ยอดหมอยาของอ๋องเสียน / หมอเทพเซียนของอ๋องเสียน - บทที่ 939 อาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไป
- Home
- ยอดหมอยาของอ๋องเสียน / หมอเทพเซียนของอ๋องเสียน
- บทที่ 939 อาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไป
บทที่ 939 อาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไป
อ๋าวชิงมองดูกงชิงหยุนเยนออกไป มองไปทางเฟิ่งหลิงหยุน: “ความจริงศึกครั้งนี้หากสู้กันอย่างเต็มที่ ต้องชนะอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงลูกชายทั้งหลายของกงชิงวี่ แม้จะเป็นเจ้าแม่ลูก(ลูกสาว)ก็ชักธงรบก็ชนะศึกแล้วเช่นกัน แล้วเหตุใดจะต้องทำให้เรื่องมันซับซ้อนมากขึ้นด้วยเล่า?”
“คนอื่นทำเพราะเหตุใดข้าไม่รู้ แต่ข้าทำเพื่อไม่ให้ประเทศเฟิ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก การทำสงครามหากไม่มีคนตายนั่นไม่ใช่การทำสงคราม แต่ว่าประชาชนเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องทำสงคราม เช่นเดียวอ๋าวเฉิงเสี้ยงนั่นแหละ”
อ๋าวชิงมองออกไปนอกพระตำหนักแล้วกล่าวว่า: “เช่นนั้นต่อจากนี้คือต้องให้พวกเขาสองประเทศเปิดศึกก่อน”
“เราจะร่วมมือกับหลิงหยุน เช่นนั้นก็ต้องให้กงชิงวี่ไปโจมตีหวูโยกั๋วก่อน แต่ว่าถึงแม้จุนโม่ซ่างจะอวดดีคิดว่าไม่มีใครสามารถเทียบกับตัวเองได้ แต่กลับเป็นคนใจเสาะ เสนาบดีของเขาถังหลงก็จะสนับสนุนไม่ให้ต่อสู้ พอจะถึงตอนสุดท้าย เราก็จะบีบให้เขาสู้”
“เช่นนั้นมงกุฎราชกุมารี……”
“เสี่ยวหยุนไปพบเขา เขาจะสนับสนุนการเป็นพันธมิตรของสามประเทศ เจ้าไปหาคนปลอมตัวเป็นคนของพวกเขา รอจนจุนโม่ซ่างจากไป แกล้งทำเป็นทำร้ายเสี่ยวหยุน เสี่ยวหยุนต้องส่งข่าวให้กับกงชิงวี่อยู่แล้ว เจ้าก็ค่อยปล่อยข่าวลือ จุนโม่ซ่างเข้าใจผิดคิดว่าเสี่ยวหยุนคือข้า วางแผนที่จะลักพาตัว ทำร้ายเสี่ยวหยุน
กงชิงวี่ให้ความสำคัญกับเสี่ยวหยุนขนาดนั้น จะโจมตีหวูโยกั๋วก่อน เขาผู้เป็นถึงกษัตริย์ จะต้องไม่ยอมจำนนในเวลานี้อยู่แล้ว”
อ๋าวชิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ: “เจ้าวางกลอุบายเช่นนี้ ช่างน่ากลัวจริงๆ!”
เฟิ่งหลิงหยุนมองอ๋าวชิง: “หากเจ้าทำเพื่อหยุนเจ๋ เจ้าก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน”
อ๋าวชิงคิดบางทีก็อาจจะใช่
กงชิงหยุนเยนไปพบจุนโม่ซ่าง เฟิ่งหลิงหยุนไปพบเซวียนเหอ
สามประเทศเตรียมร่วมมือกัน เซวียนเหอกับจุนโม่ซ่างถึงได้เร่งเดินทางมากะทันหัน เวลากระชั้นชิด ทุกคนต่างก็ไม่มีเวลามากพอที่จะไปคิด บวกกับตอนที่ซูมู่ไห่มาประเทศเฟิ่ง กงชิงวี่ก็เริ่มโจมตีหนานอี้แล้ว ทั้งสองต่างก็ไม่กล้าชะล่าใจ
เฟิ่งหลิงหยุนปรากฏตัว เซียวเหอกำลังมองดูภาพวาดภาพหนึ่งอยู่ในเรือน สถานที่ที่ใช้พบกันอยู่ในวังของเฟิ่งหลิงหยุน
ได้ยินเสียงเครื่องแต่งกายที่สลับซับซ้อนลากพื้น เซวียนเหอรู้ว่ามีคนมาแล้ว หันกลับไปมองขึ้นไปบนพระราชวังหลวง เฟิ่งหลิงหยุนสวมเสื้อคลุมหงส์สีเหลือง หยุดอยู่ข้างบนครู่หนึ่ง มองหน้ากันและกัน ถึงได้เดินลงมาจากด้านบน
อ๋าวชิงตามอยู่ด้านข้าง เฟิ่งหลิงหยุนกล่าวว่า: “อ๋าวเฉิงเสี้ยง ข้ากับฮ่องเต้หลิงหยุนเป็นสหายเก่า เจ้าลงไปก่อนเถอะ รอฮ่องเต้หวูโยมาแล้ว เจ้าค่อยมาบอกข้า”
“ค่ะ”
อ๋าวชิงจากไปก่อนก้าวหนึ่ง เฟิ่งหลิงหยุนเดิยลงมาจากบันได ข้างล่างมีเก้าอี้ เฟิ่งหลิงหยุนก็นั่งลงไป นั่งลงแล้วถึงเงยหน้ามองเซวียนเหอ เซวียนเหอมองสำรวจเฟิ่งหลิงหยุนตลอดเวลา จนกระทั่งเฟิ่งหลิงหยุนนั่งลงไป เขาถึงเดินไปแล้วนั่งลงไปด้วย
“ปีใหม่เจ้าก็สิบเอ็ดแล้ว” เซวียนเหอนึกถึงอายุของเฟิ่งหลิงหยุนตอนนี้ นึกขำขึ้นมาเล็กน้อย
สิบปีแล้ว สิบปีมานี้ เขามักจะนึกถึงนางตลอด เมื่อเทียบกับชวนเอ๋อ ถึงแม้จะน้อยกว่ามาก แต่นางตายไป สำหรับเขาแล้วก็กระเทือนจิตใจอยู่มาก
เฟิ่งหลิงหยุนมองเซวียนเหอครู่หนึ่ง: “พูดคุยกันเรื่องเก่าก็งดไปเถอะ คุยกันเรื่องสถานการณ์ของตอนนี้ ท่านคิดว่าเราจะสู้อย่างไรในศึกครั้งนี้?”
เซวียนเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “กงชิงวี่พิชิตหนานอี้ลงมาได้แล้ว เขาใช้เวลาไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ชำนาญการบังคับบัญชาการทำสงครามเช่นนี้ เกรงว่าสามประเทศรวมกันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ตอนนี้ก็ดูว่าจะสามารถยืนหยัดได้นานแค่ไหนเท่านั้นแล้ว”
“เจ้าอยากยอมแพ้?” เฟิ่งหลิงหยุนไม่สามารถฟังความหมายในความพูดของเซวียนเหอออกได้
“อยาก ขอเพียงประชาชนของหลิงหยุนข้าไม่เป็นไร ข้ายินดีศิโรราบ หากเขากงชิงวี่ฆ่าข้า ก็คือฆ่าขุนนางผู้ยอมศิโรราบ เป็นสิ่งต้องห้ามของพระราชา ข้ายินดีศิโรราบ ขอแค่เขาไม่ทำร้ายประชาชนของประเทศหลิงหยุนข้า”
เฟิ่งหลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าเซวียนเหอจะทำแบบนี้ อย่างไรก็เป็นคนฉลาด ยอมศิโรราบให้ผู้คนดูหมิ่น ก็จะไม่ทำร้ายประชาชน นี่ถึงจะเป็นคนที่มีเมตตากรุณา
หากซูมู่ไห่พ่อลูกสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ดีแล้ว เหตุใดถึงต้องมีคนมากมายขนาดนั้นด้วยเล่า
เฟิ่งหลิงหยุนยิ้มออกมา: “หากว่าเจ้ายอมศิโรราบ เช่นนั้นข้าก็จะศิโรราบ พอดีจะได้ยืมแสงสว่างของเจ้าด้วย”
“เจ้าจะยอมศิโรราบง่ายเช่นนี้หรือ วันนี้จุนโม่ซ่างไม่มาเสียที ก็เพราะตกหลุมพรางใช้ตาปลาเป็นไข่มุก(ของปลอมแสร้งของจริง)ของเจ้าแล้ว เดาว่าเขาคงยังนึกว่าได้พบกับเจ้าแล้ว ดีใจอยู่น่ะสิ?”
ถูกมองออกเฟิ่งหลิงหยุนยากที่ยากจะพูดอะไรอีก ลุกขึ้นกล่าวว่า: “วังเฟิ่งท่านไม่เคยมา ข้าจะพาท่านไปเดินดูรอบๆ”
“ได้”
เฟิ่งหลิงหยุนพาเซวียนเหอเดินไปรอบหนึ่ง ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว
จุนโม่ซ่างเห็นกงชิงหยุนเยนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน: “ไหนว่าเจอกันในวังไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาที่นี่ได้? ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดถึงข้าแล้ว ดังนั้นจึงมาเจอล่วงหน้าหรอกนะ?”
จุนโม่ซ่างนึกว่าคนที่มาคือเฟิ่งหลิงหยุน ไม่มีความกังวลมากขนาดนั้น
สีหน้าของเฟยยิงไม่น่าดู: “จุนโม่ซ่าง เจ้าพูดอะไรระวังปากหน่อย”
จุนโม่ซ่างเลิกคิ้ว สีหน้าไม่พอใจ: “บังอาจ ข้าเป็นคนที่เจ้าจะมาพูดได้ตามใจหรือ?”
เฟยยิงชี้กระบี่ไปที่จุนโม่ซ่าง: “ทางที่ดีเจ้าควรจะให้เกียรติจวิ้น……หยุนเอ๋อ อย่าพูดจาส่งเดช มิเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าเลือดสาดเดี๋ยวนี้”
ถังหลงตกใจไม่น้อย มองไปทางด้านเฟิ่งหลิงหยุนครู่หนึ่ง ถึงแม้จะเป็นอันหลิงหยุนกลับชาติมาเกิด ก็ไม่สามารถพูดจาเหลาะแหละเช่นนี้ เฟยยิงทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว
“ฝ่าบาท ท่านอย่าทำสะเพร่า เรามาเพื่อเป็นรวมตัวกัน ไม่ได้มาเพื่อสร้างปัญหา ยิ่งกว่านั้นมงกุฎราชกุมารีอายุยังน้อย ท่านจะพูดจาเหลาะแหละไม่จริงจังเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ถังหลงดึงจุนโม่ซางเอาไว้แล้วพูดเสียงเบา จุนโม่ซ่างถึงได้สะบัดแขนเสื้อแล้วไป
“องครักษ์ท่านนี้ ฝ่าบาทไม่ได้เจตนา ท่านก็อย่าหุนหันพลันแล่น อย่างไรก็เป็นการพบกันของสองประเทศ ไม่ดีที่จะพบปะกันด้วยอาวุธ!”
ถังหลงแก้สถานการณ์ เฟยยิงถึงวางกระบี่ลง
เสี่ยวหยุนมองเฟยยิงครู่หนึ่ง ถึงได้เดินไปนั่งลงด้านหนึ่ง กล่าวว่า: “วันนี้มาเพื่อถามท่านเรื่องการรวมตัวของสามประเทศ พูดเรื่องไร้สาระให้น้อยลงหน่อย”
จุนโม่ซ่างสีหน้าไม่พอใจ: “ไม่ได้พบกันหลายปี ทำไมเจ้าเย่อหยิ่งจองหองเช่นนี้ ดูเหมือนลูกสาวเจ้าคนนั้น”
เสี่ยวหยุนเลิกคิ้ว: “ทำไมหรือ? นางทำอะไรให้เท่านหรือ?”
“นางยังไม่กล้ามายุ่งกับข้า เพียงแต่ว่านิสัยนั่นเหมือนกับเจ้าเช่นนี้ ไม่ดีอย่างมาก วันหน้าไม่สามารถแต่งออกไปได้แน่”
เสี่ยวหยุนฮึเย็นชา: “พูดเถอะ พวกท่านวางแผนจะรวมตัวกันอย่างไร จะเริ่มเปิดศึกเมื่อไหร่?”
“เปิดศึกข้าดูแล้ว ค่อยๆคิดพิจารณาไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ นอกจากนี้การเปิดศึกก็ไม่ได้มีผลดีอะไรสำหรับเรา เจ้าก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับกงชิงวี่ เขาเป็นสามีเจ้า เวลานี้เขาเปิดศึก เจ้ากับเขา ก็ต้องแสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมาได้ยากอยู่แล้ว” จุนโม่ซ่างพูดจาน่าฟังมีเหตุมีผลเสียเต็มประดา เสี่ยวหยุนกลับทำหน้าดูหมิ่น หน้าไม่อายจริงๆ
จุนโม่ซ่างนั่งลง เสี่ยวหนุนถาม: “เช่นนั้นท่านคิดจะยอมจำนน?”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าว่าเจ้ากับข้าร่วมมือกันดีกว่า ให้หลิงหยุนไปสู้ อย่างไรเสียก่อนหน้านั้นพวกเขาก็เคยขัดแย้งกันมาก่อน ความสัมพันธ์ไม่ดีอยู่แล้ว ศัตรูพบหน้าต่างก็โกรธเกลียดกันมากขึ้นถูกไหม?”
“ท่านฝันไปเถอะ เช่นนั้นหากหลิงหยุนพ่ายแพ้แล้วล่ะ เราจะทำอย่างไร?”
“หากว่าพ่ายแพ้แล้ว เราก็สู้ไปพร้อมกัน” จุนโม่ซ่างต้องการจะให้ประเทศเฟิ่งสู้ก่อน แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ได้
เสี่ยวหยุนลุกขึ้น: “ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะกลับไปก่อน รอพวกเขาสู้กันขึ้นมา ประเทศเฟิ่งเราเปิดศึก ถึงเวลา ท่านยอมแพ้เป็นคนสุดท้าย”
พูดจบเสี่ยวหยุนก็จากไป จุนโม่ซ่างคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ หันกลับไปมอง คนก็จากไปแล้ว
แต่เขาคิดอย่างไร ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
กงชิงหยุนเยนออกจากประตูและตามเฟยยิงไปที่รถม้า ยังไม่ทันจะถึงก็มีคนพุ่งตัวออกมา สิบกว่าคนโจมตีไปยังกงชิงหยุนเยน เฟยยิงรีบพุ่งออกไปทันที แต่กลับได้รับการส่งสายตาของอีกฝ่าย เฟยยิงเข้าใจและแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บ อีกฝ่ายใช้ฝ่ามือตีไปที่หัวเสี่ยวหยุน เสี่ยวหยุนเลือดไหลที่มุมปาก คนล้มลงไปบนพื้น เฟยยิงกระโจนตัวเข้าไป อุ้มคนเอาไว้
รอคนจากไป บนพื้นมีดาบโยนทิ้งอยู่สองสามเล่ม เฟยยิงเก็บขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่ง ข้างบนมีสัญลักษณ์อันหนึ่ง เฟยยิงดูออกในทันที สัญลักษณ์เป็นของหวูโยกั๋ว
ถึงได้ล้อมรอบอี้จั้น(ศาลาพักม้า)ที่จุนโม่ซ่างพักอยู่เอาไว้ จุนโม่ซ่างพบความผิดปกติ เฟยยิงอุ้มเสี่ยวหยุนเข้าประตู ออกคำสั่งให้ฆ่าครั้งใหญ่ จุนโม่ซ่างกำลังคนน้อยกว่าสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ได้แต่อาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไป