ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 227 พูดจริง คำพูดนี้มีผลตลอดไป
นางจดจ้องไปยังสตรีในอ้อมพระอุระของฮ่องเต้ด้วยสายตาชั่วร้าย ประกายตาเปี่ยมไอสังหารอย่างไม่อาจปิดบัง
คนในวังเห็นนางใบหน้ามีแต่เขม่าควันก็ยังทำท่าเคียดแค้นออกมา ความรู้สึกดีที่เดิมก็มีให้อยู่เพียงน้อยนิดพอมายามนี้จึงไม่มีเหลืออยู่อีก
ตอนนี้หลักฐานล้วนประจักษ์ชัดว่าเหยียนเฉียวหลัวไม่บริสุทธิ์ใจ นางร่วมมือกับศพคืนชีพเล่นงานไทเฮา
ไม่แน่ว่าเบื้องหลังของการให้ร้ายไทเฮาในครั้งนี้ยังมีแผนการชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่อันใดอยู่อีกก็เป็นได้
เรื่องระหว่างแว่นแคว้น ไหนเลยจะเรียบง่ายธรรมดา
เหยียนเฉียวหลัวมิได้สนใจสายตาของชาวต้าโจว นางเพียงแต่หันไปหาจีเฉวียน กล่าวอย่างโศกเศร้าประโยคหนึ่ง “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเป็นผู้บริสุทธิ์!”
“บริสุทธิ์กับผีน่ะสิ!” ซูเม่ยกับหยวนเฟยส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน
เหยียนเฉียวหลัวโทสะพุ่งปรี๊ด ไม่ทันที่นางจะได้พูดจา ก็ได้ยินฮ่องเต้ทรงเอ่ยพระโอษฐ์ขึ้นมาบ้าง “เหยียนเฉียวหลัว เราเห็นแก่ที่เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งต้าเหยียน จะไว้ชีวิตของเจ้าสักครั้ง”
แต่ยามที่เขาตรัสประโยคนี้ออกมาสายพระเนตรกลับเย็นชาหาใดเปรียบ
เหยียนเฉียวหลัวปาดเช็ดเขม่าควันบนใบหน้า กล่าวต่อไปโดยไม่ยอมกลับคำพูดว่า “ฝ่าบาท แม้แต่พระองค์ก็ยังไม่เชื่อหม่อมฉันหรือเพคะ?”
ทำไมเขาถึงได้ลืมเสียแล้วว่าตอนยังเด็กพวกเขาเคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ครั้งนั้นพวกเขาเกือบจะตายอยู่ในหอคอยมรณะด้วยกันแท้ๆ
ในโลกนี้จะยังมีสตรีคนใดยินยอมร่วมเป็นร่วมตายกับเขาเหมือนนางได้อีก?
จีเฉวียนไม่ใส่พระทัยกับสายตาคับแค้นของนาง เพียงตรัสออกมาอย่างเฉยชาประโยคหนึ่ง “ให้ฮ่องเต้เฒ่าของเจ้าส่งมอบสามเหลี่ยมเหยียนตงมาแลกกับคน”
พอเหยียนเฉียวหลัวได้ยิน ก็ระเบิดเสียงออกมาในทันที “อะไรนะ?”
สามเหลี่ยมเหยียนตง คือดินแดนเขตตะวันออกของแคว้นเหยียน ติดกับแคว้นต้าโจว ที่ผ่านมาสองแคว้นต่างก็แย่งชิงดินแดนแถวนี้กันมาตลอด พอเขาเอ่ยปากออกมาก็ต้องการดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตง?
ดินแดนแถบนั้นมิได้อุดมสมบูรณ์ แต่ว่ากลับเป็นชัยภูมิที่สำคัญอย่างยิ่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นปราการธรรมชาติทางทิศตะวันออกของแคว้นเหยียน มีส่วนช่วยป้องกันการบุกรุกจากภายนอกได้มากทีเดียว
หากว่าจีเฉวียนได้ดินแดนแถบสามเหลี่ยมเหยียนตงนี้ไป ทิศตะวันออกของแคว้นเหยียนก็เท่ากับว่าถูกฉีกออกเป็นช่องขาดแห่งหนึ่ง ถือเป็นภัยคุกคามชีวิตของแคว้นต้าเหยียน
เหยียนเฉียวหลัวมองดูเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ที่แท้……เขาก็มีแผนการณ์จะจัดการแคว้นเหยียนตั้งแต่แรกแล้ว
แคว้นต้าเหยียนและต้าโจวเป็นเพื่อนบ้านกัน สองแคว้นดูเผินๆ เป็นมิตรต่อกัน แต่ที่จริงแล้วกลับแย่งชิงเนื้อติดมันอย่างแดนเป่ยเจียงกันมาตลอด
กระทั่งเมื่อจีเฉวียนขึ้นครองราชย์ ส่งตู๋กูถิงไปตีแดนเป่ยเจียง แคว้นเหยียนถึงได้พ่ายแพ้ในการแย่งชิงดินแดนเป่ยเจียง
ตอนนี้เห็นอยู่แล้วว่าต้าโจวใกล้จะยึดเอาดินแดนเป่ยเจียงทั้งหมดมาได้แล้ว ดังนั้นอย่าว่าแต่ต้าเหยียนเลย แคว้นอื่นๆ เองต่างก็นั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ความต้องการและความทะเยอทะยานของจีเฉวียนจะมาถึงแคว้นเพื่อนบ้านเร็วขนาดนี้
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ฝ่าบาททรง…….บ้าบิ่นเกินไปแล้ว
ถึงกับกล้ากักขังองค์หญิงแคว้นต้าโจวเอาไว้ แล้วให้แคว้นต้าโจวส่งมอบดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงออกมา เรื่องนี้เขาจะต้องมีความมั่นใจมากพอถึงจะกระทำได้
นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์จนถึงบัดนี้ ทุกการตัดสินพระทัยนั้นล้วนทำไปเพื่อผลประโยชน์ของแคว้นต้าโจวทั้งสิ้น
พวกเขาเพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะทรงเผชิญหน้ากับแคว้นต้าเหยียนด้วยทีท่าที่แข็งกร้าวเช่นนี้
แต่ว่า ตอนนี้ผู้ที่ปราศจากเหตุผลก็คือองค์หญิงแคว้นเหยียน นางร่วมมือกับศพคืนชีพทำร้ายไทเฮา ทำเอาวังหลวงของต้าโจวไร้ซึ่งความสงบสุข หากว่าแคว้นต้าเหยียนไม่ยอมนำสิ่งใดมาชดใช้แทนผู้คน นี่ก็คงจะต้องพูดกันยากแล้ว
“นำตัวองค์หญิงแคว้นเหยียนไปตำหนักหุยหยุนกง” จีเฉวียนคร้านจะเอ่ยคำไร้สาระกับนางอีกต่อไป จึงเรียกองครักษ์ลับให้จับคนไปในทันที
ตำหนักหุยหยุนกง ชื่อนี้แม้จะน่าฟัง แต่ที่จริงแล้วก็คือตำหนักเย็น
ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้สึกว่าตำหนักเย็นหลังนี้มีอาถรรพ์แรง กักขังมาแล้วทั้งพระสนม ไทเฮา ท่านอ๋อง ตอนนี้แม้แต่องค์หญิงต่างแคว้นก็ยังถูกส่งเข้าไป
ซิวคิดจะขัดขืน แต่กลับเห็นว่าองครักษ์ลับชิงลงมือคุมตัวองค์หญิงไปก่อนเขาก้าวหนึ่ง
ซิวไม่กล้าวู่วาม จึงได้แต่กำหมัดเอาไว้อย่างแนบแน่น
ที่ผ่านมาองค์หญิงทรงปรีชาเกินผู้ใด คิดไม่ถึงว่าจะทรงมาเสียรู้ในแคว้นต้าโจว
พอจบเรื่องแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงกวาดพระเนตรเย็นชาไปทางฝูงชนครั้งหนึ่ง สายพระเนตรกระจ่างขึ้นเล็กน้อยยามเมื่อกวาดผ่านมุมมืด
อันหร่วนที่อยู่ในมุมมืดรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที
ศพคืนชีพเฒ่านั่นมิได้เปิดเผยตัวตนของนาง แต่กลับทำให้นางรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเข็ม พอคิดถึงว่าจีเฉวียนอาจจะเกิดความสงสัยมาถึงตัวนางก็ได้ นางก็ร้อนใจขึ้นมา
พอศพคืนชีพผู้นั้นถูกองครักษ์ลับลากออกไป ฮ่องเต้ก็เก็บสายพระเนตรกลับมา รับสั่งให้หยวนเฟยพาซูเม่ยกับไปพักผ่อนรักษาครรภ์ให้ดี
พระองค์เองก็หมุนพระองค์นำตู๋กูซิงหลันหายลับไปจากสายตาของฝูงคน
ผู้คนทั้งหลายจึงค่อยคิดขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นแม้กระทั่งใบหน้าของท่านเซียนเสียด้วยซ้ำ?
ท่านเซียนหญิงที่ถูกฝ่าบาททรงอุ้มเอาไว้ตลอดเวลาที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่?
…………………………
จีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันกลับมาที่พระตำหนักตี้หัว
สำหรับพระตำหนักตี้หัว ตู๋กูซิงหลันนับว่าคุ้นเคยจนไม่อาจจะคุ้นเคยไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะแม้แต่พระแท่นบรรทมในพระตำหนักตี้หัวนางก็ยังเคยค้างคืนมาแล้ว
ยามนี้ คนก็ถูกจีเฉวียนจับมานอนอยู่บนพระแท่นบรรทมเสียด้วยซ้ำ
ประตูและหน้าต่างชั้นนอกของพระตำหนักตี้หัวกงถูกปิดเอาไว้อย่างแนบสนิท ห้องชั้นในจุดตะเกียงเอาไว้เพียงดวงเดียว แสงเทียนสีส้มทำให้ทั่งห้องดูอบอุ่นขึ้นมา
ในห้องบรรทมมีเพียงพวกเขาสองคน พอจีเฉวียนทรงวางนางลงบนแท่นบรรทม ก็ปลดม่านลงมาครึ่งหนึ่ง พระองค์ประทับลงที่ข้างแท่นพระบรรทม สีพระพักตร์เย็นชา
คราวนี้ดวงเนตรหงส์คู่นั้นจับจ้องนางอย่างไล่บี้ “รู้ความผิดแล้วหรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขานวดพระหัตถ์ที่แข็งค้าง นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าติดๆ กัน “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ข้าควรจะกินให้น้อยลงสักหน่อย ฝ่าบาทจะได้มิต้องทรงอุ้มข้าจนเมื่อยเช่นนี้”
จีเฉวียน “…..” นางยังจะกล้าพูดเช่นนี้อีก
ทั้งๆ ที่ในพระทัยขุ่นเคือง กลับยื่นพระหัตถ์มาเคาะหน้าผากของนางครั้งหนึ่งอย่างแผ่วเบา
จากนั้นก็ได้ยินพระองค์ตรัสออกมาว่า “ไปสู้หลังชนฝากับตัวประหลาดตัวหนึ่ง หากว่าเจ้าเกิดตายไป…..”
เราจะทำยังไง?
พอตู๋กูซิหลันได้ยินเขาตรัสออกมา คนก็ขนลุกขนพองขึ้นมาในทันที “ไม่ ไม่ ไม่ หม่อมฉันยังคิดจะมีอายุยืนยาวนับร้อยปี อยากจะเห็นพระโอรสและพระนัดดาจากฝ่าบาท หม่อมฉันจะไม่ยอมตาย!”
สักวันหนึ่งนางจะต้องไปจากโลกใบนี้ กลับไปยังโลกปัจจุบัน
แต่รับรองว่าจะต้องไม่ใช่เย็นเป็นศพกลับไปอย่างแน่นอน
ชีวิตเดียวที่มีนางย่อมอยากจะรักษาเอาไว้ให้ได้ ยามที่สู้กับตัวประหลาดผู้นั้น นางก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องออกไปตาย
เพียงแต่ผลาญพลังที่อยู่ในหยกสรรพชีวิตไปจนหมดสิ้น ทั้งร่างเนื้อและดวงจิตได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง
หากมิใช่เพราะว่าจีเฉวียนทรงให้นางกลืนยาช่วยชีวิตเม็ดนั้นลงไปอย่างทันท่วงที เกรงว่านางในตอนนี้คงยากจะเอ่ยว่าจะสักหลายคำได้
ทุกครั้งยามที่จีเฉวียนทรงมีพระประสงค์จะเผยความรู้สึกที่ลึกซึ้งออกมา นางเป็นต้องกระโดดออกมากล่าววาจาสักสองประโยคดับต้นเพลิงจนหมดสิ้น
ผ่านไปอีกพักใหญ่ จีเฉวียนถึงได้ตรัสออกมาประโยคหนึ่ง “เรายังไม่ได้อนุญาตให้เจ้าตาย แล้วเจ้าจะตายได้อย่างไร?”
ตู๋กูซิงหลัน “………” ฝ่าบาทตรัสอย่างเอาแต่พระทัยถึงเพียงนี้ กดน้ำหนักลงมาบนบ่าไหล่ของนาง มันมากพอที่จะกล่าวได้ว่า “ตู๋กูซิงหลัน ที่หลังยามที่พบกับสัตว์ประหลาด หากสู้ไม่ได้ก็หนี ได้ยินแล้วหรือไม่?”
ตู๋กูวิงหลัน “?”
พี่ชาย มิใช่ว่าข้าไม่คิดจะหนี ประเด็นสำคัญก็คือว่า หนีไม่พ้นต่างหากเล่าโว้ย!
จีเฉวียนอ่านสายตาของนางก็ตรัสอีกว่า “หนีมาทางพระตำหนักตี้หัวกงสิ เราเป็นโอรสสวรรค์ ย่อมไม่หวาดกลัวผีปีศาจ”
ตู๋กูซิงหลันคิดๆ ดูอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนั้นที่อยู่ในสุสานของเย่วฮูหยิน ไอ้หนุ่มนี้มิใช่ว่าเพราะหวาดกลัวขึ้นมาถึงได้คว้าเท้าของนางเอาไว้หรอกหรือ ถูกนางถีบจนหน้ามีรอยเท้าติดอยู่ไปรอบหนึ่งมิใช่หรือไร?
อ๋อ….ไม่ถูกสิ เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ใช้ดาบเดียวสังหารงูยักษ์ทิ้ง
“ขอเพียงแค่เจ้ามาหาเรา เราย่อมต้องปกป้องเจ้าอย่างแน่นอน” จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูสีหน้าที่บื้อใบ้ของนาง ก็ตรัสดั่งให้คำสัญญาออกไปอีกประโยคหนึ่ง “คำพูดนี้มีผลตลอดไป”
——
คุยกันนิดนึง: อ้ายย่าห์ แบบนี้มันจะต่างกับคำว่า ‘เราจะปกป้องเจ้าตลอดไป’ ตรงไหนละคะพี่เต้ งุ้ยส์