ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 305 เหลียงเซิงเซิง
เรื่องที่แม่งูใหญ่ผู้นี้คิดจะชิงร่างของผู้อื่นอย่างไรก็มิใช่ว่าพึ่งจะเคยเกิดขึ้นมาวันสองวันนี้อยู่แล้ว
ตอนนี้พอเห็นสาวงามเข้าหน่อยเป็นต้องหรี่เข้าไปทุกครั้ง
ตู๋กูซิงหลันถอนหายใจเบาๆ ดึงแขนเสื้อของตนเองกลับมา สายตาก็ทอดลงบนสาวน้อยในชุดสีชมพู
ทันทีที่กวาดตามองไป ก็เห็นคนที่อยู่ในท้องนาต่างกำลังพากันทักทายแม่นางน้อย
“คุณหนูน้อย ท่านงดงามขึ้นทุกๆ วันเลย”
“จริงด้วยนะ” ท่านป้าคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาส่งไข่ต้มสองฟองให้ “คุณหนูน้อย นี่เป็นไข่ของไก่ที่บ้านเรา พึ่งต้มมาใหม่ๆ ยังร้อนๆ อยู่เลย ให้ท่านไว้รับประทาน”
สายลมพันผ่านผ้าคลุมหน้าของนางเบาๆ เผยให้เห็นกลีบปากสีเชอร์รี่ทั้งสองส่วน บนริมฝีปากล่างของนางมีไฝสีแดงเม็ดหนึ่ง
เป็นจุดเล็กๆ ที่อยู่บนริมฝีปากราวกับรอยแต้มบนกลีบดอกไม้ สีแดงเข้มนั้นช่างเตะตาตู๋กูซิงหลันอย่างยิ่ง
สีหน้าของชือหลีเองก็เปลี่ยนไปทันที
สาวน้อยยังไม่ทันได้สังเกตเห็นพวกนาง เอาแต่ส่ายศีรษะ หัวเราะน้อยๆ รอยยิ้มสดชื่นดั่งฤดูใบไม้ผลินั้นทำให้หัวใจผู้คนพองโต
ผู้คนต่างก็อดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้ามาใกล้ ผลัดกันส่งมอบข้าวของของตนเองออกมา
สาวน้อยทยอยรับเอาไว้ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ไม่จาง “ทุกท่านอย่าได้มัวสนใจข้า ข้าเพียงแต่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น ปีนี้เก็บเกี่ยวได้ดี ท่านปู่เห็นแล้วจะต้องดีใจมากแน่ๆ”
อ้อมแขนของนางมีข้าวของเต็มไปหมด ดวงตากลมโตคู่นั้นหยีจนโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวอย่างน่าดู
แต่ไหนแต่ไรตู๋กูซิงหลันก็ชอบคนงามอยู่แล้ว หากจะบอกว่าตอนอยู่ในวังของเมืองหลวงพบพานมวลบุปผชาติผลิบาน เช่นนั้นแม่นางน้อยผู้นี้้ก็คือสายน้ำที่สดใส
สายน้ำที่ละลายมาจากเกล็ดหิมะ แต่ละหยดแต่ละหยาดไหลซึมเข้าสู่หัวใจ
หากบอกว่าซูเม่ยนั้นงดงามเย้ายวนไปจนถึงแก่นกระดูก เช่นนั้นแม่นางน้อยผู้นี้ก็บริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งกายและใจ กระโปรงสีชมพูรากบัวเมื่ออยู่บนร่างของนาง ยังดูบริสุทธิ์งดงามยิ่งกว่าสีขาวสะอาดเสียอีก ความบริสุทธิ์สดใสดั่งกระดิ่งลมนั้น ทำให้จิตใจผู้คนล้วนผ่อนคลาย
ขนาดนางที่เป็นสตรีเหมือนกันยังมองจนหลงใหลเลย
ฟังว่าอ๋องเหลียงป๋อเมืองกู่เย่วมีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง งดงามจนประหนึ่ง จันทราหลบ บุปผาซ่อน ปลาจมน้ำ ตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ได้ทรงแต่งตั้งนางให้เป็นกุ้ยเฟย
ฮ่องเต้ยังทรงมีพระเมตตา ประทานอนุญาตให้เหลียงกุ้ยเฟยประทัยอยู่ในเมืองกู่เย่ว
อย่างซูเม่ยผู้นั้น หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมแล้ว ยังสามารถออกจากวังไปได้ก็ต้องถือว่าพิเศษมากแล้ว
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับซูเม่ยแล้ว เหลียงกุ้ยเฟยกลับพิเศษยิ่งกว่า
นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เกรงว่านางคงจะเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยมากที่เป็นพระสนมทั้งๆ ที่ไม่ต้องเข้าวัง
คนในเมืองกู่เย่วที่มีรูปโฉมงดงามเช่นนี้ ….เกรงว่าคงจะต้องเป็นพระสนมเหลียงกุ้ยเฟยผู้นั้นแล้ว
ภายในรถม้า ตู๋กูซิงหลันเฝ้ามองดูนาง สายลมพัดมาจนทำให้ผ้าคลุมหน้าของนางปลิวออกไปนอกหน้าต่าง ผ้าคลุมหน้าผืนบางพลิ้วผ่านริมหูของสาวน้อยผู้นั้นพอดี
นางพึ่งจะหันหน้ากลับมา ก็ได้สบตาเข้ากับดวงตาดอกท้อคู่นั้นเข้าอย่างพอดิบพอดี
ชั่ววินาทีนั้น สาวน้อยตกตะลึงจนยืนนิ่งไป
นางเติบโตอยู่ในกู่เย่วมาตั้งแต่เล็ก คุ้นเคยกับต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น ผู้คนทุกบ้านภายในเมืองกู่เย่ว แต่ไม่เคยได้พบว่าบุตรสาวบ้านใดจะงดงามเช่นนี้มาก่อนเลย
ทั้งยังมีอายุห่างจากนางไม่มาก ดวงตาคู่นั้นมีประกายลึกล้ำ ราวกับคนที่ผ่านโลกมามาก ทั้งยังมีรอยอ่อนล้าบาดเจ็บอยู่บ้าง
เห็นอีกฝ่ายกำลังมองมาที่นาง นางก็ยิ่งคลี่ยิ้มหวานกว่าเดิม หยิบแอปเปิ้ลออกมาจากในอ้อมอกลูกหนึ่ง เช็ดกับแขนเสื้อ เขย่งเท้าส่งให้ตู๋กูซิงหลันทางหน้าต่าง
“แอปเปิ้ลนี้ให้ท่านรับประทานเจ้าค่ะ”
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไป พลางส่งยิ้มให้นาง “ข้ากับแม่นางไม่รู้จักกัน แม่นางไยจึงต้องให้ผลไม้แก่ข้า?”
“เพราะท่านสวยงามน่าดู” สาวน้อยกล่าวอย่างไร้เดียวสา “ท่านไม่ใช่ชาวกู่เย่วกระมั้ง? ใบหน้าซีดขาว เบ้าตาลึกโหล เป็นเพราะไปประสพเหตุการณ์ไม่ดีมาใช่หรือไม่?
พูดแล้ว นางก็ส่งแอปเปิ้ลให้ใกล้กว่าเดิม “ผลไม้ของพวกเราชาวกู่เย่วหวานมากเลย บางทีหากท่านได้ชิมสักคำอาจจะหายหม่นหมองก็ได้?”
ชือหลีแอบอยู่ด้านข้าง “ความเสน่หาเนี่ยเกิดเพราะได้เห็นหน้าตาสินะ? ทำไม ข้าผู้เป็นเทพรูปโฉมไม่งดงามหรือไร?”
ในอกมีแอปเปิ้ลเป็นกอง กลับไม่ยอมแบ่งปันให้นางสักผลหรือ?
ตู๋กูซิงหลันหันไปส่งสายตาหนึ่งครั้ง อยากจะเตือนนางให้นึกถึงสภาพของตนเองสักหน่อย
พี่สาว…ท่านไม่มีร่างเนื้อ แม่นางน้อยจะมองเห็นท่านได้อย่างไร?
“ในรถยังมีคนอื่นอีกหรือเจ้าคะ?” สาวน้อยทำตาประหลาดใจ พลางส่งแอปเปิ้ลให้นางอีกผล “ท่านงดงามขนาดนี้ สหายของท่านก็ต้องงดงามมากเช่นกันเป็นแน่”
ตู๋กูซิงหลันส่งแอปเปิ้ลผลนั้นให้ชือหลี
ชือหลีสองมือกอดอกไว้ ไม่ยอมรับแอปเปิ้ลผลนั้น พลางหันหน้าไปทางอื่น “เฮอะ ข้าผู้เป็นเทพไม่สนใจแอปเปิ้ลหรอก ข้าชอบกินเนื้อ”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
ด้านนอกรถม้า สาวน้อยกวาดตามองเข้ามาข้างในครั้งหนึ่ง ก็เห็นแต่ความว่างเปล่า
“ท่านคงจะได้รับความกระทบกระเทือนอะไรมาใช่หรือไม่…ดังนั้นสมองถึงได้….” สาวน้อยพูดพลาง ก็ชี้ไปที่สมองของตนเองไปพลาง สายตาเปิดเผยแววเห็นอกเห็นใจ
คนที่เกิดมาก็งดงามถึงเพียงนี้ ….แต่ว่าสมองกลับมีปัญหา ช่างน่าเสียดายจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันจดจ้องมองดูนาง สาวน้อยนางนี้น่าสนอกสนใจ ที่ผ่านมานางต้องเจอะเจอกับสาวๆ ที่มากเล่ห์มากอุบายมามากมาย พอตอนนี้ได้มาเจอกับคนที่ใสซื่อผู้หนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าสายตาเบื้องหน้ากระจ่างขึ้นมาในทันที
ครู่หนึ่งนางค่อยตอบกลับไปทั้งใต้ผ้าคลุมหน้าว่า เมื่อหลายวันก่อนถูกลาถีบไปครั้งหนึ่ง ศีรษะได้รับบาดเจ็บและขาหัก ก็เลยชอบพูดกับตนเอง แม่นางเห็นเป็นที่ประหลาดแล้ว”
พอพูดไป สายตาของแม่นางน้อยยิ่งทวีความสงสารกว่าเดิม นางขมวดคิ้ว “ลาที่อื่นดุมากเลยหรือเจ้าคะ?”
ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะอย่างจริงจัง “เจ้าไม่เคยไปจากที่นี่หรือ?”
สาวน้อยส่ายศีรษะ “ข้าอยู่ที่กู่เย่วมาตัวแต่เล็กจนโต ไม่เคยออกไปเลย”
ในตอนนั้นเอง ชาวบ้านหลายคนก็พากันเดิมผ่านมา ล้อมตัวสาวน้อยเอาไว้ ส่งเสียงเตือนนางเบาๆ
“คุณหนูน้อย ผู้ที่มาจากที่อื่นเป็นคนแปลกหน้า ท่านต้องระมัดระวังให้มากจึงจะถูก”
“จริงด้วย ท่านชอบออกมาเพียงลำพัง จวิ้นอ๋องคงเป็นห่วงมากแล้ว”
“พี่สาวท่านนี้หน้าตางดงามมากเลย ไม่ใช่คนร้ายหรอก” สาวน้อยคลี่ยิ้ม “ท่านป้าทั้งหลายไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ ไหนเลยจะถูกหลอกได้ง่ายๆ”
ชาวบ้านหลายคนอดจะมองดูตู๋กูซิงหลันอีกหลายรอบไม่ได้ ใบหน้าของนางมีผ้าคลุมหน้าอยู่ คนก็ให้ความรู้สึกที่ลึกลับไม่ธรรมดาอย่างอธิบายไม่ถูก
ผู้คนต่างก็รู้สึกหนาวขนลุกวูบขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ
พอหันไปมองอีกทีก็เห็นคุณหนูน้อยแนะนำตนเองแจกแจงบ้านช่องออกไปเสียแล้ว “ข้าชื่อเหลียงเซิงเซิง เป็นหลานสาวของจวิ้นอ๋อง ที่บ้านข้ามีท่านหมอที่เก่งมากเลย ท่านตามข้ากลับไปบ้านเถอะ ข้าจะให้ท่านหมอมารักษาท่าน ดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“แม่นางน้อยผู้นี้ช่างใจกว้าง ไม่เพียงแต่เปิดเผยฐานะที่บ้านออกมา แถมยังจะพาคนแปลกหน้าเข้าบ้านไปอีก” กระทั่งชือหลีก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
ตอนนี้นางชักจะเข้าใจแล้วว่าทำไม จวิ้นอ๋องเฒ่าเมืองกู่เย่วผู้นั้นถึงได้ไม่ยอมให้หลานสาวเข้าวังไป
สมองของนางไม่ได้ไปทางเดียวกันกับความงาม ขืนเข้าวังไปทั้งๆ อย่างนี้ ก็คงมีชีวิตรอดไปได้ไม่ถึงสองวัน
ตู๋กูซิงหลันใคร่ครวญอยู่ในใจ หากว่าแม่นางน้อยผู้นี้ได้รับตำราสงครามวังหลังไปสักเล่มหนึ่ง เกรงว่าแค่เจอบทแรกก็สมองระเบิดเป็นผงไปแล้ว
“หรือว่าจะกลับไปกับนาง?” ชือหลีที่สงบเงียบอยู่ด้านข้างออกความเห็นบ้าง “ที่นั่นน่าจะดีกว่าศาลเจ้าซอมซ่อของเจียงชวี่ปิ้งละมั้ง?”
ตลอดเดือนมานี้ พวกนางล้วนพักอยู่ในศาลเจ้าผุพังนั่น เนื่องเพราะประเด็นสำคัญคือติ๊งต๊องและราชาสุนัขป่าล้วนเตะตามากเกินไป พอดีที่ศาลเจ้าผุพังของเจียงชวี่ปิ้งอยู่ในภูเขา จึงเหมาะสมกับพวกมัน
สำหรับชือหลีแล้ว จุดประสงค์สำคัญของนางยังคงเป็น….ดูสิว่ายังมีโอกาสชิงร่างได้หรือไม่
——
ตอนต่อไป “ไม่เคยยอมรับเรื่องการแต่งงานมาก่อน”