ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 64.2
ตอนที่ 64-2 ลางร้าย
หลังจากความโกลาหลในบ้านตระกูลหลี่ได้ผ่านพ้นไปแล้วสักระยะหนึ่ง และฮูหยินใหญ่ได้ฟื้นคืนกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง
แต่ช่วงเวลาที่สงบสุขนี้ เกิดขึ้นได้มินานนัก เพราะหลังจากนั้นมินานนัก ได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นที่ต่างเมือง
ท่ามกลางผู้ประสบภัยพิบัติเหล่านั้น มีการแพร่กระจายของโรค ซึ่งเกิดจากการที่พวกเขาฝังศพผู้ติดโรค ม้า วัวและแกะลงในพื้นดินทันที
และเมื่อเกิดฝนตกขึ้น พฤติกรรมเช่นนี้จึงทำให้เชื้อโรคไหลลงสู่แหล่งน้ำโดยมิได้ตั้งใจทำให้มีผู้ติดเชื้อมากยิ่งขึ้น
จักรพรรดิได้ทรงส่งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จำนวนมากไปยังพื้นที่ภัยพิบัติเพื่อรักษาโรคระบาดนั้น
และในที่สุดก็สามารถควบคุมสถานการณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติได้
แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่เดินทางกลับมายังเมืองหลวงหลายคนติดโรคระบาดจึงส่งผลให้ เกิดโรคระบาดในเขตเมืองหลวงเช่นเดียวกัน
แต่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ให้ความสำคัญกับการรักษาโรคระบาดดังกล่าวเป็นอย่างมาก
และพวกเขาทำงานกันอย่างหนักหน่วง จนสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
แต่น่าเสียดายสำหรับกลุ่มขุนนางบางท่าน ที่มีสุขภาพอ่อนแอจึงมิสามารถรักษาให้หายได้ เมื่อเกิดการติดเชื้อจากโรคระบาด
เจ้าหน้าที่ของทางราชสำนักที่มีตำแหน่งสูงสามถึงสี่คนเสียชีวิตติดต่อกัน ทำให้เกิดความตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ท่านอำมาตย์หลี่เกิดความรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จนทำให้นอนมิค่อยหลับในช่วงนี้
เมื่อฮูหยินใหญ่เห็นสภาวะการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว จึงเกิดความคิดในใจขึ้นมาว่า โอกาสของตนเองมาถึงแล้ว
ในคืนนั้นหลี่เสี่ยวหรันกำลังพลิกตัวไปมาด้วยความกระสับกระส่ายเนื่องจากความกังวลภายในหัวใจ
ในขณะนั้น ฮูหยินใหญ่ได้ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเหงื่อที่ไหลท่วมบริเวณหน้าผากของตนเอง พร้อมกับอาการตื่นตระหนก
หลี่เสี่ยวหรันรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นฮูหยินใหญ่แสดงอาการเช่นนั้นและได้เอ่ยถามออกมาว่า:
“ฮูหยินเจ้าเป็นอันใดไป?”
นางแสดงอาการบางอย่างออกมาที่บ่งบอกถึงความสับสนภายในใจและกล่าวบางอย่างที่มิสามารถจับใจความได้
หลี่เสี่ยวหรันรู้สึกกังวลใจ และกล่าวว่า:
“เกิดอันใดขึ้น?”
แสงเทียนที่สาดส่องมาทำให้หลี่เสี่ยวหรันสังเกตเห็นว่า คางของฮูหยินใหญ่มีอาการสั่นสะท้าน
ราวกับว่า กำลังตกใจกลัวบางอย่างและขอบตาที่เขียวคล้ำนั้นบ่งบอกถึงความวิตกกังวลภายในใจอย่างเห็นได้ชัด
ฮูหยินใหญ่กอดตัวเองไว้แน่น ขณะที่ร่างของนางสั่นสะท้าน พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง:
“ท่านพี่! ข้าฝันร้าย!มันน่ากลัวมาก!”
และเมื่อรู้ว่านางเพียงแค่ฝันร้าย หลี่เสี่ยวหรันจึงล้มตัวลงนอน และเห็นได้ชัดว่า เขามิได้ใส่ใจในสิ่งที่นางเปล่าเลยแม้แต่น้อย
ฮูหยินใหญ่จึงเกิดความรู้สึกโกรธอยู่ข้างใน แต่นางพยายามอดกลั้นเอาไว้และกล่าวว่า:
“เมื่อครู่ข้าฝันถึง คนที่ทำจากไม้หลายคน และในมือของพวกเขามีไม้ที่พวกเขาใช้ทุบตีท่านพี่…“
เมื่อได้ยินเช่นนี้การแสดงออกของหลี่เสี่ยวหรันนก็แย่ลงทันที เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า:
“นี่มันเป็นความฝันแบบใดกัน!”
ฮูหยินใหญ่แสดงสีหน้าหนักใจ และหลังจากนั้นมินานนางก็กล่าวขึ้นว่า:
“ความฝันนี้อาจจะเป็นลางบอกเหตุได้หรือไม่?…”
หลี่เสี่ยวหรันมิได้กล่าวอันใดออกมา และมีแต่เพียงความรู้สึกกังวลใจที่เกิดขึ้นมาภายในเท่านั้น
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ในตอนที่จักรพรรดิขึ้นครองราชย์ได้เพียงมีนาน
ในปีนั้น ช่วงฤดูร้อนเกิดภัยแล้งอย่างหนัก และพวกต้องการแย่งชิงราชบัลลังก์ในเมืองหลวงได้ใช้วิธีการอันชั่วร้ายของพวกเขาในการชักจูงสามัญชน
บางคนถึงกับก่อความวุ่นวายในข้างหลังขององค์จักรพรรดิ
โดยการแนะนำให้นางสนมใช้วิธีการเกี่ยวกับมนต์ดำและคุณไสยบางอย่าง
เมื่อความลับถูกเปิดเผย เหล่านางสนมในวังหลังต่างก็เกิดความอิจฉาริษยาซึ่งกัน และกล่าวหาอีกฝ่ายว่าสาปแช่งองค์จักรพรรดิ
จักรพรรดิทรงพิโรธ และสั่งให้ค้นหาทั้งเมืองหลวง รวมทั้งในตำหนักของนางสนมและบ้านของสามัญชนหลายคน
ภายใต้การทรมานอย่างรุนแรง จึงได้พบสิ่งต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับลัทธิมนต์ดำนี้
สาวใช้และนางสนมของจักรพรรดิยอมรับว่า พวกนางถูกมนต์สะกดโดยไสยศาสตร์และใช้ลัทธิมนต์ดำเพื่อสาปแช่งจักรพรรดิและสาวใช้และนางสนมคนอื่น ๆ ในวังหลวง
เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก และทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากด้วยเช่นกัน
ผลที่ตามมาคือ จักรพรรดิทรงรับสั่งว่า ผู้ใดก็ตามที่พบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิมนต์ดำจะต้องถูกประหารชีวิตหรือเนรเทศ โดยไม่คำนึงถึงอายุหรือเพศแต่อย่างใด
ตอนนี้ฮูหยินใหญ่มีความฝันเช่นนี้มันบอกล่วงหน้าถึงอะไรบางอย่างหรือไม่?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลี่เสี่ยวหรันจึงนึกถึงการแพร่ระบาดของโรคระบาดเมื่อเร็ว ๆ นี้ จึงทำให้เขานอนมิหลับตลอดทั้งคืน
ฮูหยินใหญ่ฝันถึงคนที่จากไม้ และมันกำลังพุ่งเป้าไปที่เขา มันเป็นลางบอกเหตุร้ายหรือไม่?
ความคิดนี้ทำให้เขาเกิดความกังวลใจและมีอาการประหม่าเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และในช่วงกลางดึกได้ยินเสียงที่บริเวณหน้าต่าง ซึ่งปลุกให้หลี่เว่ยหยางตื่นขึ้นจากการหลับใหล
ไป๋จื่อรีบไปดูทันทีและกล่าวด้วยความรำคาญใจว่า:
“คุณหนู มันเป็นแค่เสียงลม มิมีอันใด บ่าวปิดมันเรียบร้อยแล้ว”
หลี่เว่ยหยางมิรู้ว่าเหตุใดจึงมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของตนเอง
นางจึงเช็ดมันเบา ๆ แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
นางมิรู้ว่า เหตุใดนางจึงมีความรู้สึกว่า ความหายนะกำลังจะมา…และมีลางสังหรณ์ที่เป็นลางร้ายเกิดขึ้นในหัวใจ…