ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่190.2 รื้อบัญชีเจี่ยงฮองเฮา (2)
ไม่รอให้เหยาฝูโซ่วเข้ามา หลานเจ้าซวิ่นก็อุ้มลูกคุกเข่าลงหันหน้าไปทางเจี่ยงฮองเฮา “ขอฮองเฮาโปรดทรงไว้ชีวิตเราสองแม่ลูกด้วยเพคะ! หม่อมฉันและเซี่ยวเอ๋อร์ทราบดีว่าฐานะต้อยต่ำเพียงใด หวังเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตในวังหลวงนี้อย่างสงบสุข! ขอฮองเฮาอย่าข้องเกี่ยวกับเราสองแม่ลูกเลย เลือกคนอื่นแทนเถิดเพคะ!”
เมื่อประโยคนี้จบลง เหล่าผู้คนที่นั่งต่างสั่นสะท้านกันทั่ว ทุกคนต่างแยกย้ายด้วยความโกลาหลอื้ออึงราวกับคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถม คลื่นลูกหนึ่งทับกลืนอีกลูกไม่รู้จบ
ภายในตำหนัก ที่ที่เงียบสงบมีเพียงสอง คือไท่จื่อและฉินอ๋องที่นั่งอยู่ไม่ไกล
ซย่าโหวซื่อถิงยังคงเมามายให้เห็น แขนสองข้างพาดเอียงบนเก้าอี้ แววตากลับเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าหันเอียงไปทางไท่จื่อ
ไท่จื่อแอบสังเกตปฏิกิริยาของหลานเจาซวิ่นอย่างเงียบๆ อันที่จริงแล้วพระองค์สงสัยอยู่บ้างว่าเหตุใดหลานเจาซวิ่นจึงยอมมาที่นี่ ระยะนี้พระองค์ให้คนจับตาดูการติดต่อพูดคุยกันระหว่างเจี่ยงอวี๋กับหลานเจาซวิ่น ทราบมาว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรหลานเจาซวิ่นก็ปฏิเสธหัวชนฝา ขณะนั้นเองนางกำนัลคนสนิทที่เฝ้าอยู่ตงกงจับตาดูการกระทำของเจี่ยงอวี๋ตลอดเวลามาเข้าเฝ้า นางค้อมกายกราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้องเก็บของที่เรือนของพระสนมรองทั้งหมด
พระองค์พลันเบาใจ โอษฐ์เม้มแน่นสนิท รู้สึกสนุกขึ้นมา ที่แท้ก็เป็นชิ่นเอ๋อร์ พระองค์ตวัดสายตาไปยังนั่งที่ที่ว่างอยู่ฝั่งตรงข้าข้างๆ กับพระชายาจิ่งหยางอ๋อง
ท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าวในเวลาสั้นๆ เจี่ยงฮองเฮาพระพักตร์ซีดเผือด เหลือบมองเจี่ยงอวี๋คราหนึ่ง เริ่มคาดเดาเรื่องราวแล้วโมโหจนตัวสั่น “สตรีบ้าอย่างเจ้ามาพูดจาอันใด ทำลายชื่อเสียงของข้า ทำร้ายความรู้สึกของฝ่าบาทและไทเฮา ก่อความวุ่นวายในงานเลี้ยง ควรได้รับโทษ! ทหาร แยกนางกับพระนัดดาน้อย แล้วลากตัวนางไปไว้ที่คุกหลวง!”
หลานเจาซวิ่นกอดห่อผ้าเอาไว้ราวกับความกลัวที่นางถูกลากไปคุกหลวงจะส่งไปไม่ถึงฮองเฮาที่นั่งอยู่บนนั้น นางยังคงร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด “ขอฮองเฮาโปรดปล่อยเราสองแม่ลูกไป แล้วเลือกคนอื่นแทนด้วยเถิดเพคะ…”
หนิงซีฮ่องเต้พระทัยกระตุก หากหลานเจาซวิ่นมิใช่หมดหนทางจริงๆ จะเสี่ยงตายมาพูดเช่นนี้เพื่อการใด หากเจี่ยงฮองเฮามิได้ทำอันใดผิดจริง จากนิสัยของนางแล้วก็จะให้คนสกุลหลานนางนั้นอธิบายต่อหน้าฝูงชนให้ชัดแจ้ง เหตุใดจึงให้คนมาลากนางเข้าคุกหลวงเช่นนี้
ไตร่ตรองได้ดังนั้น พระพักตร์ก็พลันกระตุก แต่กลับไม่ทรงเอ่ยห้ามในสิ่งที่เจี่ยงฮองเฮาสั่ง
เจี่ยงฮองเฮาทราบดี ผู้คนล้วนมองออกว่าเกิดเรื่องขึ้น และฝ่าบาท…กำลังปกป้องตนอยู่ นี่เป็นสิ่งที่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อน
นางคิดว่าพระองค์ไม่ได้รู้สึกอันใดต่อกันตั้งนานแล้ว นอกจากการให้เกียรตินางต่อหน้าฝูงชนแล้ว บุรุษผู้นี้ไม่เคยมีความเมตตารักใคร่และเข้าข้างปกป้องนางเลยแม้แต่น้อย
แต่ได้เห็นการกระทำของพระองค์แล้ว กลับทำให้ใจนางเต้นขึ้นมาได้
องครักษ์หน้าตำหนักกระโจนเข้ามายังไม่ทันจะถึงตัว กลับมีเสียงทรงพลังและหนักแน่นของสตรีดังขึ้นมาจากบนหน้าบันไดหินขึ้นเสียก่อน “ช้าก่อน”
หนิงซีฮ่องเต้เห็นพระมารดาห้ามเอาไว้ก็ยากที่จะทำอันใดได้ จึงจำต้องฟังเจี่ยไทเฮาตรัสว่า “ฮองเฮาชื่อเสียงมากมาย มิอาจถูกสนมแค่เพียงผู้เดียวมาโวยวายแล้วจบสิ้นลงง่ายๆ วันนี้บรรดาพระญาติมากมายล้วนอยู่กันครบ หากไม่กล่าวให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ก็มิอาจทราบได้ว่าภายหน้าจะเอาไปกล่าวกันเป็นเรื่องใด”
หนิงซีฮ่องเต้กำลังจะตรัสก็ได้ยินเจี่ยงฮองเฮากล่าวว่า “เสด็จแม่กล่าวได้ถูกต้องเพคะ ก็ให้หลานเจาซวิ่นอธิบายเสีย” ริมฝีปากหยักขึ้น เมื่อครู่เห็นหลานเจาซวิ่นอุ้มลูกตามเจี่ยงอวี๋เข้าตำหนักมาก็โมโหจนเลอะเลือนไปชั่วขณะ ความจริงแล้วนี่ไม่มีอันใด ก็รอดูว่านางจะกล่าวอันใดออกมา แล้วชำเลืองมองไปยังเจี่ยงอวี๋ด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากคิดบัญชีย้อนหลัง
ต่อให้หลานเจาซวิ่นจะรู้จุดประสงค์ที่มีต่อพระนัดดาน้อยแล้วอย่างไร
กราบทูลฟ้องว่าที่นางดีต่อพระนัดดาน้อยก็เพราะอยากจะเอาพระนัดดาน้อยมาแทนที่ไท่จื่อ? นี่นับว่าเป็นโทษอะไรกัน!
ช่างน่าขันนัก!
เจี่ยงอวี๋ผู้นี้ ช่างไร้สมองจริงๆ อยากจะลอบกัดตนยังทำไม่ได้!
เดิมอยากจะละเว้นนางไว้ก่อน แม้นางจะโง่เขลาแต่ก็ยังนับว่าสัตย์ซื่ออยู่
แต่นี้ต่อไป จะรีบเปลี่ยนสุนัขลอบกัดตัวนี้ให้ไวที่สุด!
เจี่ยไทเฮาเห็นว่าฮองเฮาก็เห็นด้วยจึงตรัสกับหลานเจาซวิ่นว่า “แต่ไหนแต่ไรมาฮองเฮารักใคร่เอ็นดูเซี่ยวเอ๋อร์ พระนัดดาในโอรสมีมากมาย มีเพียงเซี่ยวเอ๋อร์ที่เป็นองค์น้อยที่สุดจึงได้ใส่ใจเป็นพิเศษ แทบทุกวันท่านย่าคนนี้เป็นได้ถึงเพียงนี้ คำพูดของเจ้าเหล่านี้ ช่างทำลายชื่อเสียงของฮองเฮายิ่งนัก กล่าวโทษฮองเฮาว่าทรงมีคุณธรรมจอมปลอม ปฏิบัติต่อเจ้าสองแม่ลูกอย่างโหดร้ายหรือ” ในเมื่อเกี่ยวโยงไปถึงผู้สืบทอดบัลลังก์เช่นนั้นก็จะทำให้คลุมเครือและพอกันแค่นี้มิได้
“ทูลองค์ไทเฮา” หลานเจาซวิ่นดูเหมือนจะได้ยินเสียงรองเท้าเหล็กขององครักษ์ถอยไปแล้ว จึงถอนหายใจ แต่น้ำตากลับยังคงไหลอาบใบหน้า มองดูลูกชายที่นางพึ่งจะให้นมไปคราหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าไม่ดีเพคะ แต่เพราะว่าดีเกินไป ดีเสียจนเราสองแม่ลูกแปลกใจ…ความร่ำรวยล้นฟ้าเหล่านั้น สูงส่งกว่าผู้คนใดๆ เซี่ยวเอ๋อร์ฐานะต่ำต้อย รับไม่ไหวหรอกเพคะ!”
“เจ้าอธิบายมาให้ข้าฟังชัดๆ สิ!” เจี่ยไทเฮายิ่งฟังยิ่งมึนงง “เหตุใดจึงรับไม่ไหว!”
หลานเจาซวิ่นสะอึกสะอื้น มองไปยังเจี่ยงฮองเฮา สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ฮองเฮาจะให้มอมอคนสนิทคนหนึ่งมาดูเซี่ยวเอ๋อร์ทุกวัน บางคราไป๋ลิ่งเหรินก็มาด้วย ยามมอมอมาเยี่ยมเซี่ยวเอ๋อร์นั้น ไป๋ลิ่งเหรินก็จะลากข้าออกมาที่ระเบียงนอกห้องของลูก ตักเตือนสั่งสอนหม่อมฉันว่าเซี่ยวเอ๋อร์เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตงกง อะไรก็ไม่สูงส่งล้ำค่าเท่าเซี่ยวเอ๋อร์ ให้หม่อมฉันเอาใจใส่เลี้ยงดูเซี่ยวเอ๋อร์ให้ดี อย่าได้ละเลยขาดตกบกพร่องไปแม้แต่นิดเดียว หากลูกมีอาการเจ็บป่วยอันใดล่ะก็ จะเรียกหม่อมฉันไปซักถาม…”
“นี่ก็เพราะว่าฮองเฮารักและเมตตาพระนัดดาน้อยเป็นอย่างมาก แม้คำพูดจะร้ายแรงไปเสียหน่อย แต่ก็นับว่าปกติดี มีปัญหาที่ใดหรือ” เจี่ยไทเฮาขมวดคิ้ว
เจี่ยงฮองเฮาสีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและดูถูก หยิบจอกข้างมือขึ้นจิบคำหนึ่ง ในใจกลับมาสงบอีกครั้ง
หลานเจาซวิ่นน้ำตาคลอ “หม่อมฉันฟังครึ่งประโยคแรกนี้ก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาตรงที่ใด ซ้ำยังตอบรับอย่างเกรงใจไปด้วยว่า พระนัดดาน้อยถูกแม่ที่ฐานะต่ำต้อยอย่างหม่อมฉันทำให้ลำบากแล้ว ลูกของเจาซวิ่นคนเดียว นึกไม่ถึงว่าจะรบกวนฮองเฮาถึงเพียงนี้ ช่างเป็นบุญหลายชาติหลายภพของหม่อมฉันแท้ๆ…ไป๋ลิ่งเหรินกลับให้หม่อมฉันอย่าดูถูกตัวเองจนเกินไป ตอนนี้ฐานะของพระนัดดาน้อยไม่ได้สูง แต่ในภายหน้าไม่แน่ว่า…”
“ไม่แน่ว่าอันใด!” เจี่ยไทเฮาตัวสั่น
“ไม่แน่ว่า อาจจะสูงส่งกว่าผู้คนนับล้าน” หลานเจาซวิ่นเช็ดน้ำตาป้อยๆ
ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดอยู่เหนือผู้คนนับล้านได้ ถ้ามิใช่ฮ่องเต้หรือไท่จื่อ!
หลานเจาซวิ่นกล่าวต่อว่า “…หม่อมฉันคิดว่าไป๋ลิ่งเหรินหมายถึงเซี่ยวเอ๋อร์อาจจะได้เป็นพระนัดดารัชทายาท[1] ก็ตกใจอยู่เล็กน้อย ได้แต่ยิ้มขื่นกลับไป ต่อไปทายาทของไท่จื่อก็จะมิได้มีเพียงเซี่ยวเอ๋อร์ผู้เดียว แล้ว พระนัดดาที่อยู่เหนือคนนับล้าน ต่อให้ไม่ได้เกิดจากพระชายาแห่งไท่จื่อ แต่ก็ไม่ได้เกิดจากหม่อมฉันที่เป็นเพียงสนมต่ำต้อยอยู่ดี สูงส่งกว่าคนนับล้าน? เฮอะ จะเป็นของเซี่ยวเอ๋อร์ไปได้อย่างไร ไป๋ลิ่งเหรินกลับหัวเราะ บอกว่าความทะเยอทะยานของหม่อมฉันช่างน้อยนิดนัก พระนัดดารัชทายาทนับว่าเป็นอันใดได้ องค์รัชทายาท[2]ยังจะนับว่าใกล้เคียงกว่า”
ประโยคนี้จบลง ภายในตำหนักก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมายกใหญ่
ไท่จื่อยังอยู่ ทารกตัวเล็กๆ จะมารับตำแหน่งองค์รัชทายาทไปได้อย่างไร นี่หรือว่า…นางกำลังจะสื่อว่าไท่จื่ออาจมีพระชนม์ไม่ถึงวันขึ้นครองราชย์?
ต่อให้ไม่มีไท่จื่อ ฮ่องเต้ยังทรงมีโอรสอีกมากมาย ตามธรรมเนียมสืบทอดบัลลังก์จากพ่อสู่ลูกแล้ว พระนัดดาน้อยก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ดี!
เจตนาของฮองเฮาเหมือนกับจะช่วยส่งเสริมเด็กทารกคนนี้…แต่ไท่จื่อก็วรกายแข็งแรงดี ทั้งอ่อนเยาว์และพละกำลังก็ดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทจะตกไปเป็นของพระนัดดาน้อยได้อย่างไร!
ฝูงชนกำลังคาดเดาความหมายของคำพูดที่หลานเจาซวิ่นกล่าวมา เอนเอียงเข้ากระซิบกระซาบกันอย่างอดมิได้ วิเคราะห์ถึงความนัยได้ก็ต่างสั่นสะท้านกันขึ้น แต่กลับไม่กล้าพูดออกมา
เจี่ยงฮองเฮายิ้มเยือกเย็น “ข้ากลับไม่ทราบมาก่อนว่าไป๋ลิ่งเหรินเคยพูดเช่นนี้ ต่อให้พูดแล้วอย่างไร คำพูดพวกนี้นับเป็นโทษทัณฑ์อันใดของข้าได้หรือ” หันเหลือบมองไป๋ซิ่วฮุ่ยคราหนึ่ง “ไป๋ลิ่งเหรินกล่าวคำพูดพวกนี้? ทำหลานเจาซวิ่นเข้าใจผิดหมดแล้ว”
[1] พระนัดดารัชทายาท เป็นหลานของฮ่องเต้ที่จะได้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้
[2] องค์รัชทายาท ไท่จื่อ