ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่238ความหวาดผวาจากสัตว์ร้าย(2)
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า รอจนขุนนางแพทย์ออกจากหอจื่อกวงไป นางก็เรียกหมอหญิงสองคนให้มาหา เด็กสาวทั้งสองล้วนเกิดในครอบครัวแพทย์ธรรมดา บรรพบุรุษในครอบครัวล้วนประกอบอาชีพแพทย์ ภายหลังพวกนางเข้าวังมาเป็นนางกำนัล คนหนึ่งนามว่าฉินไช อีกคนทิงเสียน รู้จักกันมาหลายวัน อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าพวกนางเป็นหมอหญิงที่ใจเย็นสงบนิ่งที่สุด
ตะวันเคลื่อนขึ้นสู่ฟ้า ทางตำหนักจินหวาก็มีคำสั่งเรียกตัว ทั้งสามจึงเข้าไป
พวกนางมาถึงด้านหลังของตำหนักหลักก่อนเวลา มีเพียงฉากบังลมกับม่านผืนบางสีทองชั้นหนึ่งกั้นไว้ระหว่างบัลลังก์มังกรบนบันไดหิน
หลังจากมาถึงแล้ว ทั้งสามก็นำยาและเข็มสามเหลี่ยมมาเตรียมสำรองไว้ ยืนนิ่งอยู่หลังม่าน เพื่อพร้อมให้เรียกใช้ได้ทุกเมื่อ
ฮ่องเต้ทรงเสวยยาที่เพิ่มปริมาณไปแล้ว หลายวันมานี้พระอาการก็เรียกได้ว่าคงที่ดี งานเลี้ยงรับแขกน่าจะไม่มีปัญหา พวกนางมิได้เป็นกังวลมากนัก เห็นว่างานเลี้ยงยังไม่เริ่มขึ้น ก็กระซิบหยอกเย้ากันสองคำเป็นครั้งคราว ในขณะที่กำลังพูดคุยนั้น เสียงของขันทีก็ดังขึ้นจากด้านนอก ตามด้วยฝีเท้าที่ทยอยเดินกันเข้ามา เงาร่างมากมายค่อยๆ รวมตัวกันอย่างหนาแน่นด้านหลังม่านผืนบางนั้น
สุดท้าย บนบัลลังก์มังกรเบื้องหน้าก็มีคนนั่งลง พวกนางทราบดีว่าฝ่าบาทได้เสด็จมาถึงงานแล้ว จึงเลิกหัวเราะพูดคุยกัน
ในระหว่างที่สนทนานั้น มีเสียงบุรุษไม่คุ้นหูดังขึ้นมาตลอด น้ำเสียงเคารพนบนอบ เห็นได้ชัดว่าไม่ถนัดภาษาฮั่น
ฉินไชที่ใจกล้ากว่าหน่อย แง้มม่านขึ้นเป็นมุมเล็กๆ แล้วหันกลับมาเอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นรัชทายาทเหมิงหนู”
“มีสองเศียร ห้ากรใช่หรือไม่” ทิงเสียนสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับชาวเหมิงหนูเหมือนกับชาวจงหยวนที่ไม่เคยพบเห็นชาวเป่ยเหรินมาก่อน
ฉินไชปิดปากขำ “เจ้าก็ช่างคิดนะ!” แล้วมองไปพลางบอกไปพลางว่า “…ดูๆ แล้วอายุน้อยกว่าฝ่าบาทอยู่หน่อยๆ หน้าตาก็คล้ายๆ กับชาวฮั่นอย่างพวกเรา เป็นบุรุษที่รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าดูลึกเล็กน้อย ดูคล้ายกับฉินอ๋องอยู่บ้างเหมือนกัน…” กล่าวจบก็รู้ตัวว่าพลั้งปากไป จึงรีบหุบปากลง มองไปทางอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง กลัวว่านางจะไม่พอใจเอา แล้วยิ้มกระซิบขึ้นคล้ายจะเสริมว่า “ฉินอ๋องก็ทรงกำลังร่วมงานอยู่ด้านนอกเช่นกัน”
ต่อให้ทำหูทวนลมไม่รับรู้ก็แก้ไขความสัมพันธ์ทางสายเลือดของเฮ่อเหลียนอวิ่นและองค์ชายสามมิได้ อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม บ่งบอกว่าไม่เป็นไร แล้วถือโอกาสมองไปด้านนอกจากรอยแยกของม่านที่ฉินไชเลิกขึ้น
เฮ่อเหลียนอวิ่นนั่งอยู่แถวแรกด้านล่างทางขวาของฝ่าบาท รูปร่างผอมสูงใหญ่แข็งแรงงดงามสุภาพกว่าฝ่าบาทอยู่เล็กน้อย ในชั่วพริบตาที่เห็นหน้าตาคล้ายกับซย่าโหวซื่อถิงอยู่สี่ห้าส่วนจริงดังว่า แต่อย่างไรเสียงก็เป็นรัชทายาทแห่งแคว้นหนึ่ง จึงมีความหยิ่งผยองที่ปิดบังไว้ไม่มิดอยู่มาก ยามนี้กำลังสนทนากับฝ่าบาท แม้น้ำเสียงจะเคารพนบนอบ แต่ดวงตาทั้งสองเห็นได้ชัดว่าไร้ซึ่งความจริงใจ ความทะเยอะทะยานที่สะสมอยู่ภายในแผ่กำจายออกมา
แต่ใครจะสนใจว่าชาวเป่ยเหรินจะมาขอโทษอย่างจริงใจหรือไม่กัน ขอแค่พวกเขามาก็ได้เพลี่ยงพลั้งให้เราแล้ว ต้าเซวียนชนะในสงครามครานี้
และครานี้ชาวเป่ยเหรินสามารถมาขอโทษแก่ราชสำนักได้ ล้วนเป็นความดีความชอบของฉินอ๋องทั้งหมด
ขุนนางภายในตำหนักเห็นชาวเหมิงหนูยืนอยู่ด้านล่างบันไดหินอย่างเคารพนอบน้อม สายตาที่มองฉินอ๋องจึงมีความเคารพอยู่มากอย่างห้ามมิได้
เฮ่อเหลียนอวิ่นสั่งให้ผู้ติดตามอ่านคำขอโทษที่ฮ่องเต้เหมิงหนูทรงมีต่อเรื่องตลาดการค้าข้ามแดนถวายแก่หนิงซีฮ่องเต้และเหล่าขุนนางฟัง แล้วสั่งให้ข้าราชบริพารผู้ติดตามรับใช้ยกของกำนัลที่นำมาจากแดนเหนือมายังลานตำหนักโล่งกว้างด้านนอกทีละอย่าง
“ของพวกนี้ล้วนเป็นของดีประจำถิ่นของเหมิงหนูที่นำมาด้วยจากแดนเหนือ ล้วนเป็นสิ่งแทนคำขอโทษจากเรื่องตลาดการค้าข้ามแดน ขอราชสำนักโปรดอย่าได้พะวงเรื่องตลาดการค้าข้ามแดน ทำให้สัมพันธไมตรีอันดีระหว่างสองแคว้นต้องเสียหายเลยพ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อเหลียนอวิ่นหันหน้าไปยังหนิงซีฮ่องเต้
หนิงซีฮ่องเต้เห็นว่าเหมิงหนูไว้หน้ากันอย่างมากก็ทรงพอพระทัยยิ่ง ทอดพระเนตรยังเจ้าสามที่นั่งอยู่ด้วยสายตาที่ชื่นชมเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ทั้งหมดล้วนพอพระทัย เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว จึงให้นางกำนัลยกอาหารที่ประณีตสวยงามรสโอชาให้แก่ชาวเป่ยเหรินตามนิสัยการทานอาหารของพวกเขา
นางกำนัลยกโต๊ะยาวเข้ามาในตำหนัก ตั้งกองไฟ แล้วแขวนแกะทั้งตัวที่ถลกหนังออกแล้วย่างเผาบนกองไฟ
เฮ่อเหลียนอวิ่นเหลือบมองอาหารที่เหมือนกับแดนเหนือแวบหนึ่ง แล้วคำนับ “ฝ่าบาทตั้งพระทัยนำอาหารเหมิงหนูมาต้อนรับเราเป็นอย่างดี เกรงใจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
หนิงซีฮ่องเต้ตรัสคล้ายหยอกว่า “แดนเหนือกับจงหยวนแตกต่างกันมาก เรากลัวว่าเฮ่อเหลียนไท่จื่อจะไม่คุ้นชิน การพักอาศัยและอาหารการกินล้วนตระเตรียมไว้อย่างแดนเหนือ ไม่เป็นไรหรอก สิ่งที่พวกเจ้าชาวเหนือไม่มี พวกเราจงหยวนมีมากมาย สิ่งที่พวกเจ้าแดนเหนือมี พวกเราจงหยวนก็มีเช่นกัน ไท่จื่อวางใจเถิด”
รอยยิ้มเฮ่อเหลียนอวิ่นแข็งค้าง แต่ก็ยังเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท” กล่าวจบก็ปรบมือ
เสียงฝีเท้าที่ยกของกำนัลนอกตำหนักหนักขึ้น พร้อมกับเสียงโซ่เหล็กที่ดังขึ้น
นอกจากขบวนของเฮ่อเหลียนอวิ่นแล้ว คนอื่นๆ ต่างมองไปตามเสียงนั้น
เหล่าพลทหารชาวเป่ยหรงผลักรถเข็นคันหนึ่งไปยังนอกตำหนัก บนรถมีสิ่งของบางอย่างรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ถูกผ้าแดงคลุมไว้
หลังจากหยุดนิ่งแล้ว ด้านในผ้าแดงก็มีเสียงคำรามต่ำดังขึ้น เรียกความตกใจเล็กน้อยจากผู้คนในตำหนัก เอนเอียงเข้ากระซิบกระซาบคาดเดากันใหญ่
เฮ่อเหลียนอวิ่นเอ่ยขึ้นว่า “เป็นสัตว์แปลกล้ำค่าหายากของแคว้นเรา และเป็นหนึ่งในของกำนัลที่นำมาด้วยเพื่อให้ฝ่าบาททรงรับไว้ชมเล่นพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบก็ส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามเปิดผ้าสีแดงออก
พอผ้าเลิกขึ้น ทุกคนก็ต่างส่งเสียงตกใจกันเบาๆ
บนรถเป็นกรงเหล็กยักษ์ที่มีขนาดความกว้างและสูงครึ่งจั้ง ด้านในมีสัตว์ใหญ่ตัวหนึ่งนั่งอยู่ ลำคอและแขนขาถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กห้าเส้น ร่างกายเป็นเสือ มีลายเสือวาดรอบ แต่ศีรษะมีขนสีทองพันรอบอยู่ รูปร่างกลับคล้ายสิงโต กรงเล็บอันคมกริบตะปบอยู่ด้านล่างกรง ฝังลึกไปหลายชุ่น กรงเล็บอีกข้างเกี่ยวลูกกรงไว้ ดวงตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยประกายอันดุร้าย จ้องมองผู้คนในตำหนักอย่างระแวดระวัง คำรามเสียงต่ำอยู่ในลำคอ เหมือนจะหลุดจากพันธนาการพุ่งเข้ามาหาได้ตลอดเวลา
“นะ…เจ้ามันตัวอะไรกัน” ขุนนางที่นั่งอยู่ตกใจ “เป็นสิงโตหรือเป็นเสือกันแน่”
เหล่าขุนนางที่นั่งใกล้ประตูตำหนักตัวสั่นกันเล็กน้อย สิงโตกับเสือเดิมก็ดุร้ายพออยู่แล้ว สัตว์แปลกประหลาดตัวนี้แม้ว่าจะเหมือนสิงโต และเหมือนกับเสือ แต่ขนาดมันกลับใหญ่กว่าสิงโตและเสือถึงสองเท่า ล่ามไว้ด้วยโซ่ห้าเส้นยังสามารถขยับร่างกายได้ คำรามร้องไม่หยุด หากเกิดแรงฮึดขึ้นแหกกรงออกมาก็มิใช่เรื่องน่าอภิรมย์แล้ว
คิ้วเหยาฝูโซ่วขมวดมุ่นเช่นกัน ในบรรดาของกำนัลจากต่างแคว้นก็มีสัตว์แปลกหายากมาถวายให้ได้ไม่ขาด แต่พวกมันล้วนเป็นสัตว์ไม่ดุร้ายที่เอาไว้ดูเล่นให้เจริญหูเจริญตา ตี๋จื่อแดนเหนือตัวนี้ป่าเถื่อนโหดร้ายโดยกำเนิด สัตว์ดุร้ายเช่นนี้เอามาเป็นของกำนัลเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีก็แล้วไปเถิด นึกไม่ถึงว่ายังจะเอาเข้าวังมาอีก ซ้ำยังนำมาส่งมอบให้ถึงตำหนัก ช่างไร้มารยาทนัก แต่ทั้งของกำนัลที่เหมิงหนูมอบให้ ก็ไม่อาจปฏิเสธหรือบอกได้อย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ดี
เฮ่อเหลียนอวิ่นเห็นว่ารูปร่างหน้าตาของสัตว์ดุร้ายทำให้เหล่าชาวฮั่นหวาดหวั่นพรั่นพรึงกัน ความเหยียดหยามจึงปรากฏขึ้นในแววตา เขายิ้มเอ่ยว่า “เหยากงกง หากกลัวว่าจะทำให้เหล่าขุนนางทุกท่านตกใจกลัว ข้าจะให้ผู้ติดตามล่ามไว้ให้แน่นขึ้นกว่าเดิมหน่อย” กล่าวจบก็ทำมือเป็นสัญญาณ
ทหารนายหนึ่งของเหมิงหนูเข้าใจทันที ยื่นมือที่สวมปลอกแขนและถุงมือเหล็กไปในกรงเหล็ก คว้าเอาโซ่บนร่างสัตว์ร้ายเอาไว้ ไม่รู้ว่าไม่ทันระวังหรือว่าจงใจกันแน่ ไม่เห็นโซ่ที่ล่ามไว้ไม่แน่นเส้นนั้น โซ่เหล็กเส้นหนึ่งกลับคลายตกลงบนพื้นเสียงดังแกร๊ง
เดิมทีสัตว์ร้ายยังพอห่างจากลูกกรงอยู่บ้าง ยามนี้ขาดการพันธนาการจากโซ่ไปเส้นหนึ่ง ร่างของมันก็โผมาด้านหน้า แนบชิดติดกรงไปทั้งร่าง กรงเล็บยื่นออกไปจากลูกกรงหลายชุ่น ห่างจากเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูนายหนึ่งที่ใกล้ที่สุดไปไม่เกินนิ้วมือหนึ่งเท่านั้น
เจ้าหน้าที่คนนั้นกรีดร้องออกมาตามสัญชาตญาณ เสียกิริยาไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะกระโดดไปหลบอยู่ด้านข้าง
เหล่าขุนนางที่ร่วมงานภายในตำหนักถูกเสียงนั้นของเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูดังขึ้นกวนก็โกลาหลกันขึ้นมา
เหล่าทหารเหมิงหนูหัวเราะออกมากันยกใหญ่
เฮ่อเหลียนอวิ่นสีหน้าอึมครึม ตะหวาดคนพวกนั้นว่า “อย่าได้เสียมารยาท!”