่งรวนเข้าไปอีก
พอเห็นสีหน้าอวิ๋นเสวียนฉั่งม่วงคล้ำ ท่าทางข่มกลั้นความเจ็บปวดไว้ อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมิได้มีความกังวลและห่วงใยในฐานะลูกสาวเสียทั้งหมด ในหัวสมองกลับมีคำว่า สมน้ำหน้า ขึ้นมา
ขณะคิด อวิ๋นหว่านชิ่นก็เบือนหน้าไปอีกทาง มารดาอัดอั้นตันใจและทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยในช่วงท้ายของชีวิต ตอนนี้ ถึงคราวบิดาเนรคุณจะได้สัมผัสด้วยตัวเองดูสักตั้งบ้าง
โรคระบบทางเดินอาหาร เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่แสดงอาการอย่างฉับพลัน ก็จะสะสมไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื้อรัง แทบจะรักษาไม่หายตลอดชีวิต เมื่อบิดาหนีแวดวงขุนนางไม่พ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โรคจะลากยาวและหนักขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนเหลียนเหนียง เมื่อเห็นท่าทางของอวิ๋นเสวียนฉั่งไม่สู้จะดี ก็มีปฏิกิริยาเร็วสุด รีบก้าวเข้าไปพยุงเขาไว้ พลางพูดอย่างอ่อนโยน “ท่านพี่ใจเย็นๆ อย่าใจร้อน ค่อยๆ พูด เดี๋ยวอาการจุกเสียดก็กำเริบหรอก”
แล้วรีบเรียกบ่าวรินน้ำชาร้อนๆ มา ก่อนยื่นให้อวิ๋นเสวียนฉั่ง
อนุฟางถูกท่านพี่ด่าทอ จึงยืนเป็นตอไม้ วิญญาณหลุดออกจากร่างอยู่ในห้อง
อวิ๋นเสวียนฉั่งรับถ้วยน้ำชามาถือไว้ในมือ ยกขึ้นจิบสองคำ อาการจุกเสียดค่อยทุเลาลง
ในห้องล้วนเป็นคนในครอบครัว เขาจึงไม่ต้องสนใจเรื่องความอับอาย อยากพูดอะไรก็ไม่ต้องกังวล ขณะรู้สึกอัดอั้นตันใจ จำเป็นต้องหาคนมาระบาย จึงวางถ้วยกระเบื้องเคลือบลงบนโต๊ะแรงๆ เสียงดัง ‘ต๊ก’ น้ำชากระฉอกออก
“ล้วนเป็นเจ้า! แม่บ้านมหาภัยหนอแม่บ้านมหาภัย! ถ้าไม่ใช่เจ้าเอะอะโวยวายว่าต้องให้ถงเอ๋อร์เข้าวังไป
เป็นเพื่อนชิ่นเอ๋อร์ให้ได้ ไทเฮาจะพระราชทานถงเอ๋อร์ให้เว่ยอ๋องได้อย่างไรกัน สกุลอวิ๋นเราก็ไม่มีทางถูกโยงให้
เข้ามาแบกรับหายนะที่ไม่ได้ก่อ! และถ้าตำแหน่งของข้าถูกสั่นคลอนเพราะเรื่องของเว่ยอ๋องล่ะก็ ข้า ข้า…”
เขายกถ้วยชาขึ้นอีกครั้ง พลันเขวี้ยงใส่อนุฟางอย่างเดือดดาล เนื่องจากอยู่ใกล้ เห็นเป้าชัด ถ้วยชาถึงกระแทกเข้าที่หน้าผากอนุฟางอย่างจัง ได้ยินเสียงร้องโหยหวน ตามด้วยอนุฟางล้มลง ขณะพยายามลุกขึ้น หน้าผากก็ปูดบวมและห้อเลือด
หลายวันมานี้ เนื่องจากลูกสาวได้เป็นใหญ่เป็นโต สถานะในสกุลอวิ๋นของนางก็สูงขึ้นตาม ทำให้บ่าวในบ้านไม่กล้าหืออือ อนุคนใหม่ก็ยังมาฝากเนื้อฝากตัวกับนางถึงที่ ขนาดหญิงชรานั่น เวลาพูดจากับนางก็ยังมีความเกรงใจอยู่บ้าง แต่พริบตาเดียว นางก็คืนสู่สภาพเดิมเสียแล้ว ไม่กล้าร้องขอความเป็นธรรม ได้แต่ใช้มือจับแผลห้อเลือดที่หน้าผากพลางร้องไห้เหมือนเด็กๆ
“ไม่รู้เหมือนกันว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวอย่างไร ใครไม่ไปหา ดันหาแต่พวกดวงซวยที่ทำอะไรไม่ขึ้นมา!” อวิ๋นเสวียนฉั่งยังคงคับแค้นใจไม่หาย จึงด่าทอไม่หยุด
อนุฟางก็ได้แต่ร้องไห้จนสายตัวแทบขาด ใบหน้าบวมจนแยกไม่ออกว่าแดงหรือม่วงช้ำ นี่เขาพูดอะไรออกมา หาความเป็นธรรมไม่ได้จริงๆ ถ้านางมีตาทิพย์ สามารถเห็นว่าองค์ชายท่านไหนมีความสามารถมากสุด จะมานั่งอยู่ตรงนี้หรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นทำเสียงจุ๊ๆ ในใจ อนุฟางน่าจะใกล้อกแตกเต็มที แต่นางติดตามบิดามานานหลายปี ก็น่าจะรู้ว่าบิดาเป็นคนอย่างไร ตัดสัมพันธ์ได้อย่างไร้เยื่อใย แต่ทีตอนอาศัยลูกสาวไต่เต้า กลับไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ตอนนี้พอกลัวว่าลูกสาวจะทำให้ตนติดร่างแหไปด้วย น้ำโสโครกอะไรก็สาดใส่คนอื่นได้หมด
ถงฮูหยินเลิกคิ้วขณะฟังทุกถ้อยกระทงความอย่างตั้งอกตั้งใจ รอจนลูกชายระบายอารมณ์เสร็จ ค่อยเอ่ยปากขึ้น
“พอแล้วเจ้ารอง ตอนนี้เจ้าด่าว่านางไปก็ไร้ประโยชน์ การที่ถงเอ๋อร์แต่งกับองค์ชายห้า จะเคราะห์ดีก็ดี จะเคราะห์ร้ายก็ได้ ล้วนเป็นชะตาชีวิตของนาง แต่คนในครอบครัวใหญ่อย่างสกุลอวิ๋นเรายังต้องมีชีวิตที่ดีต่อ อย่างจิ่นจ้ง ไม่เพียงแต่ต้องมีชีวิตที่ดี อีกสองปีก็ต้องสอบเข้าเป็นขุนนางแล้ว จะให้โยงเข้ากับเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว จนกระทบกับอนาคตไม่ได้เป็นอันขาด! เจ้าเป็นขุนนางและเป็นเสาหลักของบ้านมาหลายปี ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าควรทำอย่างไร เจ้าบอกคนในบ้านทั้งเล็กและใหญ่อย่างพวกเรามาตามตรงดีกว่าว่า ถ้าเว่ยอ๋องนั่นต้องโทษจริงๆ โทษคืออะไร แล้วเจ้าค่อยตัดสินใจจะดีกว่า!”
ถ้าบอกว่า ถงฮูหยินเป็นหญิงชรามาจากบ้านนอกที่ไม่รู้จักโลกภายนอก ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะพอเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกะทันหัน นางกลับเยือกเย็นกว่าลูกชายที่เป็นขุนนางอยู่หลายเท่า อวิ๋นหว่านชิ่นขยับมุมปากขึ้น ปรากฎรอยยิ้ม
พอได้ยินคำเตือนของมารดาผู้เป็นม่าย อวิ๋นเสวียนฉั่งค่อยสงบสติอารมณ์ลง จึงยืดตัวตรง พลางพูดพร้อมสีหน้าจริงจัง
“ถ้าองค์ชายต้องโทษ ระดับของโทษที่เชื่อมโยงถึงญาติพี่น้อง มีทั้งหนักและเบา ถ้าหนักหน่อย จะลดตำแหน่งร่วมกับเสียค่าปรับ ล้วนนับว่าดี พวกเจ้ายังจำเรื่องขององค์ชายสี่ เหิงอ๋องซื่อเฝ่ย เมื่อหลายปีก่อนได้หรือไม่ ทรงเมาสุราอาละวาด กระด้างกระเดื่องในท้องพระโรง จนทำให้ฝ่าบาทตกพระทัยยิ่ง แม้เป็นการทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่สุดท้ายยังคงถูกเนรเทศไปจูโจว ที่ห่างไกลความเจริญ แม้ยังเป็นอ๋อง แต่ก็ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในจูโจว กลับเมืองหลวงไม่ได้อีก ส่วนคนในครอบครัวชายา ทั้งชายาเอกและชายารองรวมสี่ร้อยกว่าชีวิต ก็ต้องตามลูกเขยไปจูโจวด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไหนเลยยังมีอนาคตอะไรอีก! ความผิดครั้งนี้ของเว่ยอ๋อง ตามรูปการณ์แล้วก็พอๆ กับเหิงอ๋อง ข้าจึงเกรงว่าน่าจะถูกลงโทษพอๆ กัน…”
“อะไรนะ!” แม้กำลังหวาดกลัว แต่อนุฟางก็ยังคงร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านพี่ว่า เขาจะเอาเราไปปล่อยไว้ต่างถิ่นหรือ!?”
อวิ๋นเสวียนฉั่งค้อนนางหนึ่งควับ ก่อนเหลือบมองมารดา แล้วจึงกวาดตามองคนในบ้านทีละตน
“ดังนั้น ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาก็เพราะต้องการเตือนพวกเจ้าว่า แต่นี้ไปต้นไป ห้ามคนสกุลอวิ๋นทุกคนติดต่อกับคนในจวนเว่ยอ๋องอีกไม่ว่าผู้ใดก็ตาม รวมทั้งการแจ้งด้วยปากเปล่าหรือจดหมายด้วย โดยเฉพาะเจ้า”
จ้องมองอนุฟาง แล้วว่า “สรุปแล้ว ให้ทำตัวเหมือนไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้น! ถ้าคนในจวนเว่ยอ๋องมา ก็พยายามหลบเลี่ยง หาข้ออ้างปฏิเสธที่จะพบแขก อย่าให้พวกเขาก้าวเข้ามาในบ้านสกุลอวิ๋นเป็นอันขาด พวกเจ้ากลับไปกำชับบ่าวและเด็กรับใช้ในเรือนของพวกเจ้าให้ดี และถ้าอยู่นอกบ้าน ก็ห้ามพูดถึงเรื่องเว่ยอ๋องแม้ครึ่งคำ ถ้าปากใครเที่ยวพูดมั่วซั่วว่า คุณหนูบ้านตนเป็นชายารองเว่ยอ๋องล่ะก็ ข้าจะฉีกปากให้”
ตั้งแต่อวิ๋นหว่านถงเข้าจวนเว่ยอ๋อง อนุฟางก็มักส่งคนไปสืบถามสถานการณ์ที่นั่นเป็นระยะ บางครั้งก็ให้คนไปเดินแก่วแถวประตูข้างจวนอ๋อง ประการแรก เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับลูกสาว รักษาความใกล้ชิดระหว่างแม่กับลูกไว้ ประการที่สอง ดีไม่ดีอาจได้ของเล็กๆ น้อยๆ ติดมือกลับมา เรื่องนี้ทำไมอวิ๋นเสวียนฉั่งจะไม่รู้เล่า เพียงแต่ตอนแรก เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ตอนนี้กลับต้องรู้ต้องเห็นแล้ว
พออนุฟางได้ยิน ก็ขานรับอย่างหวาดกลัว ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลอวิ๋นต่างก็ทยอยกันขานรับ สัญญาว่าจะไม่พูดมากเป็นอันขาด ทว่าปากแม้ไม่พูด ทุกคนก็รู้ว่า ต้องรักษาระยะห่างกับเว่ยอ๋องไว้ เพื่อแสดงให้ราชสำนักเห็นจุดยืนก่อน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเว่ยอ๋องในภายหลัง จะได้มีข้อแก้ตัว