ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่193.2 ผู้สำรวจราชการแทนพระองค์ (2)
ภายในห้องบรรทมกลิ่นยาอบอวล
ไท่จื่อพิงพระแท่นบรรทม ได้ยินรายงานพระชายาเอกฉินมาพบ อีกทั้งเห็นเท้าเล็กปรากฏขึ้นเลือนลางด้านใต้ผ้าม่าน เตรียมพลิกตัวลงจากเตียง ทำบ่าวรับใช้ข้างเตียงเห็นแล้วถึงกับตกใจสะดุ้งจนต้องเข้าห้ามปราบซ้ายคนขวาคนอย่างเร่งรีบ “พ่อคุณทูนหัวของบ่าว หมอหลวงกำชับต้องพักผ่อนบนแท่นบรรทม ลงจากเตียงเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า…”
“ไม่เป็นอันใดแล้วมิใช่หรือ เส้นประสาทกับกระดูกไม่ได้บาดเจ็บเสียหน่อย ก็แค่โลหิตไหลเพียงเล็กน้อยมิใช่หรือ ถือซะว่าแก้ร้อนในก็แล้วกัน จะกลัวอันใดกัน หลีกไป” ไท่จื่อผลักมือบ่าวรับใช้ออก
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นไท่จื่อนอนต่อไม่ไหว เปิดผ้าม่านเดินเข้าไป “เส้นประสาทกับกระดูกไม่ได้บาดเจ็บ แต่แผลใหม่ก็ทนรับแรงขยับไม่ไหวเช่นกัน กลัวแผลไม่ระเบิดเปิดออกใช่หรือไม่ ยังไม่นอนลงอีก”
ไท่จื่อเห็นนางเข้ามาจึงขึ้นแท่นบรรทมทันที มือลูบผ้าพันแผลสีขาวหลายชั้นตรงหน้าท้อง ดูเหมือนเสพสุขกับคำตักเตือนของนางเป็นอย่างมาก “ยังมีสิ่งใดจะกำชับอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นจิกตาใส่ทีหนึ่ง ตอนถูกแทงในตำหนักซือฝาเมื่อครู่ยังล้มลงเหมือนกับหมูตาย ตอนนี้กลับกระปรี้กระเปร่าแล้ว เป็นห่วงเสียเปล่าจริงเชียว เอ่ยขึ้น “ช่วงนี้ห้ามโดนน้ำ ห้ามกินอาหารกระตุ้นเท่านี้ก็พอ ในพระราชวังมีทั้งยาและหมอ แผลเล็กเท่านี้ของท่านหายเร็วเหมือนกัน เมื่อเห็นท่านมีความฮึกเหิมประดุจมังกรและเสือข้าก็วางใจ ไม่รบกวนแล้วพักผ่อนเถิดนะเจ้าคะ” เอ่ยพลางย่อทำความเคารพ
เมื่อเห็นนางจะไปไท่จื่อก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง แล้วมันก็กระทบกับแผลตามที่นางกล่าวจริง คิ้วขมวดย่น โอ้ย…
“ไท่จื่อ…” บ่าวรับใช้ตะลึงตกใจ รวมตัวกันเข้าไปอยากตรวจดู “เป็นอย่างไรบ้าง ให้เรียกหมอหลวงหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นจำใจเดินเข้าไปแล้วกดเขาลง “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ”
ไท่จื่อนอนลงด้วยความวางใจ เหลือบมองบ่าวรับใช้ที่ร้อนรน “ไม่เป็นอันใดหรอก ข้าแค่กระหายน้ำ เจ้าไปรินให้ข้าที”
บ่าวรับใช้ตะลึงทำได้เพียงออกไปก่อน
ภายในห้องเงียบสงัด ไท่จื่อจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่น “ข้าบังมีดแทนเจ้า ข้าได้รับประโยคนี้มาอย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องหางตาที่กระดกคู่นั้น คิดทดสอบความผิดปกติจากในนั้นจึงหยั่งเชิง “ปฏิกิริยาบังมีดของท่านเฉียบขาดมาก”
ไท่จื่อรู้สึกได้ว่าสายตาของนางผิดแผก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง คิ้วขรึมทันที “สีหน้าเจ้ามีบางอย่างนะ หรือเจ้าสงสัยข้าแต่แรกว่าข้ารู้ฮองเฮาจะทำเช่นนี้”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายหัว “ไม่ใช่ ข้าเพียงแต่สงสัย ในมือฮองเฮามีอาวุธแหลมคมได้อย่างไร”
แล้วมันต่างกันตรงไหน ก็สงสัยเขานั่นแหละมิใช่รึ ไท่จื่อสะบัดแขนเสื้อ “อวิ๋นหว่านชิ่น เจ้าไสหัวออกไปให้ซะ!”
อวิ๋นหว่นชิ่นหยักไหล่โค้งตัวลง “เจ้าค่ะ”
ไท่จื่อเห็นนางไปจริงก็ลนลาน “เจ้ากลับมา” เห็นนางหยุดก้าวเท้าก็เอ่ยอย่างเฉียบขาด “เจี่ยงซื่อกลายเป็นเพียงตั๊กแตนสิ้นชีพ ถึงข้าใจร้อน แต่ก็ไม่ถึงกับตั้งใจให้นางยื่นมีดเพื่อให้นางมีโอกาสคิดสั้น! แทนที่จะให้นางตาย มิสู้ให้นางเข้าสำนักพระราชวัง ถอดตำแหน่งฮองเฮา ส่งไปวังเย็นเสียดีกว่า ตอนนี้เห็นนางตายอย่างง่ายดาย ข้าใจคอแห้งเหี่ยวเป็นที่สุด”
ก็เป็นดังเช่นนั้นจริง เกรงว่าอาจจะไม่ใช่เขาจริงๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาโกรธก็แอบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ จนลืมความไม่สุภาพที่เขาปฏิบัติเมื่อก่อนไปตำหนักซือฝาไปชั่วขณะ “เอาล่ะ ข้ายังมิได้กล่าวอันใดเลย เพียงแค่ถามดูเท่านั้น ท่านตื่นเต้นอันใดกัน ใจเย็นๆ ระวังแผลเปิด”
ไท่จื่อถึงสบายใจขึ้น
เมื่อถามไถ่แล้วหลายประโยค อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเวลาสายมากแล้ว ไม่สะดวกอยู่ตงกงนานกว่านี้จึงได้ลาจากตำหนักซงหยวน
ทันทีที่ออกจากประตูตำหนักก็เห็นร่างอันคุ้นเคยยืนอยู่ไม่ไกลตรงใต้ทางเดินระเบียง พอนางออกมาก็เดินลงบันไดมาหา กั้นทางเดินเอาไว้
เจี่ยงอวี๋ห้ามบ่าวรับใช้แล้วเดินคนเดียว
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางเดินมาหาคล้ายว่ามีเรื่องจะพูดกับตนจึงหยุดก้าวเท้า
เรื่องของฮองเฮา นอกจากไท่จื่อ นางก็เป็นหนึ่งในผู้ชนะ
หลุดพ้นการกักขังจากผู้เป็นป้าในที่สุด ความโกรธแค้นถูกระบาย ผ่านเรื่องนี้ไป ได้กลายเป็นผู้ทำผลงานกับคนดังในสายตาของไท่จื่ออีกครั้งเป็นแน่
เมื่อหลายวันก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินผ่านหูบ้าง เจี่ยงผิงช่วยฮองเฮาขนยาพิษเข้าวัง แม้ว่ามีโทษ แต่ด้วยประการที่หนึ่งเขาเคยจัดการญาติพี่น้องตามกฎหมายเพื่อรักษาสัจจะต่อบ้านเมือง คล้อยตามลูกสาวโดยสมัครใจยอมรับความผิด ประการที่สองเหตุการณ์ฮองเฮาวางยาพิษฉินอ๋อง สิบปีมานี้หามีผลสรุปใด ผนวกกับไท่จื่อเกลี้ยกล่อมข้างใบหูฮ่องเต้ทีหนึ่ง เจี่ยงผิงได้โทษเพียงลดระดับตำแหน่งไปหนึ่งขั้น ลดเงินเดือนเท่านั้น ก็ทำให้รอดไปได้อีกครา
เห็นเจี่ยงอวี๋ประดับชุดหรูหร่าฟู่ฟ่าในวันนี้ เพียงบนศีรษะก็มีปิ่นปักผมอันเป็นเครื่องบรรณาการจากชาวต่างชาติที่แม้แต่สนมทั่วไปในวังหลังก็มิอาจเอื้อมถึง ก็ทำให้รู้ได้ว่าหลังผ่านเรื่องนี้ไปไท่จื่อเคยมอบของขวัญให้แก่นาง
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เหลียงตี้ยังมิกลับหรือ อยากเข้าไปเยี่ยมไท่จื่อหรือเจ้าคะ” เอ่ยไปพลางหันข้างหลีกทางให้
เจี่ยงอวี๋เอ่ยเสียงฮึ่มหนึ่งคำ “เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าไท่จื่อไม่พบพวกข้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองทีหนึ่งด้วยสายตาที่แสดงถึงความน่าเสียดายมากเป็นที่สุด เจี่ยงอวี๋ลุกลนเมื่อเห็นหันตัว “ช้าก่อน”
งึมๆ งำๆ อยู่ครู่หนึ่ง เจี่ยงอวี๋ถึงเอ่ย “พระชายาเอกฉินรู้เรื่องที่ฮองเฮามิให้ข้าตั้งครรภ์ใช่หรือไม่”
เจี่ยงอวี๋รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกหลังเกิดเรื่องเจี่ยงซื่อ จึงเริ่มครุ่นคิดการปรับสมดุลร่างกายอย่างไร และเรียกหมอหลวงที่เคยตรวจให้ตนอย่างลับๆ มาถามหนึ่งครั้ง ถึงรู้ว่าคนที่พบก่อนเป็นคนแรกคือพระชายาฉินและเป็นผู้บอกหมอหลวงให้บอกกับตนอีกที
หมอหลวงจ่ายยาบำรุงร่างกาย น้ำแกงเชียนจินนารีช่วยเรื่องตั้งครรภ์แก่เจี่ยงอวี๋ กำชับนางให้กินยาตามปริมาณตามเวลา
แต่เจี่ยงอวี๋เห็นยาในโถแล้วก็ยังไม่วางใจ หลายปีมานี้นางเข้าออกตำหนักเฟิงจ๋าตลอดเวลา มิรู้ได้เลยว่าร่างกายถูกเสด็จป้าทำลายไปแล้วอย่างไรบ้าง
ยาเพียงเท่านี้ก็ทำให้ตนตั้งครรภ์รัชทายาทได้จริงหรือ
จะให้พึ่งเพียงหมอหลวงในตงกงคงไม่เพียงพอ เจี่ยงอวี๋จึงเริ่มครุ่นคิดหาคนเพิ่ม
วันนั้นเจี่ยงอวี๋เห็นกับตาตอนอวิ๋นหว่านชิ่นช่วยชีวิตพระนัดดาน้อย วันนี้ทราบว่านางมาที่นี่จึงนึกบางอย่างขึ้นได้
ในเมื่อนางมีความสามารถดูออกว่าชาข้าวอัลมอนด์ไม่เหมาะสำหรับตั้งครรภ์ แล้วยังช่วยชีวิตพระนัดดาน้อย ถ้าเช่นนั้น——ช่วยปรับสมดุลร่างกายของนางกลับมา ไม่แน่อาจเป็นเรื่องง่ายพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
เจี่ยงอวี๋อดใจไม่ไหวยืนขวางตรงหน้าประตูไม่ยอมเดิน
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ฟังจึงเข้าใจความหมายเจี่ยงอวี๋ “ข้าหามีความสามารถไม่ มีหมอหลวง หมอหญิงในพระราชวังถมเถไป เหลียงตี้หาหมอสตรีรักษาให้ท่านเถิด”
เจี่ยงอวี๋เห็นนางไม่ยินยอมโทสะรวมเข้าด้วยกัน “เจ้าช่วยได้แม้กระทั่งคนตาย อาการของข้าก็เจ้าเป็นคนที่ดูออก ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่มีวิธี ช่วยข้าเสียหน่อยแล้วจะเป็นอย่างไรรึ”
“เพลานั้นพระนัดดามิได้เสียชีวิตเสียหน่อย เพียงแค่ถูกเสมหะติดคอแล้วหายใจไม่ออกเท่านั้น เหลียงตี้อย่าได้เยินยอความสามารถของข้าถึงเพียงนั้น หากเสียชีวิตจริงเทพเจ้าองค์ใดก็ช่วยมิได้เจ้าค่ะ” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย
“เจ้า——ไม่อยากช่วยก็บอกข้าตรงๆ ไยต้องชักแม่น้ำทั้งห้าด้วย” เจี่ยงอวี๋อัดอั้นเต็มอก
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางเตรียมเดินจากไปจึงหันกลับตะโกนรั้งไว้ “ช้าก่อน”
เจี่ยงอวี๋กระยิ้มกระย่องหยุดก้าวเท้า น้ำเสียงที่เอ่ยก็นุ่มนวลขึ้น “ทำไม พระชายาฉินยอมช่วยข้าแล้วหรือ”
อวิ๋นหว่นชิ่นเอ่ย “ให้คำแนะนำบ้างก็พอได้ ให้ข้ายืนยันเหลียงตี้อุ้มสองคนภายในสามปีข้าคงทำไม่ได้ ข้ามิใช่ซ่งจื่อเหนียงเหนียง เทวานารีประทานบุตรเสียหน่อย”
“อื้ม ขอเพียงพระชายาฉินเต็มใจพูด ข้าก็เต็มใจฟังเช่นกัน” เจี่ยงอวี๋ครานี้ขอบุตรแทบเป็นบ้า กลัวถูกเสด็จป้าทำร้ายจนมีบุตรมิได้อีกตลอดชีวิต โอกาสเพียงเสี้ยวเดียวก็พึงคว้าไว้ให้ได้