ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่244ฮ่องเต้สิ้นบุญมังกรกับงูเข้าสู้ห้ำหั่น(2)
รุ่งอรุณในวันที่ประกาศพระราชโองการ มีฝนตกปรอยๆ ซย่าโหวซื่อถิงเข้าวังมารับราชโองการอย่างสงบนิ่ง เขาถอดชุดราชการของอุปราชออก มอบตราราชลัญจกรคืน ทูลว่าเสด็จพ่อทรงหายโดยไวอยู่สองสามคำโดยมีม่านกั้นอยู่ แล้วหันหลังออกจากวังไปอย่างเฉยเมย
พอเรื่องใหญ่หลวงเรื่องนี้จบสิ้นลง หนิงซีฮ่องเต้ปลดภาระสุดท้ายลง ก็ทรงฝืนทนไว้ไม่ไหวอีกแล้ว พระอาการประชวรเข้าจู่โจมดั่งฟ้าฝนคะนองในฤดูนี้ ทรงควบคุมไม่อยู่แล้ว พลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
หมอหลวงที่เต็มตำหนักห้อมล้อมข้างแท่นบรรทมของฮ่องเต้ตลอดวัน ทางด้านหมอหญิงทั้งหกคนของหอจื่อกวงย่อมหยุดพักไม่ได้เช่นกัน ยุ่งวุ่นวายกันหมด ทุกวันเท้าแทบจะไม่ติดพื้น ทำงานติดต่อกันไม่หยุดพักด้วยความกังวลหลายวันหลายคืน
วันนี้ เป็นเวรของอวิ๋นหว่านชิ่นและทิงเสียนทำกะกลางคืนพอดี ทั้งสองกำลังต้มยาอยู่ในห้องเครื่อง
ด้านนอกหอจื่อกวงฝนเทกระหน่ำลงมา ตกแรงกว่าวันก่อนมากนัก ทั้งสองคนคนหนึ่งโบกพัด อีกคนดูไฟ ไม่กล้าแบ่งใจสนใจสิ่งอื่นเลยแม้แต่น้อย
พอถึงค่อนคืนหลัง ฉินไชก็มายังห้องเครื่อง ยกยาที่ต้มเสร็จแล้วไปยังพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้พักหายใจกันชั่วครู่ เพิ่งจะเก็บกวาดเตาดินและทำความสะอาดถ้วยชามใส่วัตถุดิบยาเสร็จ ยังไม่ทันจะได้นั่งลงบนพื้นข้างเตาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังเข้ามา
เสียงร้อนรนของฉินไชที่เพิ่งจะไปพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนได้ไม่นานดังขึ้นภายในลานหอ “ฝะ…ฝ่าบาท เสด็จสู่สวรรค์แล้ว!”
อวิ๋นหว่านชิ่นกับทิงเสียนตกตะลึง รีบร้อนกันออกไป
มองออกไปจากลานของหอจื่อกวง แสงจากโคมไฟทั่วทั้งวังทยอยสว่างขึ้นมา
หมอหญิงคนอื่นๆ และมอมอในหอจื่อกวงต่างพากันออกมา ย่ำเหยียบท่ามกลางสายฝน ร้องไห้คร่ำครวญเจ็บปวดดั่งสูญเสียบิดามารดาไป
สิ่งที่ควรจะมาในที่สุดก็มาแล้ว
การสวรรคตของเจ้าแผ่นดิน ตะวันดวงดาวต่างดับแสง ถ้วนทุกหัวระแหงต่างร่ำไห้
ในขณะที่เจี่ยไทเฮากำลังเจ็บปวดรวดร้าว มีมอมอคนสนิทสกุลหม่ากับขันทีจูซุ่นตำหนักฉือหนิงอยู่เป็นเพื่อน ปิดม่านไม่พูดไม่จา ทำตามที่ฮ่องเต้ทรงสั่งเสียเอาไว้ทุกประการว่าทุกอย่างเรียบง่าย ไม่ให้สิ้นเปลืองสมบัติชาติและแรงของปวงชนเกินความจำเป็น
บอกว่าไม่ให้จัดการอย่างเกินความจำเป็น แต่อย่างไรเสียก็ยังคงต้องทำตามระเบียบพิธีของราชวงศ์ซย่าโหวอยู่ดี
พระโกศจัดตั้งอยู่ที่ตำหนักหลักของตำหนักกานเต๋อยี่สิบห้าวัน เพื่อให้ผู้เป็นนายของแต่ละตำหนักและเชื้อพระวงศ์ได้มากราบไหว้
หลังจากหนิงซีฮ่องเต้สวรรคต เหล่าองค์ชายเดิมทีควรจะเข้าวังมาร่วมพิธีเป็นกลุ่มแรก แต่หลังจากไท่จื่อรับตำแหน่งอุปราชแล้วพระราชโองการฉบับแรกของพระองค์ก็คืองานพระศพของฮ่องเต้ ราชสำนักไร้เจ้าแผ่นดินคนใหม่ชั่วคราว เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลง ต้องการเพียงสตรีฝ่ายในและองค์ชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะที่พำนักภายในวังหลวง รวมถึงขุนนางเชื้อพระวงศ์บางส่วนนอกวังหลวงที่ได้รับอนุญาตเข้าวังมาร่วมพิธี ห้ามองค์ชายส่วนใหญ่เข้าวัง หากฝ่าฝืน จะได้รับโทษตามข้อหาไม่เคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนโดยไม่มีข้อยกเว้น
ราชโองการนี้ แบ่งแยกภายในและภายนอกของวัง คนในออกไม่ได้ คนนอกก็เข้าไม่ได้
ในช่วงระหว่างเก่าไปใหม่มานี้ รัชทายาทหรือฮ่องเต้พระองค์ต่อไปยับยั้งเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ เข้าวัง เพื่อป้องกันคนที่มีใจไม่อาจคาดคะเนได้ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น ไม่เว้นช่องว่างเอาไว้ให้คนอื่นสบช่องได้แม้แต่น้อย วิธีการเช่นนี้แม้จะสุดโต่ง แต่ก็ต้องทำ ดังนั้นแล้ว แม้ว่าคำสั่งห้ามนี้จะมีความเห็นแก่ตัวส่วนพระองค์ไว้อย่างชัดแจ้ง แต่เหล่าขุนนางก็ไม่อาจพูดอันใดได้ เพราะแต่ละคนไม่อาจแบกรับโทษที่ทำให้ราชสำนักวุ่นวายกันได้ไหว หลังจากขุนนางที่ปรึกษาสองสามคนโวยวายไป ก็ไม่มีใครคัดค้านอีก
บรรดาองค์ชายและพระนัดดาที่อยู่นอกวังหมดหนทางเข้าไปร่วมพิธี ทำได้เพียงแอบด่าอยู่สองคำเท่านั้น
เจี่ยไทเฮาทราบแต่แรกแล้วว่าไท่จื่อมีแผนการ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะไร้ปรานีเช่นนี้ จึงส่งจูซุ่นไปตงกงพูดอยู่สองสามคำ ไท่จื่อกลับมองว่ายามนี้เป็นเวลาสำคัญ หากมีคนก่อความวุ่นวาย แบกรับการผลลัพธ์นั้นไม่ไหว พูดเกลี่ยกล่อมไปไม่กี่ครั้ง เจี่ยไทเฮาจึงจำต้องปล่อยให้ไท่จื่อจัดการไป
ในวันที่พระโกศออกจากตำหนัก ท้องฟ้าอึมครึม แม้ว่าจะไม่มีฝนตกเหมือนวันก่อนๆ แต่เมฆดำก็ปกคลุมอย่างแน่นหนา มีเค้าลางของฝน
หลังจากวันนั้นที่ตำหนักชุ่ยหมิงก็ไม่ได้เจอองค์ชายสามเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นเดิมคิดว่าพระราชพิธีศพครานี้จบสิ้นลงก็จะโดนปล่อยตัวออกจากวัง แต่พอพระราชโองการนั้นประกาศออกมา ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกนานเพียงใด
หากตามเจตนารมณ์ของราชโองการนี้ของไท่จื่อ พอเคลื่อนย้ายพระศพหนิงซีฮ่องเต้ไปยังสุสานหลวงแล้ว สถานการณ์ทางการเมืองสงบ ฮ่องเต้องค์ใหม่นั่งปกครองมั่นคงแล้ว เกรงว่าหนึ่งปีครึ่งก็ยังไม่พอ
หรือนางยังต้องอยู่ในวังไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดกัน
พอเช้าตรู่ นางกับฉินไชและทิงเสียน รวมถึงบรรดาหมอหญิงรักษาพระองค์ของหอจื่อกวงก็ไปยังตำหนักกานเต๋อกับผู้ติดตามรับใช้ของพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนคนอื่นๆ
ผู้ติดตามรับใช้ใกล้ชิดข้างกายของฮ่องเต้วันนี้จะไปส่งพระศพฮ่องเต้ออกทางประตูเจิ้งหยางกับไท่จื่อ พวกนางก็เช่นกัน พอถึงด้านนอกตำหนักกานเต๋อ นางก็คุกเข่าลงท่ามกลางฝูงชนเพื่อรอยกโลง
นอกตำหนักกานเต๋อ บรรดาขุนนางใหญ่ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังสวมชุดป่านและชุดไว้ทุกข์ ทยอยกันคุกเข่าลงนอกประตูใหญ่ทั้งสองด้านเพื่อส่งเสด็จฮ่องเต้พระองค์ก่อน ตรงกลางปูด้วยพรมถักแคบยาวไปตลอดทาง
ไท่จื่อในชุดไว้ทุกข์ยืนอยู่ในตำหนัก มีเหยาฝูโซ่วกับเหนียนกงกงยืนอยู่ข้างกาย
จนกระทั่งขันทีมารายงานว่าได้ฤกษ์แล้ว ไท่จื่อจึงได้ลุกขึ้น
ในขณะนั้นเอง ห่วงสำริดตรงประตูใหญ่เบื้องหน้าก็ค่อยๆ เปิดออกเสียงดังกึงๆ ขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้า เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูนายหนึ่งเร่งฝีเท้าวิ่งเหยาะๆ เข้ามา หอบหายใจพลางคุกเข่าลง
“พระโกศอยู่เบื้องหน้า เหตุใดจึงได้ลนลานเช่นนี้!” เหยาฝูโซ่วสะบัดแขนเสื้อ ตำหนิออกมา
“องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง องค์ชายสาม องค์ชายแปด องค์ชายสิบสอง องค์ชายสิบสามและพระองค์อื่นๆ เข้าวังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าวันนี้จะส่งเสด็จฮ่องเต้พระองค์ก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นตัวตั้งตรงทันที มองไปที่ประตูใหญ่
มุมโอษฐ์ไท่จื่อกระตุกอย่างยากจะสังเกตเห็น ยกมือไพล่หลังยืนอยู่หน้าประตู “ทำไมรึ เหล่าองค์ชายมิได้อ่านพระราชโองการนี้อย่างละเอียดหรือไร”
“ก็เพราะว่าอ่านอย่างละเอียดแล้วน่ะสิ” พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำนั้น ประตูใหญ่สีชาติของตำหนักกานเต๋อดังขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะถูกองครักษ์สองนายที่บึกบึนแข็งแรงถีบออก สั่นสะเทือนลานตำหนักอันเงียบสงบนี้
มีคนก้าวเข้ามา น้ำเสียงกังวานกึกก้อง “ไท่จื่อทรงห้ามพวกเราร่วมพิธีถวายความกตัญญู หรือกระทั่งการส่งพระศพสุดท้ายของเสด็จพ่อก็จะไม่ให้เราไปส่งอีก พวกเรายอมฝ่าฝืนพระราชโองการรับโทษข้อหาไม่เคารพนอบน้อม ดีกว่าโดนบรรพบุรุษตราหน้าว่าอกตัญญู!”
ซย่าโหวซื่อถิงเดินนำมา สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวตลอดร่าง เอวมีผ้าขาวคาดไว้ หน้าผากผูกด้วยผ้าป่านดิบ เดินเลียบพรมยาวตรงกลางเข้ามา
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้พบเขามาหนึ่งเดือน ดวงตาสองข้างจ้องมองนิ่ง รูปร่างของเขาผอมลงไปไม่น้อย ขับให้รูปโฉมยิ่งดูสูงขึ้นมามาก แต่สภาพจิตใจกลับดีขึ้นไม่น้อยแล้วอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะยาถอนพิษนั้นได้ผลใช่หรือไม่ สุดท้ายนางจึงถอนหายใจออกมา
เยี่ยนอ๋องเดินอยู่ข้างกายเขามาติดๆ องค์ชายคนอื่นๆ ก็เดินตามมาด้านหลัง
บรรดาผู้ติดตามคนสนิทต่างเดินตามผู้เป็นนายของแต่ละคนมา
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ไท่จื่อ พี่สามพูดถูก พวกเรายอมโดนลงโทษที่ไม่เคารพต่อราชโองการ ดีกว่าโดนบรรพบุรุษตราหน้าว่าอกตัญญู!” เยี่ยนอ๋องเป็นทหารกล้าพลีชีพแนวหน้าของซย่าโหวซื่อถิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงตะโกนขึ้นมาก่อน
การตะโกนครานี้ องค์ชายคนอื่นๆ ก็ล้วนระงับโทสะกันไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะองค์ชายสิบสองลี่อ๋องและองค์ชายสิบสามจิ่งอ๋องที่ยังอายุน้อยกันอยู่สักหน่อย กล้าหาญฮึกเหิมกันอย่างยิ่ง พอเห็นพระโกศภายในตำหนักก็ถลกชุดคลุมคุกเข่าลงหันไปยังด้านใน “เสด็จพ่อ! พวกเรามากราบท่านแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
แม้กระทั่งองค์ชายใหญ่ที่ยามปกติอ่อนแอสงบเสงี่ยมที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาเงียบงันไม่พูดจาอยู่เสมอก็ยังเอ่ยขึ้นมาด้วยว่า “พวกเราล้วนเป็นองค์ชายแห่งต้าเซวียนเช่นกัน มีสิทธิอันใดมาห้ามไม่ให้เราพบเสด็จพ่อ วันนี้เราก็จะส่งดวงวิญญาณเสด็จพ่อออกจากวังเหมือกับไท่จื่อเช่นกัน”
บรรดาองค์ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วถอดมงกุฎปลดพู่ สวมชุดไว้ทุกข์ ฝืนบุกเข้ามายังตำหนักกานเต๋อเพื่อจะแสดงความกตัญญู ไม่สามารถหยุดพวกเขาเอาไว้ได้ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขัดขวางด้วยอารมณ์และเหตุผล
ขุนนาง ณ ที่นั้นกลั้นหายใจมองการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ แล้วเหลือบมองนอกตำหนักกานเต๋อแวบหนึ่ง ดำทะมึนไปทั่วทั้งบริเวณ ล้วนเป็นทหารองครักษ์ขององค์ชายแต่ละพระองค์ทั้งสิ้น เหล่าองค์ชายฝ่าฝืนพระราชโองการเข้าวัง จะไม่พาองครักษ์มาเสริมพลานุภาพด้วยได้อย่างไรกันเล่า แค่ภาพตรงหน้านี้ เกรงว่าด้านนอกน่าจะยังมีทหารรออยู่อีกไม่น้อยทีเดียว