ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่246บุกวัง(2)
ไท่จื่อแววตาเปลี่ยนแปร แต่กลับมิได้เอ่ยอันใด
ณ หอจื่อกวง
หลังจากที่บรรดาหมอหญิงกลับมาแล้ว ทุกคนต่างถูกขังไว้ในห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในหอ
สองวันมานี้ ทั่วทั้งห้องเปียกชื้น มีแต่กลิ่นของน้ำตา เหล่าเด็กสาวร้องไห้จนเหนื่อยก็หลับไป ตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้อีก
พรุ่งนี้พอพระอาทิตย์ขึ้นก็เป็นวันที่จะต้องปลิดชีพร่วมกับฝังฮ่องเต้แล้ว บรรดาหมอหญิงจึงยิ่งร้องห่มร้องไห้โวยวายไม่หยุดเหมือนโดนกระตุ้น
ยามเช้าได้มาเยือน ฉินไชและทิงเสียนขดตัวอยู่ข้างกายอวิ๋นหว่านชิ่นพลางเช็ดน้ำตาป้อยๆ
“ข้าไม่อยากถูกฝังไปด้วย เดิมทีข้าเป็นนางกำนัลในตำหนักลี่เฟย อีกไม่กี่ปีก็จะได้ออกจากวังแล้ว ถูกเรียกตัวไปเป็นหมอรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ชั่วคราว บอกเสียดิบดีว่ารักษาเสร็จก็กลับได้แล้ว เหตุใดจึงต้องมาตายด้วยเล่า” ทิงเสียนร่างสั่นเทิ้ม ซุกหน้าร้องไห้กับเข่าทั้งสองข้าง
“พระชายาฉินอ๋อง พ่อกับพี่ข้าเป็นหมอมาหลายชั่วอายุคน ประกอบอาชีพเป็นหมอรักษาโรคช่วยเหลือผู้คน ช่วยชีวิตผู้อื่น ไม่ควรได้รับสิ่งดีๆ บ้างหรือ เหตุใดจึงได้มีความทุกข์ยากเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย…เหตุใดการเป็นคนดีกลับกลายเป็นว่าต้องตายด้วย...” ฉินไชขอบตาแดงก่ำ
อวิ๋นหว่านชิ่นเช็ดน้ำตาให้ทั้งคู่ พยายามสงบสติให้มั่นคง หนิงซีฮ่องเต้ให้หมอหญิงหอจื่อกวงร่วมฝังด้วย เป้าหมายที่แท้จริงคือนาง หมอหญิงพวกนี้ก็แค่โดนหางเลขไปด้วยเท่านั้น
แต่เพราะเหตุใดอยู่ดีๆ หนิงซีฮ่องเต้จึงให้นางฝังด้วยเล่า ต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ
เสียงสะอื้นของทิงเสียนดังขึ้นมาอีกครั้ง อวิ๋นหว่านชิ่นโอบนางไว้แน่น ยังไม่ไปคิดอันใดมาก
นางไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมแล้ว สวรรค์ให้นางเกิดใหม่อีกครั้ง หรือว่าก็เพื่อให้นางถูกสังเวยชีวิตอีกรอบกัน
หนึ่งวันยาวนานเป็นพิเศษ
ยามสนธยามาถึง บรรดาเด็กสาวจิตใจเหนื่อยล้ากันนานแล้ว ง่วงงุนอยากจะหลับ ภายในห้องเงียบงันดังสุสาน
ในที่สุด เสียงประตูก็ดังขึ้น บรรดามอมอยกอาหารเข้ามา จำนวนหกชุดพอดีกับจำนวนหมอหญิง วางลงบนโต๊ะตามลำดับ
“กินเถิด กินให้อิ่มหนำเสีย เป็นอาหารที่พ่อครัวใหญ่ของห้องเครื่องหลวงทำเชียวนะ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ยามปกติพวกเจ้าไม่มีทางจะได้กินทั้งนั้น”
อาหารมื้อสุดท้าย
คำพูดของมอมอกระตุ้นให้หมอหญิงที่กว่าจะหยุดร้องไห้เหล่านี้เข้า
พวกนางพุ่งเข้าไปกอดขาของมอมอ “ข้าไม่อยากตาย!”
“ฮ่องเต้ทรงพระราชทานอนุญาตให้พวกเจ้าฝังร่วมด้วย เป็นความโชคดีของบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าไม่เพียงจะมีชื่อเสียงอันดีงาม กระทั่งพ่อแม่พี่น้องพวกเจ้าก็จะได้เลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จรางวัลไปด้วย! คนอื่นอยากจะได้ยังไม่ได้มาเลย!” มอมอคนหนึ่งด่าว่าขึ้น
“ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงดีงามนี่! พ่อแม่ยังรอข้ากลับบ้านอยู่เลยนะ! ข้าไม่อยากฝังพร้อมพระองค์….ขอร้องล่ะมอมอ ไปบอกไท่จื่อที พวกเราไม่อยากตาย…” บรรดาหมอหญิงร้องไห้กันวุ่น ล้วนเป็นวัยที่กำลังเบ่งบานงดงามกันทั้งนั้น ยังไม่ทันจะใช้ชีวิตพอ เงินทองกองเป็นภูเขา อนาคตที่สวยงามราวกับผ้าไหมทอดิ้น ไหนเลยจะสำคัญเท่าชีวิต
“เพ้อเจ้อ!” บรรดามอมอคร้านจะพูดให้มากความอีกต่อไป ผลักเหล่าหมอหญิงออก แล้วลากประตูปิดดังปั้งเดินจากไป
ภายในห้องมืดมิดขึ้นมาอีกครั้ง อาหารเลิศรสเต็มโต๊ะ ควันหอมฉุย กลิ่นหอมโชนเข้าจมูก แต่กลับทำให้ภายในห้องยิ่งอ้างว้างวังเวง
บรรดาเด็กสาวสองวันมานี้กลืนแค่น้ำลาย ไม่ได้กินข้าวสักคำ ท้องหิวโครกครากนานแล้ว แต่ใครจะไปกินลงกัน มอมอมาแล้วครั้งหนึ่ง พวกนางก็ยิ่งหมดหวัง กอดเข่าร้องไห้กันขึ้นมา
เด็กสาวคนหนึ่งจิตใจอ่อนแอ ทนฝืนจนฟ้าสางจึงถูกประหารไม่ไหว หามุมที่อับสายตา ใช้หัวโขกผนัง โชคดีที่พวกหมอหญิงตาไวมือไว รวบตัวนางไว้ทัน หน้าผากของหมอหญิงคนนั้นแม้จะแตกแต่ก็ดีที่ไม่ได้สาหัสอะไร
“ยังไม่ถึงขั้นนั้นเลย เจ้าจะร้อนใจไปไย! ไม่แน่ว่าอาจมีสถานการณ์พลิกผัน…” ฉินไชกระทืบเท้า ใช้น้ำสะอาดบนโต๊ะเช็ดแผลให้นาง
“สถานการณ์พลิกผันอันใดเล่า ข้าไม่ฝันกลางวันแบบนั้นหรอก! จะตายช้าตายเร็วก็ต้องตายอยู่ดี ตายไวหน่อยจะได้สบายใจ ข้าได้ยินว่านางกำนัลที่ร่วมฝังสมัยก่อนล้วนได้ผ้าแพรต่วนสีขาวมา หากไม่กล้าแขวนเองก็จะโดนพวกขันทีรัดคอทั้งเป็น รัดจนลิ้นปลิ้นออกมา ข้าไม่อยาก…” หมอหญิงที่จะฆ่าตัวตายปิดหน้าไว้ พูดอันใดไม่ออก ร้องไห้ออกมา ทำให้คนอื่นๆ หลั่งน้ำตากันออกมาเงียบๆ ด้วยเช่นกัน
ในขณะที่บรรยากาศกำลังโศกศัลย์อาดูรอยู่นั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็ลุกขึ้น หยิบขนมข้าวนึ่งมาจำนวนหนึ่งส่งให้ฉินไช ทิงเสียนและบรรดาหมอหญิงทีละคน แล้วตัวเองก็หยิบไปหนึ่งชิ้น นั่งลงมุมผนัง กัดคำเล็กๆ กินไปเรื่อยๆ เห็นพวกหมอหญิงมองมาจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “ยังไม่ถูกฆ่า ตัวเองก็ทรมานตัวเองให้ตายก่อนเสียแล้ว ไม่คุ้มค่า”
เหล่าหมอหญิงตกตะลึง คล้ายว่าได้รับผลกระทบทางอารมณ์ไปด้วย ในที่สุดก็สงบลงได้
คนเขาเป็นถึงเหนียงเหนียง เดิมทีควรจะมีวันคืนอันสงบสุขราบรื่น ยามนี้ถูกร่วมฝังไปด้วย น่าจะยิ่งอึดอัดคับแค้น เสียใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และยิ่งไม่ยินดียินยอมมากกว่าแน่!
ตั้งแต่ต้นมากลับสงบนิ่งเสียยิ่งกว่าพวกนางที่เป็นสาวใช้เสียอีก
กระทั่งพระชายาฉินอ๋องยังไม่กลัว แล้วพวกนางจะกลัวไปไย
เหล่าหมอหญิงกลั้นน้ำตาและความเสียใจเอาไว้ พยักหน้ากินตามกัน
อาหารร้อนๆ ตกถึงท้องทำให้เต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอม อารมณ์ของเหล่าหมอหญิงก็จัดการได้ดีขึ้นอยู่บ้าง แม้ว่าจะยังคงจิตใจอ่อนล้าอยู่ แต่ไม่สติหลุดเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ฟากฟ้าค่อยๆ มืดลง ดวงเดือนโผล่ขึ้นมุมหนึ่ง แขวนบนขอบเมฆดำทะมึน สาดแสงเรืองรองมายังโลกมนุษย์ มอบความแวววาวสีขาวเยือกเย็นปกคลุมเขตพระราชฐานที่สูงตระหง่านทั้งสี่ทิศของเยี่ยจิงไว้
ประตูเจิ้งหยางฝั่งใต้ของเขตพระราชฐานเป็นประตูบานนอกสุดที่เชื่อมนอกวังและในวังไว้ ยังคงเหมือนยามปกติ พอเข้าสู่ช่วงห้ามเข้าออกยามวิกาลก็จะถูกปิดไว้ แสงไฟบนศาลาบนประตูเมืองเปล่งประกายระยับสว่างไสว พวกเขาเป็นทหารประจำกองจอมพลดูแลกิจกรรมทางทหารของเมืองหลวงที่เฝ้ารักษาการณ์วังต้องห้าม
บนศาลากำแพงเมือง พวกทหารที่ประจำการก็ยังคงเหมือนเดิม เดินเลียบกำแพงเมืองไปกลับทอดมองไปนอกวังหลวง
ฮ่องเต้สวรรคต เมืองหลวงห้ามงานรื่นเริงทั้งหมด เดือนกว่าๆ มานี้ กระทั่งเสียงของตลาดกลางคืนยังไม่ได้ยิน
ราตรีอันยาวนานเงียบงันไร้เสียงเหมือนค่ำคืนที่ผ่านมา
วันนี้ เงียบงันจนกระทั่งแปลกกว่าวันอื่นๆ
เฝ้าตรวจตรามาค่อนคืน พวกเขาพูดคุยสัพเหระกันไปต่างๆ นานา เดี๋ยวก็เรื่องมีภรรยาและลูกๆ ครอบครัวเปี่ยมสุข เดี๋ยวก็เรื่องในกองจอมพลดูแลกิจกรรมทางทหารเมืองหลวงคนไหนเลื่อนขั้นแล้วคนไหนถูกลดขั้น เงินเดือนของปีนี้จะเพิ่มหรือไม่
ทุกคนต่างสนอกสนใจคึกคักกันยิ่ง แต่เห็นเพื่อนร่วมงานที่กำลังพูดจาติดลมหยุดชะงักไป
พวกทหารมองไปทางเขา เห็นเขามองตรงไปยังที่ไกลๆ ด้านล่างประตูเมืองนิ่ง ยกมือขึ้น เอ่ยตะกุกตะกักว่า “พวกเจ้าดู…”
ทุกคนเห็นเขาท่าทางเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่านั้นก็เอ่ยแซวกันออกมา ยกโคมไฟขึ้นมองตามไป แต่ละคนกลับคล้ายโดนสะกดจุด นิ่งงันไปแล้ว
เบื้องล่างของกำแพงเมือง ปลายสุดถนนสายตรงนี้ดำทะมึนไปทั้งสาย ในความมืดมิดนั้นกลับมีแสงไฟเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆ อยู่หลายกลุ่ม เหมือนผีพุ่งไต้อันมืดมิด ยิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก็ยิ่งสว่างไสว
มีเสียงดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่เข้ามาใกล้เขตพระราชฐานมากขึ้นเรื่อยๆ
ตึงตึงตึง
ตังตังตัง
เป็นเสียงฝีเท้าของรองเท้าเหล็กและเกือกม้าอันเป็นระเบียบ!
มีคนหนึ่งขยี้ตาไปมา ยังคิดว่าตาฝาด “นะ…นั่นมันอันใดน่ะ”
กองทัพก้าวเดินออกมาจากสีราตรีอันมืดมิด ภายใต้แสงไฟนั้นเห็นรูปร่างอันทรงพลังอย่างชัดเจน
คือกองทัพ…กองทัพ!
ผีพุ่งไต้ที่เคลื่อนไหวท่ามกลางราตรีเมื่อครู่เป็นแสงคบเพลิงในมือของทหารที่มุ่งหน้าเข้ามา!
ม้าอ้วนพีอาวุธคมกริบ อาภรณ์สีสดในเกราะเหล็ก ขบวนแถวของกองทหารเป็นระเบียบเรียบร้อย แค่มองก็รู้ว่าเป็นกองทัพที่มีมาตรฐานที่ราชสำนักฝึกฝน คนที่อยู่แถวหน้าดูท่าทางเหมือนแม่ทัพคร่อมม้าตัวสูงนำทัพใหญ่ มือถือบังเหียน ควบม้าเข้าใกล้เขตพระราชฐานมาอย่างช้าๆ