ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 233 อยากต่อยตีไหม?
เหยียนหยุน “ข้า….”
“ข้าอะไรของท่าน?” ตู๋กูเจวี๋ยไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้เปิดปากเลยแม้แต่น้อย “ดังนั้นเพราะว่าเหยียนเฉียวหลัวมิใช่น้องสาวร่วมมารดาเดียวกันกับท่าน ท่านก็สามารถไปโป้ปดหลอกลวงฮ่องเต้ของท่านได้ เพียงแค่เดินทางมาต้าโจวรอบหนึ่ง ที่จริงไม่ได้คิดจะพาตัวนางกลับไปเลยสักนิดใช่หรือไม่?”
เหยียนหยุนอยากจะหาเข็มสักเล่มมาเย็บปากของเขาเอาไว้จริงๆ
ฮ่องเต้ต้าโจวทรงเป็นจอมมารหรืออย่างไร? ถึงได้เจาะจงไปเสาะหาไอ้ตัวแสบเช่นนี้มาเล่นงานเขา
เขาหันไปเหลือบมองจีเฉวียน เห็นจีเฉวียนประทับนั่งอย่างสง่างามอยู่บนบัลลังก์ ด้วยท่าทางที่มิได้คิดจะห้ามปรามอะไรตู๋กูเจวี๋ยเลยสักนิด
คราวนี้ เหยียนหยุนถึงได้เข้าใจ ว่าจีเฉวียนนั้นจงใจต่างหาก
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ลง ฝืนทนเสียงหวี่ๆ ของแมลงวันที่ริมหู หันไปถวายคำนับจีเฉวียนอีกครั้งหนึ่ง “ฝ่าบาท กระหม่อมมาด้วยความจริงใจ เฉียวหลัวนั้นเอาแต่ใจไปบ้าง นางทำผิด แคว้นต้าเหยียนของเราย่อมต้องชดเชยให้ หากเป็นการทำการค้ายังต้องมีการต่อรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน เรื่องระหว่างสองแคว้นนั้นย่อมไม่ง่ายดาย ขอฝ่าบาททรงประทานโอกาสให้พวกเราได้พูดคุยกันอย่างละเอียด”
ปากที่เป็นดั่งกระบอกปืนใหญ่ของตู๋กูเจวี๋ย ทำเอาเหยียนหยุนกลัวเข้าแล้วจริงๆ
ยามนี้เขายินดีจะเผชิญหน้ากับฮ่องเต้แห่งต้าโจวที่เย็นชาเป็นน้ำแข็ง แต่ไม่ขอทนฟังขุนนางอวี้ซื่อแห่งเมืองหลวงผู้นั้นอีกแม้แต่ครึ่งคำ
จีเฉวียนมิได้ทรงตรัสอะไร หากแต่ประทับอยู่บนบัลลังก์เช่นนั้น นางกำนัลผู้หนึ่งเข้ามาถวายน้ำชา พระองค์ก็ทรงรับมาถือไว้ พลางหมุนถ้วยในพระหัตถ์เบาๆ ดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังกวาดอยู่บนร่างของเหยียนหยุนอย่างช้าๆ
พอเห็นเช่นนี้รัชทายาทแคว้นเหยียนก็ทรงขนลุกขึ้นมา
ปีนี้เขามีอายุครบยี่สิบห้าปีแล้ว ฮ่องเต้ต้าโจวอ่อนกว่าเขาหนึ่งปี แต่ว่าราศีระหว่างคนทั้งสองกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะมีเพียงตาเปล่า
ตอนที่ยังอยู่ในแคว้นต้าเหยียนนั้น จีเฉวียนเป็นเพียงแค่ตัวประกันคนหนึ่ง คิดถึงตอนนั้นเขาเหยียบย่ำคนผู้นี้เอาไว้ใต้เท้า คิดไม่ถึงว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไป จีเฉวียนกลับกลายเป็นถึงประมุขของแคว้นหนึ่งแล้ว
เหยียนหยุนเกิดมาก็ถือดีมาโดยตลอด ด้วยเพราะเขามีรูปลักษณ์สูงส่งสง่างาม ทั้งยังเฉลียวฉลาดรู้จักวางแผน เขาเป็นรัชทายาทแห่งแคว้นเหยียนถือว่าสูงส่งมิว่าใครก็ต้องเคารพนพนอบ ที่ผ่านมาเขาล้วนแต่มีความมั่นใจในตนเองมาโดยตลอด มีแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจีเฉวียน ความรู้สึกที่เหนือกว่าอยู่ตลอดนี้ถึงได้ถูกกดดันจนไม่เหลืออยู่อีก
ยามที่จีเฉวียนจดจ้องมองมา เหยียนหยุนก็อดไม่ได้ที่จะคิดย้อนกลับไปยังคืนวันที่จีเฉวียนเคยอยู่ในต้าเหยียน
ตู๋กูเจวี๋ยถึงแม้จะเป็นคนพูดมาก แต่เขาก็รู้จักดูสีหน้าผู้คน ยามนี้จึงได้ปิดปากลง รอให้ฝ่าบาทมีรับสั่งออกมา
ผ่านไปอีกพักใหญ่จึงค่อยได้ยินจีเฉวียนมีรับสั่งว่า “รัชทายาทแคว้นเหยียน คิดจะคุยกับเราย่อมต้องมีข้อต่อรอง เจ้ามีหรือ?”
เหยียนหยุนตกตะลึงไป เขาต้องมีอะไรนะ?
เขาเป็นถึงรัชทายาทแคว้นเหยียนด้วยฐานะที่แสนสำคัญเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะเจรจากับเขาแล้วนี่ จีเฉวียนยังจะต้องการให้เขามีอะไรอีก?
เหยียนหยุนรู้สึกว่าตนเองถูกดูถูกอย่างรุนแรง
ในสายตาของจีเฉวียน เห็นเขาเป็นแค่สวะหรืออย่างไร?
“ฝ่าบาท ที่จริงหม่อมฉันจริงใจอย่างที่สุดแล้ว หากว่าต้าโจวไม่คิดจะเจรจาเลยสักนิด มิตรภาพที่ต้าเหยียนและต้าโจวมีมานานตลอดหลายปีมานี้ เกรงว่าคงต้องกลายเป็นฟองอากาศไปหมดแล้ว” เหยียนหยุนเหยียดตัวตรง ไพล่หัตถ์ข้างหนึ่งไปด้านหลัง
เขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ราวกับจะไม่ยอมถอยให้จีเฉวียนเลยแม้แต่น้อย
ในอีกไม่ช้าไม่นานเขาเองก็จะเป็นฮ่องเต้ของต้าเหยียน สถานะไม่มีทางต่ำต้อยไปกว่าจีเฉวียน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นรัชทายาท แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจีเฉวียนก็ไม่จำเป็นจะต้องถ่อมตัวเกินไป
มีแต่แคว้นที่อ่อนแอจึงจะต้องพึ่งพาสิ่งของมาแลกเปลี่ยน แคว้นต้าเหยียนและต้าโจวนั้นต่างก็มีอำนาจยิ่งใหญ่ ฐานะของพวกเขาก็เกือบจะเสมอกัน แล้วเรื่องอะไรเขาจะต้องมาถอยให้ด้วย?
จีเฉวียนทรงฟังแล้ว พระโอษฐ์บางก็ขยับน้อยๆ ตรัสออกมาเบาๆ เพียงไม่กี่คำ “อยากจะตีกันไหม?”
แต่ไม่กี่คำนั้นถึงกับทำให้เหยียนหยุนถึงกับหัวใจชาวาบ!
เมื่อฮ่องเต้ตรัสว่าจะตีกัน ย่อมมิใช่เรื่องธรรมดา!
ระหว่างคนต่อคนเรียนว่า ต่อยตี แต่ถ้าเป็นระหว่างแคว้นต่อแคว้น นั่นเรียกว่าสงครามนะ!
เดิมทีเขาคิดจะให้อำนาจของแคว้นต้าเหยียนมาข่มขู่จีเฉวียนสักรอบ คิดไม่ถึงว่าไปโดนใจของจีเฉวียนถึงขนาดนี้ เขาคิดจะเปิดสงคราม?
นับแต่โบราณ ก่อศึกพึงมีเหตุ
หากว่าเรื่องนี้เป็นต้าเหยียนของพวกเขาชิงท้าขึ้นมาก่อน แล้วต้าโจวตอบโต้เพื่อป้องกันการรุกรานของศัตรู นั่นก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
ยามนี้ ตู๋กูเจวี๋ยเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
เมื่อครู่นี้อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนผู้นี้ดุดันอหังการดีแท้
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบหน้าบุรุษตระกูลจีสักเท่าไร แต่เขาก็ต้องยอมรับ ว่าเขาเองก็ถูกทำให้ประหลาดใจเข้าแล้ว
จีเฉวียนหมุนถ้วยชาในพระหัตถ์ ประทับนั่งอย่างอหังการ “หากเจ้าคิดจะต่อยตี เราก็พร้อมสนอง”
ว่าแล้ว พระองค์ก็กระแทกถ้วยชาในพระหัตถ์ลงบนโต๊ะ
ได้ยินเสียง ‘เพล้ง’ ดังสนั่นน้ำชาสาดออกมาทั้งสี่ทิศแต่กลับไม่เปื้อนพระหัตถ์สักหยด
ฝ่าบาททรงจ้องไปทางองค์รัชทายาทแคว้นเหยียน “อยู่แผ่นดินของเรา หากกล้ากำแหงย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมา หากว่าพวกเจ้าไม่ต้องการเหยียนเฉียวหลัวแล้ว พรุ่งนี้เราจะประกาศออกไปทั่วแผ่นดิน ประหารนางทิ้งเสีย สังเวยให้แก่กฎของต้าโจว ให้คนทั่วทั้งแผ่นดินได้รับรู้ว่า แคว้นต้าโจวของเรา ไม่ใช่ที่ที่ใครก็จะมาหยามหยันได้”
เหยียนหยุนมองดูน้ำชาที่ไหลลงหยดจากโต๊ะไปทั่วทุกทางก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้เห็นเลือดสดจำนวนมากไหลออกมา
ดวงเนตรของจีเฉวียนเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งในฤดูหนาว ทำเอาเหยียนหยุนหนาวจนใจสั่นขึ้นมา
“รัชทายาทแคว้นเหยียน ต้องการให้ข้าแปลให้ท่านฟังหรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยยืนอยู่ด้านข้าง ก็กระพือลมโหมไฟเข้าไปอีก “ความหมายของฝ่าบาทก็คือ ผู้หยามหมิ่นต้าโจวเรา ไม่ว่าอยู่ที่ใดพึงสังหาร” [1]
“หากว่าท่านยังไม่เข้าใจ ข้าจะบอกให้ชัดกว่านี้ก็ได้….”
เหยียนหยุนหันไปส่งสายตาคมกริบปานดาบเล่มหนึ่งให้แก่เขา “องค์ชายเช่นเรามิใช่คนโง่ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาพล่ามให้ฟัง”
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ไม่ได้พบกันหลายปี จีเฉวียนก็เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้
จำได้ว่าตอนนั้น ยามที่จีเฉวียนพึ่งจะมาถึงแคว้นเหยียน เป็นเพียงเด็กตัวผอมที่ขนยังไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ ทั้งวันเอาแต่เงียบขรึมไม่พูดไม่จา
ใครรังแกเขาเขาก็ไม่ตอบโต้ คนราวกับซุงท่อนหนึ่ง
ใครจะไปนึก ว่าท่อนซุงในวันนั้น จะกลายเป็นฮ่องเต้เช่นนี้?
เหยียนหยุนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ค่อยตรัสตอบว่า “สรุปแล้ว ดินแดนสามเหลี่ยมเหยียนตงไม่อาจยกให้แก่ต้าโจวได้อย่างเด็ดขาด การเสียดินแดนนับเป็นความอับอายอย่างยิ่งใหญ่ของแว่นแคว้น ความทรนงแค่นี้กระหม่อมย่อมต้องมีอยู่”
ตรัสแล้ว เขาก็โบกหัตถ์ขึ้นมา ผู้คนที่ติดตามมาก็ส่งม้วนบันทึกฉบับหนึ่งมาถวาย
เหยียนหยุนประคองม้วนบันทึกเอาไว้ในหัตถ์ กราบทูลจีเฉวียนว่า “ทรัพย์สินเงินทอง ผ้าไหมแพรพรรณเหล่านี้ ถือเป็นการแสดงน้ำใจอย่างที่สุดของต้าเหยียนเราแล้ว หากว่าฝ่าบาทมิทรงรับไว้ คิดจะตีกันให้ได้จริงๆ ต้าเหยียนเราก็ไม่เกรงกลัว!
ตรัสจบแล้ว หลี่กงกงก็เข้ามารับม้วนบันทึกไป นำไปถวายที่เบื้องพระพักตร์ของจีเฉวียน
ฮ่องเต้เพียงกวาดพระเนตรมองผ่านๆ ครั้งหนึ่ง สิ่งของเหล่านี้มีค่าเพียงแค่หนึ่งในสิบของทรัพย์สินของตระกูลรองมหาเสนาบดีเท่านั้น
“องค์หญิงของแคว้นเจ้ามีค่าเพียงเท่านี้เองนะหรือ?” ตู๋กูเจวี๋ยกรอกตาขาวใส่ “ฮ่องเต้แคว้นเหยียนจนมากเลยหรือยังไง?”
เขาเคยนึกว่าจีเฉวียนงกมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นเหยียนจะเค็มยิ่งกว่า
ตอนนี้พอเหยียนหยุนเห็นหน้าของเขาเป็นต้องรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปอาละวาด สองหัตถ์ของเขาซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ สีหน้าไม่น่าดูอย่างที่สุด
“ฝ่าบาท พวกเราได้ส่งมอบความจริงใจออกไปแล้ว หากว่าพระองค์ยังไม่ปล่อยคน พวกเราก็จะไม่เกรงใจแล้ว”
จีเฉวียนใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งเท้าคางจดจ้องดูเขา ดวงเนตรหงส์คู่นั้นทอประกายออกมา แววเนตรที่เย็นยะเยือกแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังสบพระทัยในบางสิ่ง
เหยียนหยุนรู้สึกขนลุกชันขึ้นมา สายตาที่จีเฉวียนมองดูเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีหมาป่ากำลังมองแกะอ้วนพี
——
[1] 犯我大周者,虽远必诛!
——
คุยกันนิดนึง:
เฉวียนเฉวียน: แม่ขอบอกก่อนเลยนะ อะไรที่ไม่สะอาดห้ามกิน! เข้าใจไหมลูก เดี๋ยวท้องเสีย ของไม่ดีให้ทิ้งให้หมาไปค่ะ
ไรท์: ในตอนนี้มีประโยคเด็ดที่ไรท์ชอบอยู่หลายประโยคขออนุญาตนำมาแชร์ตรงนี้เพื่อความอร่อยในการอ่าน ^-^
师出有名 (shīchū-yǒumíng) : ก่อศึกพึงมีเหตุ การจะประกาศสงครามได้นับจำเป็นต้องมีข้ออ้างอันเหมาะสม เพื่อให้ผู้นำมีความชอบธรรมในการระดมกำลัง เช่นนี้จึงจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนด้านกำลังพลและเสบียง
犯我大周者,虽远必诛: ผู้หยามหมิ่นต้าโจวเรา ไม่ว่าอยู่ที่ใดพึงสังหาร” ประโยคนี้มาจากวรรคทองที่แม่ทัพเฉินทังเขียนไว้ในหนังสือกราบทูลฮ่องเต้ฮั่นหยวนตี้ (หลิวชื่อ) แห่งราชวงค์ฮั่น ตอนที่เขาสามารถไล่ฆ่าพวกซวงหนูได้สำเร็จ โดยเปลี่ยนจากคำว่า ‘ชาวฮั่นที่แข็งแกร่ง’ มาเป็น ‘ต้าโจว’ แทน
แต่อย่าถามมากกว่านี้ ไรท์ไม่ได้เรียนเอกจีน หรือประวัติศาสตร์ แค่ไปกัดแทะวิกิพีเดียจีนมาปันความรู้กันค่ะ