ยอดหมอยาของอ๋องเสียน / หมอเทพเซียนของอ๋องเสียน - บทที่ 935 ประกาศขอเจรจาหย่าศึก
บทที่ 935 ประกาศขอเจรจาหย่าศึก
เป็นเวลานานกว่าซูมู่ไห่จะตามออกไป เฟิ่งหลิงหยุนวิ่งตลอดทางหลายสิบลี้ถึงจะหยุดลงมา ฟ้ามืดเฟิ่งหลิงหยุนลงไปพักผ่อน คนไปนั่งอยู่ข้างริมน้ำและกินอาหารแห้งที่นำมาด้วย
ซูมู่ไห่โกรธอยู่ทั้งวัน ในสมองคิดอะไรไปหลายสิ่งหลายมากมาย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆก็เข้าใจทุกอย่างชัดเจน
นั่งลง ซูมู่ไห่มองไปทางเฟิ่งหลิงหยุนที่ยังมีรูปร่างเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่: “เพราะอะไรเจ้าถึงช่วยข้า ปล่อยให้ข้าตายที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ? พวกเจ้าไม่เคยคิดที่จะให้ข้ามีชีวิตรอดอยู่แล้ว”
เฟิ่งหลิงหยุนหยิบเอาหมั่นโถวลูกหนึ่งให้กับซูมู่ไห่: “ถ้าเป็นจักรพรรดิ ก็ต้องไม่อยากให้เจ้ารอดชีวิตอยู่แล้ว เจ้ามีชีวิตอยู่ส่งผลกระทบต่อหนทางการเป็นจักรพรรดิ แต่หากเจ้าตายไป ในฐานะเพื่อน ข้าจะเสียใจ
คนเราก็ต้องเห็นแก่ตัวเล็กน้อย การมีชีวิตอยู่มีเวลาเพียงแค่เล็กน้อย ที่จะอยู่เพื่อตัวเอง”
ซูมู่ไห่มองดูเฟิ่งหลิงหยุน เป็นเวลานานถึงรับเอาหมั่นโถวไป หยิบเอาหมั่นโถวมาซูมู่ไห่กลับไม่ได้กิน เขากินมันไม่ลง
เขาหันกลับไปมองดูผิวน้ำ โยนหมั่นโถวที่อยู่ในมือทิ้งลงไปในน้ำ
“ข้าไม่มีหน้ากิน เพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้ทั้งประเทศชาติต้องตกอยู่ในอันตราย!”
“เจ้ามีชีวิตรอดกลับไป บางทีอาจจะยังมีความหวังอยู่เล็กน้อย จับข้าเอาไว้ ข่มขู่เขา เขาต้องไม่กล้าทำอะไรผลีผลามแน่” เฟิ่งหลิงหยุนพูดไปก็ดื่มน้ำไปคำหนึ่ง ซูมู่ไห่มองไป จู่ๆก็หัวเราะออกมา
“เจ้าล้อเล่นหรือ?”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น”
“แต่ว่าพวกเจ้าไม่ได้ทำเพื่อต้องการจะทำสงครามหรอกหรือ?”
“นั่นเป็นความคิดของเจ้า จุดประสงค์ของการทำสงครามก็เพื่อที่จะไม่ต้องทำสงคราม อาจจะต้องใช้เวลาหลายปีในการทำสงคราม หรือแม้กระทั่งหลายสิบปี เพราะทำเพื่อข้า แต่ข้าเป็นเพียงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ(โอกาสในการพลิกผัน)เท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการคือการค้ำจุน ข้าไม่อยู่ เขารู้สึกว่าพิชิตใต้หล้าลงมาได้ก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ตอนนี้มันต่างออกไป มีข้าอยู่ด้วย เขาถึงต้องการใต้หล้านี้ บางทีอาจจะแค่ยืนอยู่บนที่สูงแล้วมองดูความสมดุลของความรุ่งเรือง มองดูแผ่นดินกว้างใหญ่หลายหมื่นลี้แห่งนี้
แต่จุดประสงค์ของเขาไม่สามารถพูดได้แค่ว่าต้องการเพียงการมองจากที่สูงนี้เท่านั้น ความจริงในใจเขาคำนึงถึงอาณาประชาราษฎร์ในแผ่นดิน เขาหวังว่าจะไม่มีสงครามอีก ประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงและมีความสุขในการประกอบอาชีพ อย่างน้อยก็ซักหลายร้อยปี”
“……น่าขำ แล้วข้าไม่สามารถทำให้หนานอี้ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและมีความสุขในการประกอบอาชีพได้หรือ?”
“หนานอี้แปลกประหลาดมากเกินไป มีคนมีความสามารถที่รักชาติพร้อมที่เป็นแรงผลักดันในการปฏิวัติมากมาย แล้วประเทศก็ร่ำรวยประชาชนเข้มแข็ง เดิมก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว เจ้าก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ทำสงคราม ก็เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ประเทศเฟิ่งกับหนานอี้ร่วมมือกัน พวกเจ้าก็เป็นคนกระตุ้นให้เกิดสงครามก่อนไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าจะบอกว่า พิชิตลงมาได้แล้วก็จะไม่เกิดสงครามอีก เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะไม่มีคนไม่พอใจแล้วก่อการกบฏ?” ซูมู่ไห่โกรธเพราะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
“ถึงแม้จะโกรธเพราะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมแล้วอย่างไร พวกเจ้าที่สู้ไม่ไหว สามารถทำได้แค่พักฟื้นบำรุงรักษา ร้อยปีหลังจากที่พวกเจ้าได้รับการพักฟื้นแล้ว ก็เริ่มหันดาบต่อสู้กับด้านที่ตัวเองอยู่แล้ว ระหว่างร้อยปีนี้ กงชิงวี่จะปกครองแผ่นดินใหญ่ซื่อฟางนี้ให้ประเทศสงบประชาร่มเย็น เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปทำสงคราม ใครจะไปทำสงครามกับเจ้า หลายประเทศอยู่ด้วยกัน ย่อมมีการวางอุบายกันไปมา หลังจากรวมกันเป็นประเทศเดียวแล้ว ไม่ว่าจะก่อเรื่องกันอย่างไรก็เป็นความขัดแย้งภายใน ความขัดแย้งภายในก็เหมือนกับเด็กไม่เชื่อฟัง คนที่เป็นพ่อแม่ออกมาตำหนิ จะทำตัวเรียบร้อยอยู่ในระเบียบอย่างรวดเร็ว จะไม่มีความวุ่นวายจากภัยสงคราม นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่?”
ซูมู่ไห่ไม่เคยคิดจริงๆ ดังนั้นเขาก็ประหลาดใจเหมือนกัน
เขามองดูเฟิ่งหลิงหยุนอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่ง หันมองกลับไปทางผิวน้ำ จู่ๆก็หัวเราะออกมา แต่เขาหัวเราะอยู่ดีๆก็ร้องไห้ออกมา
เฟิ่งหลิงหยุนไม่อยากจะกระทบกระเทือนจิตใจซูมู่ไห่ ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขา นั่งอยู่กับซูมู่ไห่สักพักหนึ่ง ถึงลุกขึ้นเร่งเดินทางต่อ ทั้งสองวิ่งมาตลอดทั้งคืน มีคนสองกลุ่มออกมาขัดขวาง แต่คนทั้งสองกลุ่มล้วนถูกเฟิ่งหลิงหยุนฆ่าทั้งหมด เฟิ่งหลิงหยุนเป็นเหมือนกับผู้พิทักษ์ที่ไร้เทียมทาน ซูมู่ไห่เป็นเหมือนกับจักรพรรดิที่ประทับบนหลังม้า เขาแค่สนใจชมการต่อสู้ก็พอเรื่องอื่นๆไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น
คนล้มลงไปบนพื้นเฟิ่งหลิงหยุนหันกลับไปซูมู่ไห่ครู่หนึ่ง หน้าของนางถูกปิดเอาไว้ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เปิดเผยออกมา ทั้งสองมองหน้ากันซู่มู่ไห่ถึงจากไปอย่างรวดเร็ว เฟิ่งหลิงหยุนตามหลังเขาไป
หกวันทั้งสองถึงจะไปถึงชายแดนระหว่างสองประเทศ เฟิ่งหลิงหยุนกล่าวว่า: “เจ้าจับข้าตอนนั้นยังมีโอกาส”
“……” ซูมู่ไห่ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น หันหลังจากไปเลย
เฟิ่งหลิงหยุนโยนอะไรบางอย่างไปที่ม้าของซูมู่ไห่ ซูมู่ไห่มองดูเซียงหนัง(ถุงบุหงาจีน)ที่แขนอยู่บนตัวม้า หันกลับไปเฟิ่งหลิงหยุนจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว
เปิดเซียงหนังออกมา ข้างในมีจดหมายหนึ่งฉบับ
เป็นหนทางที่เฟิ่งหลิงหยุนคิดเอาไว้ให้เขา ไม่เพียงแต่จะสามารถรักษาหนานอี้เอาไว้ได้ ทั้งยังแพ้ได้ไม่น่าเกลียดขนาดนั้นอีกด้วย
ซูมู่ไห่หันหลังจากไปทันที เฟิ่งหลิงหยุนถึงได้หันหลังกลับมา ตามเข้าไปในหนานอี้ เข้าไปปกป้องซูมู่ไห่
ซูมู่ไห่ไปถึงวังหลวงหนานอี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าไปกลับถูกคนขวางเอาไว้ องครักษ์วังหลวงไม่ให้เขาเข้าไป บอกว่าเขาตายอยู่ข้างนอกแล้ว ตายที่ประเทศเฟิ่ง ถูกเฟิ่งหลิงหยุนฆ่าตาย ยังบอกอีกว่าหนานอี้กำลังจะนำกำลังทั้งหมดออกมาต่อสู้จนถึงที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย ต้องทำให้ประเทศต้าเหลียงพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
ด้วยความโกรธ ซูมู่ไห่สังหารหัวหน้าขององครักษ์วังหลวง ต้องการจะบุกเข้าไปให้ได้ แต่กลับถูกมือธนูปิดล้อมเอาไว้ในวัง
“เสด็จพ่อ!” ไม่สามารถเข้าไปได้ซูมู่ไห่คำรามด้วยความโกรธ
คนที่ออกมากลับเป็นไท่จื่อเฟย ไท่จื่อเฟยเห็นซูมู่ไห่ก็ยิ้มออกมา: “ไท่จื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ศีรษะถูกส่งกลับมาแล้ว พรุ่งนี้ก็จะส่งไปให้อ๋องเซ่เจิ้งแห่งประเทศต้าเหลียง เพื่อแลกความสงบสุขของหนานอี้ข้า เจ้าบังอาจแอบอ้างเป็นไท่จื่อ โทษสมควรตาย ทหาร!”
“บังอาจ เจ้ากล้าถ่ายทอดราชโองการเท็จ ดูท่าคนที่ขัดขวางข้าระหว่างทาง ก็คือคนของเจ้า”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร” ไท่จื่อเฟยก็ต้องไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว สายตาของนางดุดัน เกลียดเข้ากระดูกดำมานานแล้ว ตั้งแต่นาทีที่ซูมู่ไห่ตัดสินใจไปประเทศเฟิ่ง
ซูมู่ไห่กล่าวด้วยความโกรธ: “เสด็จพ่อข้าล่ะ?”
“ไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร ผู้แอบอ้างเช่นเจ้า จะมีเสด็จพ่อจากไหนกัน? หากเจ้าถามฮ่องเต้ ตอนนี้เขาสบายดี กำลังพักผ่อนอยู่
สังหารเขาเสีย!” ไท่จื่อเฟยออกคำสั่ง คนพวกนั้นยิงธนูไปที่เป้าหมายเดียวกันในเวลาเดียวกัน ซูมู่ไห่คิดว่าตายแน่แล้ว ตอนที่เขากำลังตกตะลึงอยู่นั้น เงาร่างสีแดงเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แวบผ่านไปด้วยความเร็วที่ไม่สามารถพรรณนาได้ อ้อมไปหนึ่งรอบและขวางลูกธนูทั้งหมดเอาไว้
ลูกธนูตกฮวบฮาบลงไปบนพื้น ไท่จื่อเฟยสะดุ้งตกใจ คนพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงล้มลงหมดสติลงไปบนพื้น
เฟิ่งหลิงหยุนขวางอยู่ข้างหน้าซูมู่ไห่ มองไปทางไท่จื่อเฟย ลูกธนูขนนกหนึ่งดอกที่อยู่ในมือพุ่งตรงออกไป ไท่จื่อเฟยถอยหลังซ้ำๆ ทหารอารักขาของนางพุ่งตัวออกมาขัดขวาง ลูกธนูทะลุหน้าอกของทหารอารักขายิงเข้าไปที่หน้าอกของไท่จื่อเฟย ไท่จื่อเฟยยืนไม่อยู่ ถอยหลังสองเก้า ยกมือทั้งสองขึ้นมาและนอนลงไปบนพื้น
ซูมู่ไห่ตะลึงไปครู่หนึ่ง มองไปทางเฟิ่งหลิงหยุน: “เจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
เฟิ่งหลิงหยุนมองซูมู่ไห่ครู่หนึ่ง: “ไม่วางใจ รีบไปกันเถอะ”
พูดจบนางก็เดินไปทางห้องนอนของฮ่องเต้หนานอี้ก่อน
ทั้งสองมาถึงห้องนอน บนพื้นมีคนคุกเข่าอยู่เต็มไปหมด กงเหยิน(นางสนมและสตรีในราชสำนัก)ร้องไห้จนหมดสภาพ ฮ่องเต้หนานอี้นอนหลับไป ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย
“ไท่จื่อ ฝ่าบาทฝ่าบาท……”
กงเหยิน(นางสนมและสตรีในราชสำนัก)ร้องไห้สะอึกสะอื้นกันแล้ว
ซูมฟู่ไห่เดินไปในพระตำหนักด้วยความรวดเร็ว ฮ่องเต้หนานอี้หน้าตาเหี่ยวแห้งอิดโรย นอนอยู่บนเตียงโล๋ห้านไม่มีลมหายใจเลยแม้แต่น้อย ซูมู่ไห่เดินเข้าไปด้วยความรวดเร็ว คว้ามือของฮ่องเต้หนานอี้มาจับเอาไว้: “เสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้หนานอี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งหลิงหยุนเดินไปข้างกายของฮ่องเต้หนานอี้ จับข้อมือของเขาเอาไว้แล้วตรวจให้เขา
“น่าจะถูกวางยาพิษ ข้าต้องปล่อยเลือดออกเล็กน้อยถึงจะสามารถรู้ได้ว่าเป็นพิษอะไร”
เฟิ่งหลิงหยุนหยิบมือออกมา ปล่อยเลือดให้ฮ่องเต้หนานอี้ หันหลังเดินไปแล้วเริ่มศึกษา
หนึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดก็ค้นคว้าออกมาแล้ว
เฟิ่งหลิงหยุนหยิบเอายาที่อยู่ในตัวออกมา ให้ฮ่องเต้หนานอี้กินเข้าไปก่อน จากนั้นก็กล่าวว่า: “เตรียมหญ้าอ้ายเอาไว้ให้ข้า……”
ซูมู่ไห่สั่งการทันที เขาลุกขึ้นนึกถึงเซียงหนังที่เฟิ่งหลิงหยุนให้เขา ประกาศขอเจรจาหย่าศึก!