ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่241เหตุผลที่แท้จริง(2)
องครักษ์หามเสลี่ยงขึ้น เด็กชายตัวน้อยยังคงไม่ยอมแพ้ พยายามมองไปทางด้านหลัง อดทนกับความเจ็บปวดทรมานทั่วทั้งร่าง โบกแขนไปทางมารดาสุดชีวิต ‘ท่านแม่…เดินเป็นเพื่อนลูกอีกหน่อยได้หรือไม่…’
สตรีนางนั้นก้าวถอยหลังไปหลายก้าว จ้องมองเบื้องหน้าทั้งน้ำตา กัดฟันตะโกนว่า ‘ไปได้แล้ว ไป!’
คำขอโทษคำนั้น เขาคิดว่าเป็นความอาลัยอาวรณ์ที่มารดามีให้ลูกยามแยกจากมาโดยตลอด
จวบจนบัดนี้ เขาจึงได้เข้าใจว่านั่นคือความรู้สึกผิดต่างหาก
ที่แท้เสด็จแม่ไม่อยากให้ตนมีชีวิตอยู่ เขาเหมือนหญ้าป่า กว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นั้นยากนัก แต่นางกลับต้องการส่งเขาออกจากวังไป
นางไม่อยากให้เขาอยู่ขวางหูขวางตา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ซย่าโหวซื่อถิงรู้สึกเพียงความเย็นเยียบที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในใจ จับแหวนเอาไว้รูดถอดมันออก ขว้างลงบนพื้นอันเย็นยะเยือกของลานตำหนักไป
สวมมันไว้ติดตัวตลอดเวลา
สวมติดตัวไว้นานหลายปีเพียงนี้ ไม่เคยห่างกายสักวัน ความจริงในท้ายที่สุดเป็นเขาที่คิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว ความรังเกียจของมารดาแท้ๆ
แหวนหยกไหลตกลงในแอ่งน้ำ กลิ้งอยู่ครู่หนึ่งก็หยุดลง ยามนี้ถูกเม็ดฝนที่รุนแรงรินรดจนเงาวาวสะอาดหมดจดกว่าเดิม
“ท่านอ๋อง” ซือเหยาอันเห็นสีหน้าเขาไม่เปลี่ยน ก็ทนดูไม่ได้ แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี สักพักหนึ่ง เห็นเขายืดตัวขึ้นตรง ดึงตัวเองกลับมาจากเรื่องในอดีตแล้ว เหมือนไร้ซึ่งเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น น้ำเสียงแจ่มชัดเป็นพิเศษท่ามกลางฝนกระหน่ำ “ชาวเหมิงหนูไม่ยอมมาต้าเซวียนอย่างขาวสะอาดดังคาดจริงๆ”
ซือเหยาอันทราบดีว่าเขาหมายถึงเรื่องการวางแผนทำร้ายไท่จื่อ ชาวเหมิงหนูจิตใจอำมหิตมากจริงๆ อ้างว่าจะสนับสนุนท่านอ๋องขึ้นครองตำแหน่งเพื่อวางแผนทำร้ายไท่จื่อ หรือเฮ่อเหลียนอวิ่นนั่นยังคิดว่าท่านอ๋องจะรับไว้ด้วยความยินดี ร่วมกระทำชั่ววางแผนจัดการไท่จื่อกับชาวเป่ยเหรินอย่างเบิกบานใจกัน
ต่อให้องค์ชายสามคิดจะปีนขึ้นสูงก็ย่อมจัดการเองได้ ไหนเลยจะต้องให้ศัตรูต่างแดนมาช่วยเหลือ ชาวเหมิงหนูคิดจะสร้างราชาสร้างหุ่นเชิดที่ต้าเซวียนหรือไร
ซือเหยาอันคิดพลางเอ่ยว่า “โชคดีที่ครานี้ได้พระชายาขวางไว้ ฉีไหวเอินก็เพิ่งจะบอกไปว่าพระชายากำชับให้ชิงฉานสารภาพเรื่องเฮ่อเหลียนอวิ่นกับพระสนมเอกไป พอพระสนมเอกทรงทราบต้องคิดหาวิธีขัดขวางเฮ่อเหลียนอวิ่นแน่ขอรับ”
แค่เสด็จแม่คนเดียวขัดขวางเกรงว่าจะไม่พอ ซย่าโหวซื่อถิงเอ่ยว่า “ให้ทหารพันนายรีบไปตั้งมั่นล้อมรอบที่พักของทหารเหมิงหนูในชานเมืองหลวงเอาไว้ แล้วให้เกาจ๋างสื่อเชิญเหล่าขุนนางชั้นสูงของเหมิงหนูมาเป็นแขกที่จวนด้วย”
ซือเหยาอันเข้าใจในเจตนาของผู้เป็นนาย จึงค้อมกายลง “ขอรับ”
จนกระทั่งซย่าโหวซื่อถิงหันหลังเข้าตำหนักไป ซือเหยาอันจึงเหลือบมองแหวนวงนั้นที่อยู่ในแอ่งน้ำแวบหนึ่ง ทอดถอนใจออกมา สาวเท้าวิ่งออกไปเก็บมันขึ้นมาใส่ไว้ในแขนเสื้อ
วันรุ่งขึ้น ในที่สุดฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งคืนก็หยุดลง
ชาวเป่ยเหรินมาต้าเซวียนครานี้ ในตอนกลางวันเฮ่อเหลียนอวิ่นจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หารือด้านการทูตกับฮ่องเต้และขุนนางฝ่ายในของต้าเซวียน ตกค่ำมามีขุนนางฝ่ายในหนึ่งคนร่วมทานอาหารด้วย ณ หอกวงหมิงแล้วออกจากวัง พักอยู่โรงแรมชานเมือง
ณ หอหมิงกวง วันนี้เป็นคราวของเหยาฝูโซ่วที่จะร่วมรับมื้อค่ำด้วย เฮ่อเหลียนอวิ่นทานได้ครึ่งหนึ่งก็บอกแค่ว่าอิ่มแล้ว อยากจะออกไปเดินย่อย จึงเดินนำผู้ติดตามออกไป
เหล่านางกำนัลขันทีเดินตามรัชทายาทเหมิงหนูอยู่ด้านหลังตามธรรมเนียม
เพิ่งจะออกจากหอหมิงกวงมา เฮ่อเหลียนอวิ่นก็เหลือบมองด้านหลัง “ข้าจะเดินเล่นแถวนี้สักสองรอบเท่านั้น พวกเจ้าเข้าไปก่อนเถิด”
เหล่านางกำนัลขันทีสบตากัน ไม่กล้าจากไป
ในขณะนั้นเอง เสียงเหยาฝูโซ่วก็ดังขึ้นจากด้านหลังว่า “เฮ่อเหลียนไท่จื่อออกปากด้วยองค์เองแล้ว พวกเจ้าก็ไปกันเสีย หรือจะให้คนต่างแคว้นมาบอกว่าไม่สุภาพเรียบร้อย เชิญแขกมาที่บ้านก็ไม่วางใจ จับตาดูทุกฝีก้าว เหมือนระวังขโมยขโจรอย่างไรอย่างนั้น”
เหล่าขันทีนางกำนัลรีบก้มหน้าลง ทยอยกลับเข้าไปในหอหมิงกวง
เฮ่อเหลียนอวิ่นคำนับให้ เหยาฝูโซ่วจึงไม่ขวางทางเขา หลีกทางออกให้ “เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนอวิ่นเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ “ลำบากแล้ว” กล่าวจบก็เหลือบมองทุกคนแวบหนึ่ง พาผู้ติดตามหันหลังให้หอหมิงกวงค่อยๆ เดินออกไปไกลอย่างช้าๆ
เหยาฝูโซ่วมองส่งรัชทายาทแดนเหนือจากไป สายตาขยับไหวเงียบๆ ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามข้างกาย
ทว่าเฮ่อเหลียนอวิ่นกลับมาถึงสวนหลวงที่เงียบสงบไร้ผู้คนที่วันนั้นพบกันกับชิงฉาน เขายืนรออยู่ข้างภูเขาจำลอง
ตะวันค่อยๆ ดับลง ถึงเวลาจุดตะเกียงแล้ว รอบด้านมืดมิดขึ้นมา ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น อ่อนช้อยแผ่วเบาและรีบร้อน แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นของสตรี
เฮ่อเหลียนอวิ่นปรากฏตัวออกมา แต่คนที่เดินเข้ามากลับมิใช่สาวใช้อ่อนเยาว์นางนั้น แววตาเขาลุ่มลึกขึ้น “เหตุใดจึงเป็นพระสนมเอกได้เล่า”
พระสนมเอกเฮ่อเหลียนสีหน้าดูไม่ได้ สาวเท้าเข้าไปหา น้ำเสียงทั้งเดือดดาลทั้งเย็นชา “เสด็จพี่กลัวว่าข้าจะมาซักถามหรือ”
เฮ่อเหลียนอวิ่นกระจ่างแจ้งทันใด สาวใช้นางนั้นคงไปบอกผู้เป็นนายแล้ว เรื่องวางยาพิษเกรงว่าจะล้มเหลวเสียแล้ว ใบหน้าเขาเคร่งตึง เดือดดาลสุดแสน “ได้ วันนี้เจ้ามาก็ดีเหมือนกัน เมื่อคืนฉินอ๋องส่งทหารพันกว่านายไปชานเมือง ตั้งค่ายอยู่ข้างกองทัพเหมิงหนู บอกว่าระยะนี้ลมแรงฝนหนัก จึงมากันลมมิให้ที่พักพังลงมา แต่แต่ละคนกลับถือดาบถือหอก สวมหมวกเหล็กและเสื้อเกราะป้องกันกาย! ซ้ำยังเชิญบรรดาขุนนางชั้นสูงของข้าไปยังจวนฉินอ๋อง…ทำไมรึ นี่กำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นรึ”
พระสนมเอกเฮ่อเหลียนตกตะลึง ถอนใจเอ่ยว่า “เช่นนั้น เสด็จพี่ก็กระจ่างแจ้งแล้ว ซื่อถิงไม่อยากร่วมกระทำเรื่องพรรค์นั้นกับท่าน ท่านยังไม่รามืออีก! เสด็จพี่ กว่าวันคืนของข้ากับซื่อถิงจะสงบสุขได้ ท่านปล่อยพวกเราไปเถอะ!”
เฮ่อเหลียนอวิ่นเห็นนางอ้อนวอนไม่ลดละดวงตาก็พลันดุดันขึ้น จับข้อมือนางไว้ “ให้เจ้าแต่งงานเพื่อแคว้น สุดท้ายทำไปเพื่อให้เจ้าได้มีวันคืนที่สงบสุขน่ะรึ วันที่เจ้ามาถึงก็น่าจะรู้แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันนี้!”
ถ้อยคำนี้ดั่งสายฟ้าฟาด ทำให้พระสนมเอกเข้าสู่ภวังค์ สักพักจึงตัวสั่นเทา “หากเสด็จพี่ยังมุ่งมั่นเช่นนี้ ก็อย่ามาโทษข้าไม่สนใจคนเผ่าพงศ์วงศ์ตระกูลก็แล้วกัน! ข้าจะทูลความจิตใจอำมหิตของท่านให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ท่านจะได้ไม่ก่อเรื่องก่อราวใดในต้าเซวียน ทำร้ายข้ากับซื่อถิง!”
เฮ่อเหลียนอวิ่นเห็นนางย้อนมาเหน็บแนม แรงที่มือก็เพิ่มขึ้น บีบมือนางแน่น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอึมครึม “อ้อ ได้สิ ไปเลย พอฮ่องเต้ถามเจ้าว่าเหตุใดข้าจึงสนับสนุนฉินอ๋อง เจ้าก็บอกเหตุผลที่แท้จริงให้แก่ฮ่องเต้ด้วยแล้วกัน…”
พระสนมเอกเฮ่อเหลียนสีหน้าซีดเผือดดั่งกระดาษ ฝ่ามือเย็นเฉียบ หน้าผากกลับมีเหงื่อร้อนผุดซึม ได้ยินเพียงเสียงข่มขู่ที่ไม่ลดละของเสด็จพี่ผู้นี้ขยับเข้ามาใกล้ข้างหูตน “…บอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าไปว่าฉินอ๋องมิได้มีเพียงเลือดชาวเป่ยเหรินเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เขาเป็นชาวเป่ยเหรินบริสุทธิ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงเวลานั้นเจ้าลองเดาดู…จุดจบของเจ้ากับฉินอ๋องจะเป็นอย่างไร”
พระสนมเอกยกมือปิดปากเขาไว้ “อย่ามาพูดเพ้อเจ้อ!”
เฮ่อเหลียนอวิ่นเห็นว่าทำนางตกใจได้แล้วก็สลัดมือนางทิ้ง ถอยหลังไปสองสามก้าว หัวเราะเสียงเย็น สะบัดแขนเสื้อพาผู้ติดตามจากไปอย่างรวดเร็ว
เสียงฟ้าร้องบนนภาคะนองมา เห็นว่าจะเป็นฝนกระหน่ำหลังตกค่ำตั้งเค้ามา หลานถิงที่รออยู่หน้าทางเข้ารอผู้เป็นนายไม่ไหว จึงรีบเข้าไปหาด้วยความตื่นตระหนก เห็นเพียงพระสนมเอกที่ดูเหมือนถูกเราะกระดูกออกไปจากร่าง ค้ำยันอยู่บนภูเขาจำลองด้านข้าง
หลานถิงตกใจ รีบเข้าไปประคองพระสนมเอกให้ลุกขึ้น
พระสนมเอกฝืนหยัดกายขึ้น จับแขนพยุงตัวกับสาวใช้ไว้ กำลังจะกลับไป รอบด้านเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างโชติช่วง จากมืดสู่สว่าง สว่างขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ ล้อมรอบทั้งสองไว้
เหล่าขันทีถือโคมไฟของวัง กรูเข้ามาจากทั่วทิศ ขวางทางพวกนางไว้ ล้วนเป็นคนสนิทข้างกายที่ปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้จากพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนทั้งสิ้น