ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 251 องค์ชายน้อย
ว่าแล้ว ก็เห็นเขาล่าถอยจนไกลออกไป
ด้านนอกกระโจมเกิดลมโหมขึ้นมา แทบจะพัดพามุมหนึ่งของกระโจมลอยขึ้นฟ้าไป
ตู๋กูซิงหลันเห็นแต่เพียงเงาหลังสีม่วงที่ผอมบาง เส้นผมดำยาวนั้นพลิ้วไหวราวกับกำลังร่ายรำ อยู่บนผืนทรายใต้แสงดาว งดงามคล้ายดังภาพวาด
ทันใดนั้น ในสมองของนางเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา จีเฉวียนไปดึงดูดบุรุษดอกท้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
แถมยังเป็นคนที่ชอบสวมชุดสีเดียวกันแบบเดียวกันกับท่านราชครู
เพียงแต่รูปร่างของคนทั้งสองแตกต่างกันมาก ท่านราชครูเป็นคนอ้วนเจ้าเนื้อ เงาหลังของร่างนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นเขาไปได้
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่นาน ก็ยังคิดไม่ออกว่าเคยเจอคนเช่นนี้ในวังมาก่อน
นางยังไม่ทันตอบรับรักจีเฉวียนเลย ทั้งสาวดอกท้อ หนุ่มดอกท้อต่างก็ยกขบวนกันเข้ามา
หากว่านางอยู่ร่วมกับจีเฉวียนขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าวันๆ คงมีแต่การแย่งชิงจนกลายเป็นปกติไป
แค่คิดตู๋กูซิงหลันก็เหนื่อยหัวใจแล้ว
พอหันหน้ากลับไปเหลือบมองดูจีเฉวียนที่กำลังหลับสนิท ก็คิดจะถีบให้เขาตื่นขึ้นมาสักรอบ
นับตั้งแต่ที่ได้พบฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ นางก็ไม่เคยได้อยู่อย่างใจสงบเลย
อยู่ดีไม่ว่าดีก็ดันมาสารภาพรัก แถมยังไล่จีบนาง
เอาเถอะ นางยอมรับ ระหว่างทางมานี้ มีบางช่วงบางตอนถูกเขาโยกคลอนอยู่บ้างเหมือนกัน
โดยเฉพาะรูปลักษณ์และรูปร่างของเขา
แต่ยิ่งใกล้ชิดกัน ก็ยิ่งรับการรุกไล่เช่นนี้ไม่ไหว
ราวกับว่านางเป็นเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งที่วางอยู่ตรงหน้าหมาป่าหิวโซ
หากว่าตู๋กูซิงหลันไม่ห่วงศักดิ์ศรีมากพอ ก็คงจะถูกเขากินเรียบไปตั้งแต่แรกแล้ว
โดยไม่ต้องให้มารับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
………………
กลางทะเลทราย
ในเงามืดที่แสงดาวส่องไม่ถึงแห่งหนึ่งบนผืนทราย
มือของบ่าวเฒ่ากำอยู่บนไม้เท้า น้อมรออยู่ข้างรถม้าสีเขียวคันหนึ่ง
กระทั่งได้เห็นเงาร่างสีม่วงนั้นเข้ามาใกล้ นางถึงได้น้อมคำนับครั้งหนึ่ง
“องค์ชายเพคะ พรุ่งนี้ยามเที่ยง เมื่อสุนัขสวรรค์กลืนกินพระอาทิตย์ [1] ผืนทรายจะมุดลงไปใต้ดิน ทางเข้าสู่แคว้นเซอปี่ซือจะเปิดออก นี่เป็นโอกาสอันดีที่สุดที่จะค้นหาขุมสมบัติ”
บ่าวเฒ่ายังคงกล่าวต่อไป “องค์ชายน้อยทรงรับบัญชาของท่านประมุขตามหาสมบัติลับ ไม่อาจเสียเวลาไปกับเรื่องอื่นๆ ได้นะเพคะ”
นางก้มศีรษะอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองคนแม้แต่น้อย
คนในชุดสีม่วงเพียงกวาดตามองดูนางอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “จัดการเรื่องในความรับผิดชอบของเจ้าให้ดี เรื่องของเรายังไม่ต้องให้เจ้ามากังวล”
บ่าวเฒ่าผู้นั้นรีบคุกเข่าลงไปบนพื้นในทันที “ขอองค์ชายอย่าได้พิโรธ เป็นยายเฒ่าพูดมากไปแล้วเพคะ ยายเฒ่าเพียงแต่ห่วงใยในตัวองค์ชายมากไป”
“จีเฉวียนผู้นั้นเป็นบุคคลอันตราย หากว่าองค์ชายน้อยใกล้ชิดกับเขามากเกินไป จะช้าเร็วย่อมเป็นการหาภัยใส่ตัว กว่าที่พระองค์จะทรงมีวันนี้ได้ นับว่าไม่ง่ายดาย ขอองค์ชายทรงไตร่ตรองอย่างรอบคอบ”
บ่าวเฒ่าพูดยังไม่ทันจบก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาก่อนแล้ว
ใครๆ ก็รู้ว่า ท่านประมุขให้ความโปรดปรานองค์ชายเสียยิ่งกว่าบุตรแท้ๆ เสียอีก
ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน นอกจากท่านประมุขแล้ว องค์ชายคือผู้ทรงศักดิ์สูงสุด
ทุกคนต่างก็รู้ว่า วันหน้าหากสิ้นท่านประมุขไปแล้ว องค์ชายก็คือผู้ครองตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
ดังนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรจึงไม่มีใครกล้าผิดใจกับเขา
แต่ว่าพื้นอารมณ์ขององค์ชายช่างประหลาดนัก ทั่วทั้งตำหนักแทบจะไม่มีผู้ใดที่สามารถพูดคุยดีๆ กับเขาได้สักคน
บ่าวเฒ่ากล่าวจบแล้ว แต่กลับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว นางถึงขนาดหมอบราบอยู่บนพื้น
ด้านข้างเป็นหลุมทรายดูด ที่เกือบจะกลืนกินนางลงไปอยู่แล้ว
พอองค์ชายเหลือบเนตรมองมา นางก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังขาดอากาศหายใจ
นอกจากท่านประมุขแล้ว นางก็รู็สึกว่าในโลกนี้ยังมีจีเฉวียนที่มีบารมีและสามารถสร้างแรงกดดันต่อผู้คน คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งเช่นกัน
“อันหร่วน เราจะพูดอีกครั้ง อย่าได้มาสั่งสอนเราทำสิ่งใด ผลลัพธ์ที่ตามมาเจ้ารับไม่ไหวหรอก” ดวงเนตรขององค์ชายเย็นชาดุจน้ำแข็ง และมิได้อ่อนแอกว่าจีเฉวียนสักเท่าไร
ไม่ใช่…..ความเย็นชาของพวกเขาเป็นความรู้สึกสองแบบที่แตกต่างกัน
จีเฉวียนนั้นเป็นความเย็นชาที่สูงส่งเสียดฟ้า ผลักไสผู้คนให้ถอยห่างออกไปนับพันลี้
ส่วนความเย็นชาขององค์ชาย เปี่ยมไปด้วยรังสีการกีดกัน และการฆ่าฟันผู้คน
หัวใจของอันหร่วนกระตุกขึ้นมา กระดูกผุของนางถึงกับถูกเขย่าจนสั่นคลอน
หากมิใช่เพราะว่านางยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เกรงว่าตอนนี้องค์ชายคงจะจับนางฉีกเป็นแปดส่วนไปแล้ว
ผู้คนบอกว่าท่านประมุขไม่มีน้ำใจ ที่จริงแล้วองค์ชายต่างหากที่ไร้น้ำใจที่สุด
“วันพรุ่งนี้หากตามหาทางเข้าแคว้นเซอปี่ซือไม่เจอ อันหร่วน ในโลกนี้ก็ไม่ต้องมีเจ้าอีกต่อไป” เมื่อองค์ชายตรัสประโยคนี้ออกมา ก็เงยพักตร์ขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้า
ร่างของเขายังผอมบางกว่าจีเฉวียนส่วนหนึ่ง แสงดาวทอดลงบนชุดสีม่วงของเขาเกิดเป็นแสงอ่อนจางคลุมชั้นหนึ่ง ท่ามกลางทะเลทรายกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งทำให้เขาดูโดดเดี่ยวลำพังกว่าเดิม
ทั้งๆ ที่ข้างกายยังมีผู้ติดตามอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่เพียงแค่ส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง เขาก็จะเป็นดั่งดวงเดือนที่หมู่ดาวรายล้อม
แต่ว่าเขากลับทำตัวเป็นผู้สูงส่งที่อยู่อย่างลำพัง เขาเลือกที่จะมีความอ้างว้างเป็นสหาย
อันหร่วนมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยพยักหน้าติดๆ กัน “ยายเฒ่าจะต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดไปลงมือให้สำเร็จ จะไม่ให้ท่านประมุขและองค์ชายน้อยต้องผิดหวังโดย เด็ดขาด”
พูดแล้ว นางถึงได้คว้าไม้เท้าพยุงตัวลุกขึ้นมา
จากนั้นก็ชี้ไปที่รถม้าข้างกาย กล่าวว่า “สองพี่น้องชาวเหยียน ยายเฒ่าบังเอิญไปพบเข้าจึงช่วยเอาไว้ ไม่ทราบว่าองค์ชายทรงเห็นว่าสองคนนี้มีประโยชน์หรือไม่?”
“หากว่าไม่มีประโยชน์ ยายเฒ่าจะนำไปปรุงยา”
อันหร่วนว่าต่อไป “พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นเชื้อพระวงค์ ถือเป็นวัตถุดิบปรุงยาชั้นเลิศ แคว้นเซอปี่ซือมีอันตรายมาก ถึงแม้ว่าองค์ชายจะทรงแข็งแกร่ง แต่หากว่ามียาวิเศษของยายเฒ่าอย่างข้าคุ้มครองร่างกาย คิดว่าคงจะทำให้ราบลื่นกว่าเดิม”
องค์ชายกวาดเนตรไปทางสองพี่น้องตระกูลเหยียนที่สิ้นสติอยู่ภายในรถม้า นัยตาทอประกายแสงเย็นวาบขึ้นมา
“สตรีทิ้งเอาไว้ บุรุษแล้วแต่เจ้าจะจัดการ”
แม้ว่าในใจของอันหร่วนจะมีข้อสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ
นางมีโอกาสได้พบกับองค์ชายน้อยมาก ดังนั้นจึงไม่ใคร่เข้าใจว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่
แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่นางมั่นใจ ก็คือเขาเป็นคนที่ไร้น้ำใจไร้ความผูกพันแน่นอน
ในตำหนักซิงหลัวเตี้ยนมีหญิงสาวไม่น้อยที่คิดจะเข้าใกล้เขา สุดท้ายแล้วทั้งหมดตกตายไปอย่างกระทันหัน
องค์ชายไม่โปรดสตรีอย่างแน่นอน
เช่นนั้น หากมิใช่เพราะว่ามีแผนการจะใช้งานองค์หญิงแคว้นเหยียนอยู่ในใจ ไหนเลยจะเก็บเหยียนเฉียวหลัวเอาไว้?
อันหร่วนก้มศีรษะลงไป ไม่รอให้นางได้ทันไต่ถามสิ่งใดต่อ ที่ข้างกายขององค์ชายก็ปรากฏนกอินทรีดำขนาดใหญ่ขึ้นมาตัวหนึ่ง
พอนกอินทรีดำตัวนั้นย่อตัวลงมา เขาก็ใช้หัตถ์ข้างเดียว ฉุดดึงเหยียนเฉียวหลัวขึ้นมา จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นไปบนหลังนกอินทรี เพียงแค่ครู่เดียวก็หายลับไปจากเบื้องหน้าของอันหร่วน
ยามเมื่อนกอินทรีดำขยับปีก ก็พัดพาเอาฝุ่นทรายปลิวขึ้นมา จนแทบจะทำให้อันหร่วนต้องน้ำตาไหล
กระทั่งเมื่อเห็นเขาหายลับไปแล้ว นางถึงได้กล้าถอนหายใจ
ยามที่เขาอยู่ ตัวนางคล้ายดั่งโดนขุมพลังกดทับเอาไว้
ดังนั้นทุกคำที่พูดออกไปล้วนต้องกล่าวอย่างตั้งใจ เพราะเกรงว่าจะมีข้อผิดพลาด
นั่นเท่ากับว่าศีรษะต้องย้ายบ้านแล้ว
คนผู้นี้ ทั้งที่มิได้มีสายเลือดของนายท่านแท้ๆ แต่กลับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่ง มิว่าทำสิ่งใดก็สำเร็จตามประสงค์ของท่านประมุขอยู่เสมอ
ดังนั้นชั่วชีวิตนี้นางจึงมิกล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจ
หากว่าครั้งนี้สามารถทำงานสำเร็จโดยราบลื่น นางคิดจะขอความเมตตาจากท่านประมุขสักเรื่องหนึ่ง อนุญาตให้นางและอันหว่านจรือกลับไปอยู่ที่เขาจงหลินซานอีกครั้ง ผ่านชีวิตที่เหลืออย่างเรียบง่าย ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่เลวแล้ว
คิดๆ แล้ว นางก็มองไปยังเหยียนหยุนที่สิ้นสติอยู่บนรถม้า คิดจะใช้เขาเป็นวัตถุดิบในการปรุงยาวิเศษออกมา รอให้ท่านประมุขอารมณ์ดีขึ้นเมื่อไหร่ ค่อยนำถวายต่อประมุข หวังว่าเขาจะเมตตานางบ้าง
——
[1] 天狗食日สุริยุปราคา
——
คุยกันนิดนึง:
天狗食日 : สุริยุปราคา ถึงในภาษาจีนจะใช้คำว่า สุนัขสวรรค์กินดวงอาทิตย์ แต่ว่าตำนานเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับพระจันทร์มากกว่า
ตามตำนานเล่าว่า สุนัขสีดำของโฮ่วอี้ (ยอดมือธนูผู้ยิงดวงอาทิตย์ทั้งเก้าลงมาจนทำให้ปัจจุบันเหลือเพียงดวงเดียว) ได้ชิมน้ำยาวิเศษที่ฉางเอ๋อร์ (เทพธิดาดวงจันทร์) ทำตกไว้ จึงกลายร่างเป็นสุนัขยักษ์ไล่ตามจะกินฉางเอ๋อร์ จนฉางเอ๋อร์หนีไปซ่อนหลังดวงจันทร์ มันจึงกลืนดวงจันทร์ลงไป (= จันทรุปราคา) ชาวบ้านจึงพากันส่งเสียงดังไล่
เจ้าแม่ซีหวังหมู่ทราบเข้าจึงสั่งให้มันคายดวงจันทร์ออกมา และตั้งให้เป็นสุนัขสวรรค์พิทักษ์ประตูสวรรค์ทิศใต้
ไรท์ : ขออนุญาตขยายความเรื่องสรรพนามในบทนี้เล็กน้อย เพื่อความเข้าใจตรงกัน
บุรุษชุดม่วง: อันหร่วนเรียกคนผู้นี้ว่า 少殿下 ซึ่งในภาษาจีนคำนี้จะใช้กับเหล่าองค์ชาย/องค์หญิง หรือแทนพระองค์ว่า ฝ่าบาทก็ได้ แต่บุรุษชุดม่วงเรียกตัวเองว่า 本座 คำนี้สื่อความหายไปในทางว่าเป็นเจ้าตำหนัก หรือเจ้าสำนัก ก็ได้ ดังนั้นไรท์จึงใช่คำว่า “เรา” นะจ๊ะ (เข้าใจว่าผู้เขียนต้องการสร้างบรรยายกาศให้ดูลึกลับ) เอาไว้เมื่อเปิดเผยฐานะออกมาแล้วอาจมีคำแทนตัวที่เหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่านี้