ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่174.2มเหสีรองตาบอด(2)
ขุนนางเมืองหลวงหากไม่มีคำสั่งของโอรสสวรรค์ จะออกจากเมืองโดยพลการไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการติดต่อโดยส่วนตัวกับขุนนางท้องถิ่น โดยเฉพาะขุนนางที่มีอำนาจอย่างเหวยเซ่าฮุย
แต่ในเวลานั้น เป็นเวลาที่รุ่งเรืองและเป็นที่เอ็นดูรักใคร่ของมเหสีรองเหวยพอดี หนิงซีฮ่องเต้ตามใจนางทุกอย่าง กลัวว่ามเหสีรองจะไม่ปลื้มปิติ จึงอนุญาตให้เหวยเซ่าฮุยออกเมืองหลวงไปหาม้าบรรณาการให้กับมเหสีรอง
บนฎีกาฉบับนั้น บันทึกไว้อย่างละเอียด ม้าป่าที่เหวยเซ่าฮุยออกจากเมืองหลวงไปตามหามานั้น ส่วนใหญ่มาจากเมืองเยี่ยนหยางเขตฉังชวน
เขตฉังชวนนอกจากจะธรรมเนียมป่าเถื่อน พริกเผ็ดร้อน ม้าในพื้นที่นั้นก็ดิบเถื่อนเป็นที่สุดเช่นกัน
เนื่องจากเป็นพันธุ์ผสมของม้าท้องถิ่นเมืองเยี่ยนหยางสองชนิด ม้าชนิดนี้ มีเพียงเมืองเยี่ยนหยางเท่านั้นที่มี นับเป็นของขึ้นชื่อของพื้นที่นั้น ที่อื่นไม่มีม้าพันธุ์นี้
ม้าเยี่ยนหยางชนิดนี้ในบรรดาม้าทั้งหลายนับเป็นม้าที่มีความป่าเถื่อนอันดับต้นๆ ก่อนที่จะถูกฝึกให้เชื่องนั้น อาจจะถีบผู้ฝึกม้าจนตายได้ แต่เมื่อเชื่องแล้ว ก็จะจงรักภักดีอย่างยิ่ง ได้ยินว่ามีความฉลาดเหมือนดังสุนัขเลี้ยง รับใช้เพียงนายผู้เดียวไปตลอดชีวิตแล้ว ตรงจุดประสงค์ของมเหสีรองเหวยที่รักการฝึกม้าเป็นที่สุด
เพื่อจะประจบมเหสีรองแล้ว เหวยเซ่าฮุยก็ตั้งใจไปหาม้าพันธุ์นี้มา แต่เนื่องจากม้าพันธุ์นี้ดุร้ายยิ่งนัก กลัวว่ามเหสีรองจะได้รับบาดเจ็บ จึงเลือกลูกม้าที่นิสัยอ่อนโยนลงมาเล็กน้อยให้
ลูกม้าที่ส่งเข้าวังตัวแรกนั้น คาดว่าคงจะเดินทางจากเมืองอื่นมายังเมืองหลวงแล้วปรับตัวไม่ได้จึงตายไป
เหวยเซ่าฮุยจึงไปเยี่ยนหยางเพื่อขนม้ากลับเมืองหลวงมาอีกหลายตัว แต่ไม่คิดว่า ลูกม้าทนกับสภาพแวดล้อมไม่ไหว จึงตายไปเช่นกัน
ทุกครั้งที่ลูกม้าเลี้ยงไม่รอดนั้น เหวยเซ่าฮุยก็จะไปเมืองเยี่ยนหยางครั้งหนึ่ง จนกระทั่งมเหสีรองเหวยเบื่อแล้วล้มเลิกไป
ม้าป่าเมืองเยี่ยนหยางนั้น เหมือนกับม้าที่ใช้เป็นประจำของโจรป่าเขาหม่าโถวที่ถูกฉินอ๋องล้มล้างนั้นทุกประการ
มเหสีรองเหวยอ่านแล้วชะงักไป แต่ก็ยังรั้นอยู่ “แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าพี่ชายของหม่อมฉันมีการไปมาหาสู่กับโจรป่านี่เพคะ…”
หนิงซีฮ่องเต้รู้อยู่แล้วว่านางจะต้องถกเถียงไม่เลิกรา ความเยือกเย็นในแววตานั้นเพิ่มทวีถึงขีดสุด “ม้าเยี่ยนหยางชนิดนี้ถูกเลี้ยงตามธรรมชาติ นิสัยป่าเถื่อน ทำร้ายคน จะฝึกให้เชื่องนั้นยากนัก ข้าส่งคนรีบไปตรวจสอบที่เมืองเยี่ยนหยางแล้ว ทหารทางการเขตฉังชวนไม่ใช้ม้าชนิดนี้ แม้มีชาวบ้านที่เลี้ยงม้าชนิดนี้ไว้ ก็จะใช้โอกาสที่ม้าประเภทนี้แก่ตัวลง ไร้นิสัยดุร้าย ไม่ทำร้ายคนแล้ว จึงซื้อมาในราคาถูกเพื่อมาใช้ลากรถ หากจะหาลูกม้าอายุน้อยนั้น ก็จะต้องไปหาบนเขาหม่าโถว บนเขาหม่าโถวมีแต่โจรป่า หากพี่ชายเจ้าไม่รู้จักกับโจรป่าพวกนั้น และไม่มีความสัมพันธ์เลยแม้แต่น้อย จะหาลูกม้ามาถวายแก่เจ้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่าหรือ”
มเหสีรองเหวยพึมพำ “ไม่ ไม่หรอกเพคะ…อีกอย่าง อาศัยเพียงเหตุผลนี้ จะบอกว่าพี่ชายหม่อมฉันมีสัมพันธ์กับโจรป่าได้อย่างไรเพคะ”
ฎีกาอีกฉบับถูกโยนเข้าใส่อ้อมอกของนาง น้ำเสียงของชายหนุ่มเหมือนดั่งมีดที่มีน้ำแข็งเคลือบ “สวีเทียนขุยข้าหลวงเขตฉังชวนยอมรับแล้ว! ว่าพี่ชายเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่เบื้องบนของเขาและผู้ตรวจราชการเหลียงจริงๆ! หลายปีมานี้ ให้ท้ายซานอิงจนมีอำนาจบาตรใหญ่ ล้วนเป็นการให้ท้ายของพี่ชายเจ้าทั้งสิ้น! สวีเทียนขุยเคยไม่พอใจที่โจรป่ามารับส่วนแบ่งจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านกับทางการ เคยเสนอให้ทลายรังโจรป่าให้สิ้นซาก แต่กลับถูกพี่ชายเจ้าแอบขัดขวางไว้อย่างลับๆ อยู่หลายครั้ง ไม่ยอมอนุญาต! สวีเทียนขุยยังบอกอีกว่า ทุกครั้งที่พี่ชายเจ้ามาเมืองเยี่ยนหยางมักจะใช้ข้ออ้างในการหาม้า นำจดหมายออกไปที่ตะวันออกของเมืองทุกครั้งก่อนกลับ! สวีเทียนขุยแม้จะไม่กล้าถามอะไรมาก แต่ก็เกิดความสงสัยแต่แรก ตะวันออกของเมืองนั้นเงียบและเปลี่ยว และเขาหม่าโถวก็อยู่ที่นั่น! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า น่าจะไปพบกับราชาแห่งโจรป่านั่นเพื่อวางแผนการในวันนี้กระมัง! ตอนนี้ทั้งหลักฐานพยานต่างก็มีพร้อม เจ้ายังจะแก้ตัวอีกหรือ”
มเหสีรองตัวอ่อนล้มพับ แม้แต่ผู้ตรวจราชการเหลียงถูกสอบสวนและลงโทษในกรมยุติธรรมเช่นนั้นยังไม่ยอมพูดอะไร ตระกูลเหวย กลับตายเพราะปากของข้าหลวงเล็กๆ อย่างสวีเทียนขุย! สวีเทียนขุยเหตุใดจู่ๆ จึงเปิดโปงพี่ชายได้!
“เป็นไปไม่ได้! หม่อมฉันไม่เชื่อ…หลักฐานนี้ ใครเป็นคนรายงานเพคะ เป็นคนที่เชื่อได้หรือไม่ ฝ่าบาทอย่าตกหลุมพรางของคนชั่วนะเพคะ! อีกอย่าง สวีเทียนขุยอาจจะถูกลงโทษจนยอมรับจึงได้ใส่ร้ายพี่ชายก็ได้…ฝ่าบาทเพคะ ต้องตรวจสอบให้ละเอียดนะเพคะ!”
หนิงซีฮ่องเต้เห็นว่าจนตอนนี้แล้วนางยังยืนกรานเสียงแข็ง ก็รู้สึกว่าเส้นเลือดโป่ง ขมับกระตุก จึงทำสีหน้าคร่ำเครียด “เจ้าวางใจได้! คนที่ให้หลักฐานกับข้ามา เป็นคนมีคุณธรรม ตั้งแต่เข้าวังมา ไม่เคยแก่งแย่งชิงดีกับใคร ไม่เคยพร่ำบ่นแม้แต่คำเดียว มีแต่เจ้ากดหัวนาง แต่นางไม่เคยรังแกใคร! ส่วนสวีเทียนขุย ข้าไม่ได้ลงโทษเขาแม้แต่น้อย เขารายงานมายังเมืองหลวงด้วยตนเองต่างหาก!”
เมื่อได้ยินคำว่า “ตั้งแต่เข้าวังมา” แล้ว มเหสีรองเหวยก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เป็นคนในวังหรือ
“ใคร! ใครกล้าใส่ร้ายตระกูลเหวย!” นางกำมือแน่น ความโมโหปะทุขึ้นมา แทบจะฉีกคนผู้นั้นเป็นชิ้นๆ
หนิงซีฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร กลับเห็นเงาคนเดินออกมาจากหลังม่านตรงเสาด้านซ้ายนั้นมาคำนับฮ่องเต้ แล้วหันหน้าไปทางมเหสีรองเหวย
สนมเอกเฮ่อเหลียน
มเหสีรองเหวยเข้าใจทั้งหมดในทันที เป็นนาง ไม่คิดว่าจะเป็นสนมเอกเฮ่อเหลียน!
นางสงสัยอยู่แล้วว่า เรื่องถวายม้าตั้งแต่ปางไหนไม่รู้นั้น แทบจะไม่มีใครจำได้แล้ว เหตุใดฝ่าบาทถึงได้พลิกฟื้นขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีก แล้วยังเกี่ยวข้องกับโจรป่าอีก
ไม่คิดว่าจะเป็นสนมเอกเฮ่อเหลียนที่แทงข้างหลังนาง!
ในวันหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน เหวยเซ่าฮุยส่งม้าเยี่ยนหยางเข้าวังมา มเหสีรองเหวยก็ไปสนามม้าข้างสวนหลวงอย่างทุกครั้ง นางฝึกม้าอยู่สักพักใหญ่ ไม่คิดว่าม้าเยี่ยนหยางจะป่าเถื่อนดังว่าจริง แม้แต่เข้าไปลูบใกล้ๆ ยังไม่ได้ ขณะที่กำลังร้อนรนอยู่นั้น ก็บังเอิญเห็นสนมเอกเฮ่อเหลียนเดินเล่นอยู่ในสวนหลวงพอดี จึงให้คนไปเชิญนางมา บอกว่านางเติบโตท่ามกลางทุ่งหญ้าทางเหนือ จะต้องคุ้นเคยกับนิสัยของม้าเป็นแน่ จึงให้นางมาลองฝึกดู
สนมเอกเฮ่อเหลียนรับปากตกลง นางเพิ่งจะขึ้นอานม้า มเหสีรองเหวยก็จงใจให้คนไปทำให้ลูกม้าตัวนั้นตกใจ
ลูกม้าตัวนั้นคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันใด จนทำให้สนมเอกเฮ่อเหลียนตกลงมา มเหสีรองเหวยและเหล่านางในก็หัวเราะกันขึ้นมา
สนมเอกเฮ่อเหลียนยังคงไม่พูดไม่จาเหมือนเมื่อก่อน นางลุกขึ้นมา เห็นว่าตนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ก็ฝึกม้าต่อ เพียงไม่นาน ลูกม้าตัวนั้นก็สงบลงไม่น้อย ภายใต้การบังคับของสนมเอกเฮ่อเหลียนนั้น ลูกม้าก็เดินไปอย่างเชื่อฟัง
มเหสีรองเหวยเห็นว่านางมีทักษะฝึกม้าอยู่บ้าง ก็พึมพำด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นคนเถื่อนจากทางเหนือจริงๆ สนิทสนมกับสัตว์ป่าในเวลาชั่วครู่ได้!” ทุกคนต่างก็หัวเราะตามเพื่อประจบเอาใจมเหสีรอง
เมื่อหัวเราะเสร็จ มเหสีรองเหวยก็ถามวิธีการฝึกม้าจากสนมเอกเฮ่อเหลียน
สนมเอกเฮ่อเหลียนบอกนิสัยม้าชนิดนี้จะต้องปลอบอย่างไร จะต้องกินดื่มอย่างไร เวลาพักผ่อนคือเมื่อไรให้กับมเหสีรองอย่างเคารพนบนอบ บอกอย่างละเอียดครบถ้วนทุกประการ
มเหสีรองเหวยเห็นว่านางรู้จักม้าดังคิด จึงตัดสินใจว่า ในเมื่อสนมเอกเฮ่อเหลียนฝึกม้าได้ เช่นนั้นก็ให้นางมาลองฝึกม้าป่าตัวนี้ ประการแรกเพื่อที่จะลบความป่าเถื่อนของม้าชนิดนี้ให้เร็วขึ้น ประการที่สองยังสามารถแสดงอำนาจในวังหลังได้อีก ว่าแม้แต่สนมเอกยังมาฝึกม้าให้ตน
ทุกคนต่างก็คิดว่าแม้สนมเอกจะอ่อนแอ แต่คงไม่ตกลงรับทำเรื่องที่เป็นการเหยียดหยามเช่นนี้ ไม่คิดว่า สนมเอกเฮ่อเหลียนลังเลไปสักครู่ สุดท้ายก็ตกลงรับทำด้วยความจำยอม
ตั้งแต่นั้นมา สนมเอกเฮ่อเหลียนจะมาฝึกม้าเป็นเพื่อนมเหสีรองที่สนามม้าทุกวัน ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเดือน ลูกม้าก็ตาย เหวยเซ่าฮุยก็ส่งม้าเข้ามาอีก สนมเอกเฮ่อเหลียนก็เริ่มฝึกม้าอีก หลังจากนั้น ม้าทนกับสภาพแวดล้อมในเมืองหลวงไม่ไหว ก็ตายอีก แล้วก็เปลี่ยนม้าตัวใหม่อีก ทุกครั้งจะให้สนมเอกเฮ่อเหลียนเป็นคนมาฝึกม้า
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มเหสีรองเหวยก็โมโหจนพูดไม่ออก ห้าปีก่อนที่ให้นางฝึกม้าเยี่ยนหยางนั้น ที่แท้นางจดจำไว้ขึ้นใจมาตลอด ไม่เคยลืมเลือน วันนี้กลายเป็นโอกาสอันดีของนาง ให้นางใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้นมาสาดสีให้กับตระกูลเหวย!