ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 364 ใต้หล้านี้นอกจากเขาก็ไม่มีบุรุษใดที่ดีอีกแล้ว
ตู๋กูซิงหลันรู้ดีถึงความเลวของจีจ้านแต่แรกแล้ว การที่เขาตัดสินใจออกไปเช่นนี้จึงมิได้ทำให้แปลกใจอะไร
คนที่เห็นแก่ตัวอย่างรุนแรง บอกรักเพียงลมปาก ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปล้วนเป็นการผลักเจียงเย่วลงไปในหลุมลึกนั้นก็คือปฐมฮ่องเต้
“ท่านปู่ ท่านจะต้องรักท่านย่ามากที่สุดแน่เลย” ตู๋กูซิงหลันอดจะเกิดความเคารพต่อท่านผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้
หากมิใช่เพราะว่ารักใครคนหนึ่งอย่างลึกล้ำ ไหนเลยจะสามารถสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่นได้กัน?
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นกับเจียงเย่ว…แต่ก็ยังคงดีต่อนางดุจเดิม
“ใช่แล้ว รักเหลือเกิน…..” ท่านผู้เฒ่าถอนใจออกมา กล่าวต่อไปว่า
“หลังจากเกิดเรื่องนั้น ปฐมฮ่องเต้ก็ไม่ได้บีบบังคับให้นางต้องอยู่ในวังอีก ข้าจึงรับนางมาอยู่ในจวน”
“ตอนที่ฟ่านอิงตายไปนั้น ข้าเป็นคนฝังร่างของเขาเอง บางทีอาจเพราะเหตุนี้ ฮูหยินจึงมิได้ชิงชังข้าสักเท่าไร ต่อมาภายหลัง นางก็แต่งให้ข้าในที่สุด วันนั้น นางสวมชุดแต่งงานสีแดงทั่วทั้งตัว ปักดอกไฮ่ถางเอาไว้ทั่วทั้งร่าง….”
จนถึงวันนี้พอคิดขึ้นมาท่านผู้เฒ่าก็ยังจดจำได้อย่างละเอียดลออ แม้แต่กระทั่งบนร่างของนางมีดอกไห่ถางอยู่กี่ดอกก็ยังจำได้อย่างแม่นยำ
พวกเขาไม่ได้มีงานแต่งงาน เพียงแต่คนทั้งสองสวมใส่ชุดสีแดง กราบไหว้ฟ้าดินร่วมกัน
เนื่องเพราะจีจ้านเป็นเหตุ เขาจึงไม่อาจจัดงานแต่งงานที่ใหญ่โตให้กับนางได้ นี่เป็นความเสียดายไปชั่วชีวิตของเขา
แต่ว่าตลอดช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับนาง……คือช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตอย่างแท้จริง
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะ….นางถึงได้แต่งให้กับเขา
ฟังเรื่องเก่าๆ ถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็รู้แล้วว่า ท่านผู้เฒ่านั้นรักเจียงเย่วอย่างแท้จริง
“เจ้าคงจะรู้สึกว่า ปู่เองก็สับปลับใช่หรือไม่?” พอท่านผู้เฒ่าหายใจลอยก็เป็นฝ่ายเอ่ยกับนางเรื่องเจียงเหม่ยหยู่
“ตอนนั้นท่ามกลางการประหัตประหารในแคว้นกู่เย่ว ฮูหยินพยายามปกป้องเจียงเม่ยหยู่อย่างสุดชีวิต ทั้งยังร้องขอให้ข้ารับตัวนางไว้”
“ต่อมาหนึ่งในข้อแม้ที่ฮูหยินตอบรับแต่งงานกับข้า ก็คือให้รับเจียงเหม่ยหยู่เป็นอนุ หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยทำผิดสัญญาต่อนาง”
ใต้หล้านี้ บุรุษที่มีสามภรรยาสี่อนุมีให้เห็นอยู่มากมาย อย่าว่าแต่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ผ่านสงครามมามากมาย
แค่ให้รับอนุผู้หนึ่งไม่ถือเป็นเรื่องยากอะไร ดังนั้นที่ต่อมาเขามีลูกกับเจียงเหม่ยหยู่….ตู๋กูซิงหลันก็เข้าใจได้
สำหรับเจียงเย่ว ดูท่าแล้วนางเพียงต้องการให้เจียงเหม่ยหยู่มีที่พักพิงที่ปลอดภัย ถึงได้บังคับให้ท่านผู้เฒ่ารับนางเป็นอนุ
“ท่านปู่ทำเพื่อท่านย่ามากพอแล้ว” ตู๋กูซิงหลันกล่าวต่อไป ที่จริงแล้ว นางยังคิดจะถามว่าเจียงเย่วลาโลกไปได้อย่างไร
นางตายไปเกือบสิบปีแล้ว
ตอนนั้นเจ้าของร่างยังอายุน้อยอยู่เลย จึงมีความทรงจำไม่มากมายนัก
ท่านผู้เฒ่ามองความในใจของนางออก ก็กล่าวว่า “ข้ากับฮูหยินอยู่ร่วมกันสิบกว่าปี เดิมทีก็ใช้ชีวิตมีความสุขอย่างเรียบง่าย……ต่อมา…..เพราะเรื่องของบิดามารดาของเจ้า ส่งผลกระทบต่อนางอย่างมาก พอล้มป่วยลงก็ลุกไม่ขึ้นอีก ในที่สุดก็จากไป”
นี่เป็นครั้งแรกที่ตู๋กูซิงหลันได้ยินคนเอ่ยถึงบิดามารดา
นางรู้แต่ว่าไทเฮาน้อยสูญเสียบิดามารดาแต่เล็ก แต่กลับไม่รู้ชัดว่าสาเหตุเพราะอะไร
สองพี่ชายก็คงไม่มีทางเป็นฝ่ายบอกกับนาง
“ตู๋กูชิงชิง คือชื่อของมารดาของเจ้า” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยพลางก็หยิบเอาหยกพกสีเขียวออกมา บนนั้นแกะเป็นตัวอักษรชิงชิงสองตัว
“นางเกิดในเดือนสาม เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แม้แต่ในอากาศก็มีกลิ่นหอมของใบหญ้า พวกเราจึงตั้งชื่อนางว่าชิงชิง”
ตู๋กูซิงหลันออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เนื่องเพราะว่าไม่เคยมีใครเอ่ยถึงบิดามารดามาก่อน นางจึงนึกว่าตอนนั้นเย่วฮูหยินได้ให้กำเนิดบุตรชาย
คิดไม่ถึงว่า จะเป็นบุตรสาว?
“ชิงชิงนั้น แสนจะเอาแต่ใจ มีบุรุษมากมายมาสู่ขอ นางก็ไม่เหลียวแลเลยสักนิด กลับไปชอบไอ้หนุ่มที่ไม่มีที่มาคนหนึ่ง ไอ้หนุ่มนั้นหน้าเหมือนสุนัข เป็นคนไม่รู้มารยาท แต่ก็ขยันขันแข็ง ต่อมาพอแต่งเข้ามาเป็นเขยของบ้านเรา ก็นับว่าดีกับแม่ของเจ้าไม่เลว”
“น่าเสียดาย…..มารดาเจ้าคลอดเจ้าได้ไม่นาน ไอ้คนที่สมควรถูกสับสักพันดาบนั่น อยู่ๆ ก็หนีไป”
“ได้แต่ทิ้งจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่ง บอกว่าหมดวาสนากับมารดาของเจ้าแต่เพียงเท่านี้ ภูเขาสูงสายน้ำห่างไกลคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว”
“เพียงแค่คืนเดียว มารดาของเจ้าจากคุณหนูในจวนอ๋องผู้สูงส่งก็กลับกลายเป็นหญิงม่ายที่ถูกคนทอดทิ้ง นางเองก็บ้าดีเดือด ไม่พูดไม่จาคว้ากระบี่อ่อนได้ก็ไล่ตามไปแล้ว”
นี่เป็นเรื่องที่แสนจะเจ็บช้ำ….เพียงแต่เมื่อท่านผู้เฒ่าเล่าออกมาเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าออกจะน่าขำอยู่บ้าง
“บิดารมารดาของไทเฮาน้อยเป็นพวกนิสัยประหลาดหรือยังไง?” วิญญาณทมิฬเกิดความสงสัยขึ้นมา
“หลังจากนั้นมีอยู่วันหนึ่ง ลูกน้องของข้าก็พบร่างของมารดาเจ้าที่สุดขอบทะเลตะวันตก….” ขณะที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความแค้นเคือง
“ที่จริงเน่าเปื่อยจนเละเทะไปหมดแล้ว แม้แต่ใบหน้าก็ไม่อาจเห็นได้อย่างชัดเจน ได้แต่อาศัยสิ่งของและเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายเป็นเครื่องยืนยันตัวตน”
“หลังจากที่ท่านย่าของเจ้ารู้เรื่องเข้า จิตใจก็ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง….”
จากคำพูดของท่านผู้เฒ่า บิดาของไทเฮาน้อยนั้นเป็นคนไม่ได้เรื่อง
มารดากลับเป็นคนที่จริงจังกับความรัก ถึงกับไล่ตามไปแต่เพียงลำพัง สุดท้ายแล้วก็ต้องตกตายอยู่ที่ต่างแดน ทำให้คนอดที่จะต้องใจหายไม่ได้
“ยามที่บิดามารดาของเจ้าจากไป เจ้าพึ่งจะอายุสี่ขวบกว่าเท่านั้น คงจำอะไรไม่ได้”
“หลันหลัน ตอนนี้เจ้าก็โตแล้ว เจ้ามีสิทธิจะได้รับรู้เรื่องเหล่านี้”
“พี่ใหญ่ของเจ้ารู้จักหนักเบาที่สุด ตอนนั้นเขาเองก็อายุได้สิบสองสิบสามปี ติดตามข้าไปยังสนามรบแล้ว เรื่องเหล่านี้เขาล้วนทราบเป็นอย่างดี ตลอดหลายปีมานี้ เขามิได้บอกกับเจ้า เพราะว่าไม่อยากจะให้เจ้าต้องเสียใจ”
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า “ท่านปู่ ข้าเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมรู้ว่าสมควรจะทำเช่นไร”
“ตลอดหลายปีมานี้ ข้าส่งคนไปตามหาเบาะแสของบิดาเจ้ามาโดยตลอด เมื่อไหร่ที่หาเขาพบ จะต้องให้เขาชดใช้ให้กับมารดาของเจ้าอย่างสาสม”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ สายตาของท่านผู้เฒ่าก็เปี่ยมไปด้วยไอสังหาร
“ตอนนั้นยามที่เขาอยู่ต่อหน้าข้า ก็แสดงออกว่าจริงใจอย่างที่สุด มิได้น้อยไปกว่าฮ่องเต้น้อยผู้นั้นเลย”
พอคิดมาถึงตรงนี้ ท่านผู้เฒ่าก็ยิ่งมีโทสะขึ้นมา “ดังนั้นข้าจะบอกเลยว่า คำพูดของบุรุษนั้นจริงสามส่วนเท็จเจ็ดส่วน ไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งหมด”
“ก่อนหน้านี้ใครกันนะ จีเย่ไอ้กระต่ายเปรียวนั่น ก็บอกว่ารักเจ้าหมดหัวจิตหัวใจเหมือนกัน เฮ่อ แต่ว่าปู่กลับถูกหลอกเข้าเสียเต็มเปา”
“หลันหลัน บิดาเจ้าเป็นเดรัจฉานใหญ่ จีเย่นั้นเป็นเดรัจฉานน้อย ปู่ของเจ้าถูกหลอกไปครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองได้ แต่จะต้องไม่มีครั้งที่สาม ดังนั้นฮ่องเต้น้อยนั่น ข้าไม่มีทางเชื่อเขา เจ้าก็อย่าไปเชื่อเขาอย่างเด็ดขาด”
“ท่านปู่ เช่นนั้นท่านจริงใจกับท่านย่าใช่หรือไม่?”
ท่านผู้เฒ่าตบอกเสียงดัง “จริงแท้แน่นอน”
ท่านผู้เฒ่ามั่นใจเลยว่า ใต้หล้านี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีบุรุษที่ดีอีกแล้ว
ตู๋กูซิงหลันแอบหัวเราะเบาๆ เจียงเย่วที่ผ่านประสบการณ์ถูกทำลายจนย่อยยับ จนมาพบกับท่านปู่ ได้ผ่านชีวิตที่สงบสุขสิบกว่าปี สำหรับนางแล้วต้องถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย
ใต้หล้านี้มีผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ไม่มีใครที่มีแต่ความสุขตั้งแต่เกิดจนตาย
ว่าแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็ตบไหล่ของตู๋กูซิงหลันเบาๆ กล่าวอย่างจริงจังว่า “หลันหลัน เจ้าจะต้องจดจำเอาไว้ นอกจากคนในครอบครัวแล้ว คนอื่นล้วนไม่เคยจริงใจต่อเจ้า อย่าได้ถูกเจ้าฮ่องเต้น้อยนั้นหลอกลวงไปโดยง่าย เข้าใจไหม?”
“ครั้งนี้ที่เขาไปทำสงครามกับต้าเหยียน ก็ไม่ใช่เพื่อเจ้า แต่เป็นหนทางของเจ้าแผ่นดินที่เขาเลือกเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น”
……………………………………………
ตอนต่อไป “พ้นยามจื่อไป ก็นับว่าเป็นวันที่สองแล้ว”