ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่170.1แกะปูป้อนภรรยากับการต้อนรับอย่างเอิกเริก(1)
ใครก็ไม่ใช่ กลับเป็นแม่นางชิ่งเอ๋อร์! ท่านอ๋องชอบแบบนี้หรือ การมาแอบอาบน้ำกลางดึกลับๆ ล่อๆ แบบนี้ง่ายหรืออย่างไรกัน ใครจะรู้ว่ามีสาวใช้มาดักรออยู่หน้าประตู อวิ๋นหว่านชิ่นไม่รู้จะทำอย่างไรไปครู่หนึ่ง แย่แล้ว ต้องอธิบาย หากเรื่องแพร่งพรายออกไป แล้วรู้ตัวตนของนางนั้นจะแย่เอาได้ ก่อนจะโบกมือ “พวกเจ้ากำลังคิดอะไร…” สาวใช้ทั้งสามจะเชื่อได้อย่างไร รอยยิ้มบนใบหน้าแฝงความนัยอันลึกซึ้ง และในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าวิ่งรุดเข้ามาพร้อมกับเสียง “แม่นางชิ่งเอ๋อร์เดินเร็วเพียงนี้เชียว รอข้าด้วยสิ” ทุกคนหันไป เห็นเพียงหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่น่าจะออกมาจากเรือนด้วยเช่นกัน หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นทั้งสามคน ก็สงสัย “ดึกดื่นเพียงนี้เหตุใดถึงมารวมตัวกันได้” สาวใช้คนหนึ่งงง “เจ้าก็อยู่ในนั้นด้วยหรือ” “อืม ข้าไปดูแลท่านอ๋องอาบน้ำก่อนนอน แม่นางชิ่งเอ๋อร์ไม่ทันระวัง ทำอ่างคว่ำ จึงทำให้เสื้อผ้าเปียกไปหมด ข้าเพิ่งกลับไปเอาเสื้อผ้าให้นาง นี่เพิ่งจะดูแลเสร็จ เตรียมตัวจะกลับไปพร้อมกัน แม่นางชิ่งเอ๋อร์เดินเร็วขนาดนี้ ข้าตามไม่ทันแล้ว” หลี่ว์ชีเอ๋อร์เอ่ย ความสงสัยในใจของสาวใช้ทั้งสามคนคลี่คลายลง จึงส่ายหัวแล้วแยกย้ายออกไป อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งใจ หันกลับไปมองหลี่ว์ชีเอ๋อร์ “ขอบคุณที่ช่วยข้าแก้ไขความเข้าใจผิด” หลี่ว์ชีเอ๋อร์ก้มหน้า เอ่ยเบาๆ “ข้ากลับห้องไปแล้ว เห็นตอนแรกแม่นางชิ่งเอ๋อร์บอกว่าให้เรียกเจ้าไปห้องอาบน้ำ แต่ไม่เห็นแม่นาง คิดว่าท่านอ๋องคงเรียกเจ้าให้ไปปรนนิบัติ จึงอยากจะมาบอกท่าน คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคนพวกที่ปากยื่นปากยาวกำลังซุบซิบกันอยู่ บังเอิญเท่านั้นล่ะ” เอ่ยไป ก็คำนับไป ไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนจะหันตัวจากไปก่อน วันต่อมายังคงเป็นวันขนเสบียง ทุกคนพากันออกไปตั้งแต่ได้รับสัญญาณจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์แล้ว เมื่อเวลาใกล้เที่ยง อวิ๋นหว่านชิ่นกับป้าอู๋ไปที่ศาลาว่าการจวนข้าหลวงสวีด้วยกัน ของที่จัดเมื่อวานวางไว้บนโต๊ะยาวที่ศาลาว่าการ ขุนนางทหารเฝ้าอยู่ทุกทิศ ต้องรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประสบภัยถูกปล้นหรือมีคนปลอมแปลงเข้ามา ยังคงเป็นสภาพเช่นหลายวันก่อน ผู้ประสบภัยต่อแถวเป็นแนวยาวกันหลายแถว สาวใช้ภายในค่ายบัญชาการแจกจ่ายตามรายชื่อของผู้ประสบภัยเป็นรายบุคคล เนื่องจากมีเสบียงบรรเทาทุกข์ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งของเว่ยอ๋อง การแจกจ่ายในวันนี้ถือว่าสบายขึ้นมาก ไม่ต้องวุ่นวายเหมือนก่อนที่หมั่นโถวหนึ่งลูกต้องแบ่งออกเป็นสองซีก โดยเฉลี่ยทุกครอบครัวจะได้รับข้าวสารห้าชั่ง แป้งห้าชั่ง และอาหารสุกที่ห้องครัวของทางการทำเสร็จแล้ว เป็นอาหารแห้งอย่างเช่นวอวอโถว แป้งม้วน หรือซาลาเปา เรื่องการเตรียมงานสำหรับการข้ามผ่านฤดูหนาวก็เต็มที่ขึ้นเยอะ สามารถแจกชุดเครื่องนอนผ้าฝ้ายและเสื้อคลุมกันหนาวบุขนผ้าฝ้ายให้ครอบครัวละสองคน และขุนนางทหารเริ่มทยอยซ่อมแซมบ้านเรือนของผู้ประสบภัยแล้ว ชาวบ้านผู้ประสบภัยรับอาหารพลางกล่าวขอบคุณ ความแค้นที่มีต่อราชสำนักได้มลายหายไปในอากาศตั้งนานแล้ว และพากันขอบคุณไม่ขาด มีคนชรา ผู้หญิงและเด็กมารับของ กระทั่งยังมีคนจูงลูกชายลูกสาวมาคุกเข่ากราบไหว้ ปากพึมพำ “ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี ฉินอ๋องทรงพระเจริญพันปี!” ชาวบ้านต้องการเพียงแค่กินอิ่มนอนอุ่น ผ่านแต่ละวันไปอย่างราบรื่นเท่านั้น มีผมอยู่ดีๆ ใครอยากเป็นคนหัวโล้นกัน ชายหนุ่มองอาจอย่างหลี่ว์ปา หากไม่จนตรอก จะเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เสียดายก็แต่ในราชสำนักมีมอดอยู่ตลอด ถ้าคราวนี้หากไม่ใช่เพราะเว่ยอ๋องก็ไม่ยอมแจกเสบียง เกรงว่าก็คงไม่เกิดความวุ่นวายนี้ขึ้น คนมากมายก็ไม่เสียชีวิตอย่างไรสาเหตุ อวิ๋นหว่านชิ่นคิด เดินออกไปกับหลี่ว์ชีเอ๋อร์และสาวใช้สองสามคน ประคองผู้หญิงสองสามคนที่อุ้มเด็กมา ผู้หญิงหนึ่งในนั้นถูกสาวใช้ประคอง เงยหน้าขึ้นมอง ส่งเสียงเอะใจ “นี่น้องเล็กแห่งตระกูลหลี่ว์ไม่ใช่หรือ” ผู้หญิงสองคนหันไปมองตามเสียง สายตาตกอยู่ที่ร่างของหลี่ว์ชีเอ๋อร์ ก่อนซุบซิบกัน “นั่นน่ะสิ น้องสาวของหลี่ว์ปานี่นา ที่เรียกทหารมาจับพี่ชายตัวเองน่ะ” “แหมๆ ต้องโทษมือโทษเท้าของหลี่ว์ปาที่เลี้ยงนางมาไม่ได้แย่ไปกว่าพ่อแม่ ทว่าเลี้ยงออกมาเป็นคนอกตัญญู” “คนอกตัญญูอะไร คนอกตัญญูแค่ลืมบุคุณคน แต่นางน่ะ ทำให้พี่ชายตนเองต้องตาย” “นั่นน่ะสิ หากเป็นข้าคงทำไม่ได้หรอก แม้หลี่ว์ปาจะผิด แต่คงไม่ถึงกับต้องให้น้องสาวอย่างนางมาจัดการเองกับมือนี่” ความรู้สึกของการถูกคนอื่นด่าลับหลังนั้นแย่มาก หลี่ว์ชีเอ๋อร์ชักมือกลับ ถอยหลังเดินเข้าไปด้านหลังโต๊ะ แจกจ่ายของต่อไป ใบหน้าแน่นิ่ง นอกจากซีดเผือดแล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรอีกเลย ผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนจะเป็นคนดุดันที่มีชื่อเสียงในเมือง เดินไปข้างหน้าสองก้าว ถ่มน้ำลายใส่หน้าหลี่ว์ชีเอ๋อร์ จนทำให้เหล่าสาวใช้ส่งเสียงตกใจกันโดยพลัน หลี่ว์ชีเอ๋อร์ผงะ ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าให้สะอาด ไม่ได้ตอบโต้กลับไปแล้วก็ไม่ร้องไห้ด้วย ราวกับความผิดหวังนั้นมีมากกว่าความตายด้านในใจ ยังคงก้มหน้าทำงานที่มีอยู่ในมือต่อ อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหตุการณ์ จึงเข้าไปเอ่ย “ช่างเถอะ เจ้ากลับไปค่ายบัญชาการก่อน ข้าจะบอกกับป้าอู๋เอง” ยามนั้นน้ำตาหลี่ว์ชีเอ๋อร์ถึงได้ร่วงหล่น “ก็ได้ ขอบคุณแม่นางชิ่งเอ๋อร์มาก” พูดไปพลางเดินออกจากฝูงชนไปพลาง ก่อนจะรีบวิ่งไปทางค่ายบัญชาการ แผ่นหลังแผ่ความเหงาและความหนาวเหน็บ หน้าประตูศาลาว่าการ พอหลี่ว์ชีเอ๋อร์เดินเข้าไปก็เริ่มจัดระเบียบอีกครั้ง แจกจ่ายและรับเสบียงต่อไป เพียงชั่วพริบตา ก็เลยเที่ยงตรงไปแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นเช็ดเหงื่อ ซือเหยาอันเดินเข้ามากระซิบเตือนเหมือนกับวันก่อนๆ “พักได้แล้ว” อวิ๋นหว่านชิ่นห้ามให้เขาบ่นไม่ได้ ตอนที่กำลังไปดื่มน้ำที่ศาลาว่าการ มีบ่าวของค่ายบัญชาการสองสามคนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ก่อนจะพูดกับป้าอู๋ “แย่แล้ว หลี่ว์ชีเอ๋อร์คนนั้น กลับไปผูกคอยตายแล้ว!” อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ วางงานเย็บปักถักร้อยในมือ แล้วกลับค่ายบัญชาการกับป้าอู๋และสาวใช้อีกสองสามคน ซือเหยาอันเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินออกไป ก็ตามไปด้านหลัง เมื่อเข้ามาในเซียงฝาง หลี่ว์ชีเอ๋อร์นอนตัวตรงอยู่บนเตียงเตา ทั้งสองตาหลับสนิท ใบหน้าอมม่วง บนคอมีรอยเชือก บนพื้นยังมีเก้าอี้ที่ถูกเตะออกและเชือกม้วนหนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นยื่นมืออกไปลองคลำหาลมหายใจของนาง แม้จะน้อยนิด ทว่ายังมีอยู่ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไปริมฝีปากบนที่ติดกับจมูกของนาง หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตื่นขึ้น เห็นผู้คนล้อมรอบตัวนาง ดวงตาแดงบวม พลางสะอึกสะอื้นขึ้น ก่อนจะมองอวิ๋นหว่านชิ่น “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ หรือว่าคนเราทำผิดครั้งหนึ่งจะไม่มีโอกาสเริ่มใหม่อีกแล้วหรือ……” อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเหมือนถูกบางสิ่งตีเข้ากลางอก ตนเองมีโอกาสได้เกิดใหม่ ถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสเช่นนี้ ตั้งแต่เกิดใหม่ เป้าหมายของนางก็มีเพียงทำให้ชีวิตของตนเองและน้องชายดีขึ้น ทำให้คนที่ดีกับตนมีอนาคตที่ดีในชาตินี้ อย่างน้อยดูแลตัวเองให้ดีก็พอ หากไม่ใช่หลี่ว์ปา ชีวิตของนางในชาตินี้ เกรงว่าจะทำเรื่องพวกนี้ไม่ทันแล้ว ก่อนหลี่ว์ปาตายมีเพียงคำสั่งเสียเดียว และนางจะทำเหมือนนั่นเป็นเพียงลมปากไม่ได้ นางเกิดมาไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร ก็เหมือนกับไม่อาจให้คนอื่นมาเหยียบย่ำตนได้ อวิ๋นหว่านชิ่นมองหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่ลมหายใจรวยริน “เจ้าอยากเริ่มต้นใหม่จริงๆ หรือ” รู้ว่าเป็นคำคำถามที่ไม่ต้องคอยคำตอบ สองสามวันนี้ที่นางคอยช่วยเหลือ ก็เพื่ออยากจะหาทางออกไม่ใช่หรือไม่สนว่านางจะทำเพื่อเปลี่ยนชีวิต หรือว่าจะขอที่พึ่งกับตระกูลเศรษฐี
ใครก็ไม่ใช่ กลับเป็นแม่นางชิ่งเอ๋อร์! ท่านอ๋องชอบแบบนี้หรือ
การมาแอบอาบน้ำกลางดึกลับๆ ล่อๆ แบบนี้ง่ายหรืออย่างไรกัน ใครจะรู้ว่ามีสาวใช้มาดักรออยู่หน้าประตู
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่รู้จะทำอย่างไรไปครู่หนึ่ง แย่แล้ว ต้องอธิบาย หากเรื่องแพร่งพรายออกไป แล้วรู้ตัวตนของนางนั้นจะแย่เอาได้ ก่อนจะโบกมือ “พวกเจ้ากำลังคิดอะไร…”
สาวใช้ทั้งสามจะเชื่อได้อย่างไร รอยยิ้มบนใบหน้าแฝงความนัยอันลึกซึ้ง
และในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าวิ่งรุดเข้ามาพร้อมกับเสียง “แม่นางชิ่งเอ๋อร์เดินเร็วเพียงนี้เชียว รอข้าด้วยสิ”
ทุกคนหันไป เห็นเพียงหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่น่าจะออกมาจากเรือนด้วยเช่นกัน
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นทั้งสามคน ก็สงสัย “ดึกดื่นเพียงนี้เหตุใดถึงมารวมตัวกันได้”
สาวใช้คนหนึ่งงง “เจ้าก็อยู่ในนั้นด้วยหรือ”
“อืม ข้าไปดูแลท่านอ๋องอาบน้ำก่อนนอน แม่นางชิ่งเอ๋อร์ไม่ทันระวัง ทำอ่างคว่ำ จึงทำให้เสื้อผ้าเปียกไปหมด ข้าเพิ่งกลับไปเอาเสื้อผ้าให้นาง นี่เพิ่งจะดูแลเสร็จ เตรียมตัวจะกลับไปพร้อมกัน แม่นางชิ่งเอ๋อร์เดินเร็วขนาดนี้ ข้าตามไม่ทันแล้ว” หลี่ว์ชีเอ๋อร์เอ่ย
ความสงสัยในใจของสาวใช้ทั้งสามคนคลี่คลายลง จึงส่ายหัวแล้วแยกย้ายออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งใจ หันกลับไปมองหลี่ว์ชีเอ๋อร์ “ขอบคุณที่ช่วยข้าแก้ไขความเข้าใจผิด”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ก้มหน้า เอ่ยเบาๆ “ข้ากลับห้องไปแล้ว เห็นตอนแรกแม่นางชิ่งเอ๋อร์บอกว่าให้เรียกเจ้าไปห้องอาบน้ำ แต่ไม่เห็นแม่นาง คิดว่าท่านอ๋องคงเรียกเจ้าให้ไปปรนนิบัติ จึงอยากจะมาบอกท่าน คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคนพวกที่ปากยื่นปากยาวกำลังซุบซิบกันอยู่ บังเอิญเท่านั้นล่ะ” เอ่ยไป ก็คำนับไป ไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนจะหันตัวจากไปก่อน
วันต่อมายังคงเป็นวันขนเสบียง ทุกคนพากันออกไปตั้งแต่ได้รับสัญญาณจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์แล้ว เมื่อเวลาใกล้เที่ยง อวิ๋นหว่านชิ่นกับป้าอู๋ไปที่ศาลาว่าการจวนข้าหลวงสวีด้วยกัน
ของที่จัดเมื่อวานวางไว้บนโต๊ะยาวที่ศาลาว่าการ ขุนนางทหารเฝ้าอยู่ทุกทิศ ต้องรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประสบภัยถูกปล้นหรือมีคนปลอมแปลงเข้ามา
ยังคงเป็นสภาพเช่นหลายวันก่อน ผู้ประสบภัยต่อแถวเป็นแนวยาวกันหลายแถว สาวใช้ภายในค่ายบัญชาการแจกจ่ายตามรายชื่อของผู้ประสบภัยเป็นรายบุคคล
เนื่องจากมีเสบียงบรรเทาทุกข์ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งของเว่ยอ๋อง การแจกจ่ายในวันนี้ถือว่าสบายขึ้นมาก ไม่ต้องวุ่นวายเหมือนก่อนที่หมั่นโถวหนึ่งลูกต้องแบ่งออกเป็นสองซีก
โดยเฉลี่ยทุกครอบครัวจะได้รับข้าวสารห้าชั่ง แป้งห้าชั่ง และอาหารสุกที่ห้องครัวของทางการทำเสร็จแล้ว เป็นอาหารแห้งอย่างเช่นวอวอโถว แป้งม้วน หรือซาลาเปา
เรื่องการเตรียมงานสำหรับการข้ามผ่านฤดูหนาวก็เต็มที่ขึ้นเยอะ สามารถแจกชุดเครื่องนอนผ้าฝ้ายและเสื้อคลุมกันหนาวบุขนผ้าฝ้ายให้ครอบครัวละสองคน
และขุนนางทหารเริ่มทยอยซ่อมแซมบ้านเรือนของผู้ประสบภัยแล้ว
ชาวบ้านผู้ประสบภัยรับอาหารพลางกล่าวขอบคุณ ความแค้นที่มีต่อราชสำนักได้มลายหายไปในอากาศตั้งนานแล้ว และพากันขอบคุณไม่ขาด
มีคนชรา ผู้หญิงและเด็กมารับของ กระทั่งยังมีคนจูงลูกชายลูกสาวมาคุกเข่ากราบไหว้ ปากพึมพำ “ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี ฉินอ๋องทรงพระเจริญพันปี!” ชาวบ้านต้องการเพียงแค่กินอิ่มนอนอุ่น ผ่านแต่ละวันไปอย่างราบรื่นเท่านั้น มีผมอยู่ดีๆ ใครอยากเป็นคนหัวโล้นกัน ชายหนุ่มองอาจอย่างหลี่ว์ปา หากไม่จนตรอก จะเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เสียดายก็แต่ในราชสำนักมีมอดอยู่ตลอด ถ้าคราวนี้หากไม่ใช่เพราะเว่ยอ๋องก็ไม่ยอมแจกเสบียง เกรงว่าก็คงไม่เกิดความวุ่นวายนี้ขึ้น คนมากมายก็ไม่เสียชีวิตอย่างไรสาเหตุ
อวิ๋นหว่านชิ่นคิด เดินออกไปกับหลี่ว์ชีเอ๋อร์และสาวใช้สองสามคน ประคองผู้หญิงสองสามคนที่อุ้มเด็กมา
ผู้หญิงหนึ่งในนั้นถูกสาวใช้ประคอง เงยหน้าขึ้นมอง ส่งเสียงเอะใจ “นี่น้องเล็กแห่งตระกูลหลี่ว์ไม่ใช่หรือ”
ผู้หญิงสองคนหันไปมองตามเสียง สายตาตกอยู่ที่ร่างของหลี่ว์ชีเอ๋อร์ ก่อนซุบซิบกัน “นั่นน่ะสิ น้องสาวของหลี่ว์ปานี่นา ที่เรียกทหารมาจับพี่ชายตัวเองน่ะ”
“แหมๆ ต้องโทษมือโทษเท้าของหลี่ว์ปาที่เลี้ยงนางมาไม่ได้แย่ไปกว่าพ่อแม่ ทว่าเลี้ยงออกมาเป็นคนอกตัญญู”
“คนอกตัญญูอะไร คนอกตัญญูแค่ลืมบุคุณคน แต่นางน่ะ ทำให้พี่ชายตนเองต้องตาย”
“นั่นน่ะสิ หากเป็นข้าคงทำไม่ได้หรอก แม้หลี่ว์ปาจะผิด แต่คงไม่ถึงกับต้องให้น้องสาวอย่างนางมาจัดการเองกับมือนี่”
ความรู้สึกของการถูกคนอื่นด่าลับหลังนั้นแย่มาก หลี่ว์ชีเอ๋อร์ชักมือกลับ ถอยหลังเดินเข้าไปด้านหลังโต๊ะ แจกจ่ายของต่อไป ใบหน้าแน่นิ่ง นอกจากซีดเผือดแล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรอีกเลย
ผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนจะเป็นคนดุดันที่มีชื่อเสียงในเมือง เดินไปข้างหน้าสองก้าว ถ่มน้ำลายใส่หน้าหลี่ว์ชีเอ๋อร์ จนทำให้เหล่าสาวใช้ส่งเสียงตกใจกันโดยพลัน
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ผงะ ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าให้สะอาด ไม่ได้ตอบโต้กลับไปแล้วก็ไม่ร้องไห้ด้วย ราวกับความผิดหวังนั้นมีมากกว่าความตายด้านในใจ ยังคงก้มหน้าทำงานที่มีอยู่ในมือต่อ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหตุการณ์ จึงเข้าไปเอ่ย “ช่างเถอะ เจ้ากลับไปค่ายบัญชาการก่อน ข้าจะบอกกับป้าอู๋เอง”
ยามนั้นน้ำตาหลี่ว์ชีเอ๋อร์ถึงได้ร่วงหล่น “ก็ได้ ขอบคุณแม่นางชิ่งเอ๋อร์มาก” พูดไปพลางเดินออกจากฝูงชนไปพลาง ก่อนจะรีบวิ่งไปทางค่ายบัญชาการ
แผ่นหลังแผ่ความเหงาและความหนาวเหน็บ
หน้าประตูศาลาว่าการ พอหลี่ว์ชีเอ๋อร์เดินเข้าไปก็เริ่มจัดระเบียบอีกครั้ง แจกจ่ายและรับเสบียงต่อไป
เพียงชั่วพริบตา ก็เลยเที่ยงตรงไปแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเช็ดเหงื่อ ซือเหยาอันเดินเข้ามากระซิบเตือนเหมือนกับวันก่อนๆ “พักได้แล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นห้ามให้เขาบ่นไม่ได้ ตอนที่กำลังไปดื่มน้ำที่ศาลาว่าการ มีบ่าวของค่ายบัญชาการสองสามคนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ก่อนจะพูดกับป้าอู๋ “แย่แล้ว หลี่ว์ชีเอ๋อร์คนนั้น กลับไปผูกคอยตายแล้ว!”
อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ วางงานเย็บปักถักร้อยในมือ แล้วกลับค่ายบัญชาการกับป้าอู๋และสาวใช้อีกสองสามคน
ซือเหยาอันเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินออกไป ก็ตามไปด้านหลัง
เมื่อเข้ามาในเซียงฝาง หลี่ว์ชีเอ๋อร์นอนตัวตรงอยู่บนเตียงเตา ทั้งสองตาหลับสนิท ใบหน้าอมม่วง บนคอมีรอยเชือก บนพื้นยังมีเก้าอี้ที่ถูกเตะออกและเชือกม้วนหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นยื่นมืออกไปลองคลำหาลมหายใจของนาง แม้จะน้อยนิด ทว่ายังมีอยู่ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไปริมฝีปากบนที่ติดกับจมูกของนาง
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตื่นขึ้น เห็นผู้คนล้อมรอบตัวนาง ดวงตาแดงบวม พลางสะอึกสะอื้นขึ้น ก่อนจะมองอวิ๋นหว่านชิ่น “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ หรือว่าคนเราทำผิดครั้งหนึ่งจะไม่มีโอกาสเริ่มใหม่อีกแล้วหรือ……”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเหมือนถูกบางสิ่งตีเข้ากลางอก
ตนเองมีโอกาสได้เกิดใหม่ ถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสเช่นนี้
ตั้งแต่เกิดใหม่ เป้าหมายของนางก็มีเพียงทำให้ชีวิตของตนเองและน้องชายดีขึ้น ทำให้คนที่ดีกับตนมีอนาคตที่ดีในชาตินี้ อย่างน้อยดูแลตัวเองให้ดีก็พอ หากไม่ใช่หลี่ว์ปา ชีวิตของนางในชาตินี้ เกรงว่าจะทำเรื่องพวกนี้ไม่ทันแล้ว
ก่อนหลี่ว์ปาตายมีเพียงคำสั่งเสียเดียว และนางจะทำเหมือนนั่นเป็นเพียงลมปากไม่ได้
นางเกิดมาไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร ก็เหมือนกับไม่อาจให้คนอื่นมาเหยียบย่ำตนได้
อวิ๋นหว่านชิ่นมองหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่ลมหายใจรวยริน “เจ้าอยากเริ่มต้นใหม่จริงๆ หรือ” รู้ว่าเป็นคำคำถามที่ไม่ต้องคอยคำตอบ สองสามวันนี้ที่นางคอยช่วยเหลือ ก็เพื่ออยากจะหาทางออกไม่ใช่หรือไม่สนว่านางจะทำเพื่อเปลี่ยนชีวิต หรือว่าจะขอที่พึ่งกับตระกูลเศรษฐี