ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 47.2
ตอนที่ 47-2 ของขวัญจากองค์ชาย
หลี่เว่ยหยางมีความรู้สึกแปลกใจว่าหลี่หมินเต๋อรู้ได้อย่างไรว่า นางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก?
ดูเหมือนว่าเขากำลังเฝ้าจับตามองนางอยู่ทุกความเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม ที่ศาลาหลี่หมินเต๋อนั่งลงแล้ว และกำลังจดจ่ออยู่กับการดื่มน้ำค้างกุหลาบอย่างอิ่มเอมใจ
สีชมพูของน้ำค้างกุหลาบติดอยู่บนริมฝีปากที่มีเลือดฝาดทำให้เขาดูน่ารักมาก
หลี่เว่ยหยางจ้องมองเขา จากนั้นความเย็นชาในแววตาของนางจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นความอ่อนโยน
นางอดมิได้ที่จะใช้มือแตะที่ศีรษะของเขา
หลี่หมินเต๋อหัวเราะเสียงดัง ขณะที่จ้องมองไปยังหลี่เว่ยหยาง และดวงตาของเขาได้มีแววตาแห่งความสุขใจปรากฏขึ้นในทันที
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า เขาจะนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ และในขณะนั้นศีรษะของเขาก็เอียงไปด้านข้าง
การกระทำของเขาทำให้หลี่เว่ยหยางผงะ
ทันใดนั้นเขาได้กล่าวเสียงแข็งว่า
“ข้ามิใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว”
หลี่หมินเต๋อจ้องมองไปยังหลี่เว่ยหยางอย่างจริงจัง:
“ข้าโตแล้ว อย่ามองเหมือนข้าเป็นเด็ก!”
ในขณะนี้ผิวขาวของเขาดูเหมือนว่าจะมีสีแดงกระจายอยู่ทั่วทั้งร่างกาย
น้ำเสียงของเขาฟังดูเด็กน้อย มีเพียงท่าทีของเขาเท่านั้นที่ดูเคร่งขรึม
ท่านใดนั้น หลี่เว่ยหยางได้หัวเราะออกมาเพราะคำกล่าวที่ไร้เดียงสาของเขา
เพราะเด็กทั่วไปมักจะกล่าวว่า พวกเขาโตแล้ว
เมื่อหลี่หมินเต๋อเห็นว่า หลี่เว่ยหยางมิเชื่อในสิ่งที่เขากล่าว ทันใดนั้นจึงจับมือของหลี่เว่ยหยางขึ้นมาและกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ข้าจะเข้มแข็ง และจะปกป้องท่าน มิมีผู้ใดที่จะสามารถมารังแกท่านได้!”
จากนั้นดวงตากลมโตของหลี่เว่ยหยางได้กระพริบถี่ และในที่สุดก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงอันดัง
ทำให้ใบหน้าของหลี่หมินเต๋อบูดบึ้งในทันที
พี่สาวของเขาผู้นี้มีดวงตาคู่ที่งดงามที่สุดในโลกนี้ มันมีสีดำสนิทเหมือนกับน้ำหมึก
และมีความอ่อนโยนเหมือนแสงจันทร์ แม้จะดูแล้วช่างโดดเดี่ยวเหมือนดวงดาวในฤดูหนาว
…ทั้งหมดที่เขากล่าวมานั้น ล้วนมาจากใจจริง
และในตอนนี้เขาโกรธเพราะนางมิเชื่อ และคงคิดว่ามันเป็นเพียงคำกล่าวของเด็กไร้เดียงสา
ไป๋จื่อจ้องมองไปยังคุณชายสามที่อวบอ้วนขณะที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
เด็กหนุ่มผู้ที่มีความสง่างามผู้นี้ อุทิศตนให้กับพี่สาวของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง
บริเวณที่ห่างออกไปทัวเป่าเจิ้น
กำลังเดินมาทางนี้ จากนั้นเขาได้หยุดก้าวเดินอย่างกะทันหัน
และจ้องมองไปยังเด็กสาวที่ยิ้มแย้มเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในศาลาแห่งนั้น
เด็กสาวผู้นี้สามารถรับมือกับแผนชั่วร้ายของพี่น้องร่วมสายเลือดได้ในห้องโถงใหญ่เมื่อครู่
แม้ว่าตอนนี้นางยังมิได้เป็นสาวเต็มตัว แต่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที…นับว่าน่าสนใจมิใช่น้อย
และผู้ที่อยู่ด้านหลังเขาคือ
หลี่หมินเฟิง ผู้ซึ่งจะต้องคุกเข่าที่ห้องโถงบรรพบุรุษ
ในมิช้าคำกล่าวที่แสดงถึงความเกลียดชังได้ดังขึ้น:
“เด็กนั่น!”
ทัวเป่าเจิ้นหันศีรษะไปทางเขาและกล่าวว่า
“หมินเฟิง เป็นเจ้าเองที่โง่เขลา!”
เดิมทีหลี่หมินเฟิงมีเพียงความคิดที่จะกลั่นแกล้งผู้ใดบางคน
เขาคิดว่า การยิงลูกศรเพียงดอกเดียว จะสามารถผลักหลี่เว่ยหยางไปสู่ความตายได้
แต่เขามิคาดคิดว่า แทนที่จะชนะเขากลับกลายเป็นผู้พ่ายแพ้
เขาต้องได้รับความอับอายต่อหน้าผู้คนในครอบครัว
และยังทำให้น้องสาวผู้สูงศักดิ์ต้องคุกเข่าต่อหน้าเด็กสาวผู้ต้อยต่ำเพื่อยอมรับผิด
นี่เป็นช่วงเวลาที่ทำให้อารมณ์เสียจึงมิสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ เขากล่าวอย่างเคียดแค้นว่า
“สักวัน นางจะต้องร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด!”
ทัวเป่าเจิ้นกล่าวเบา ๆ ว่า:
“เกิดเป็นบุรุษควรให้ความสำคัญกับราชสำนักมากกว่าเรื่องภายในบ้าน
เจ้ามิควรเข้าร่วมในการต่อสู้ที่มิจำเป็นเหล่านี้”
หลี่หมินเฟิงเกิดความรู้สึกประหลาดใจ และเงียบไปครู่หนึ่ง
จากนั้นสีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไป แต่ในที่สุดได้กล่าวว่า:
“ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
ตอนนี้ทัวเป่าเจินได้เหลือบมองไปยังหลี่เว่ยหยางจากระยะไกลอีกครั้ง และยิ้มออกมาเล็กน้อย
ณ ตำหนักหยวนซี
ในตอนที่อาหารเย็นกำลังจะเริ่มต้นขึ้น โม่ฉูได้เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร และกล่าวว่า:
“คุณหนู ,องค์ชายสามได้ให้คนมาส่งของขวัญให้กับฮูหยิน และคุณหนูทุกท่าน”
หลี่เว่ยหยางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ขณะที่โม่ฉูกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า:
“คุณหนู ดู…”
“มันคืออันใด?”
ไป๋จื่อเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา ขณะที่เหลือบมองไปยังใบหน้าของหลี่เว่ยหยาง
“กระถางดอกบีโกเนีย!”