ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 379 เฉวียน หลายปีมานี้ข้าคิดถึงท่านมาตลอด
แคว้นเหยียนนิยมการต่อสู้กับสัตว์ร้าย แม้แต่ในเมืองหลวงยังมีการแสดงการต่อสู้กับสัตว์เพื่อสร้างความบันเทิงอยู่เสมอ
จีเฉวียนป่ายปีนขึ้นมาจากทาสที่ต่อสู้กับสัตว์จนมาถึงระดับเทพนักสู้กับสัตว์อสูรของต้าเหยียน แต่ในสายตาของชนชั้นสูงของต้าเหยียน เขาก็ยังเป็นเพียงแค่ทาสตัวประกันที่เอาไว้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายเท่านั้น
เขาไม่เคยได้รับเกียรติหรือความเคารพนับถือใดๆ ทั้งสิ้น
ต่อมาแคว้นต้าเหยียนจับสัตว์อสูรหงเหมิงได้ตัวหนึ่ง ….สัตว์อสูรตัวนั้นแค่กางกรงเล็บออกมาก็สามารถตบคนตายไปสิบคน
ทาสนักสู้นับพันนับหมื่นตายไปใต้กรงเล็บของมัน
ในตอนนั้น เหล่าผู้สูงศักดิ์ในแคว้นเหยียนถึงได้คิดถึง ‘เทพนักสู้สัตว์อสูรขึ้นมา’
จึงได้บีบบังคับให้จีเฉวียนไปต่อสู้กับสัตว์อสูรหงเหมิงตัวนั้น…..
สาวน้อยหวาดกลัวแล้ว กลัวว่าเขาจะต้องไปต่อสู้จริงๆ …..
ดังนั้นนางจึงเที่ยวขอร้องคนไปทั่ว …… สุดท้าย เหยียนเฉียวหลัวก็ให้ความหวังกับนาง
พอคิดถึงเหยียนเฉียวหลัว สีหน้าของเหยียนหยุนก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่
เหยียนเฉียวหลัวถูกใจจีเฉวียน แต่น่าเสียดายที่ได้รับแต่การปฏิเสธจากเขามาโดยตลอด….ทั้งข้างกายเขาก็ยังมีสาวน้อยที่สุดจะงามผู้หนึ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะความรักที่ก่อให้เกิดความชัง…. นางถึงได้ฉวยโอกาสนี้พาสาวน้อยผู้นั้นไปพบกับแม่ทัพใหญ่ที่ทรงอำนาจมากที่สุดในตอนนั้น
ทั้งยังบอกกับนางว่า ขอเพียงสามารถทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นี้พอใจได้ จีเฉวียนก็จะไม่ต้องไปต่อสู้กับสัตว์อสูร
สาวน้อยผู้นั้น ทั้งๆ ที่ก็เคยผ่านประสบการณ์ดำมืดในใต้หล้ามามากมาย แต่ก็ยังคงใสซื่อ….คำพูดของเหยียนเฉียวหลัวนางก็ยังจะยอมเชื่อ
ในจวนของแม่ทัพใหญ่ผู้นั้น นางตกเป็นของเล่นของเหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย…..
เหล่าบุรุษที่อยู่ในคืนนั้น…..ทั้งหนุ่มทั้งแก่มีกันทั้งหมดสิบสองคน
สาวน้อยที่บอบบางวัยสิบสามปี ต้องตายอนาถภายใต้การทรมาน
เกรงว่าจีเฉวียนและฉางซุนซิ่วจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยรู้ว่า คนที่เป็นต้นคิดแผนการในวันนั้นก็คือเหยียนเฉียวหลัว
เหยียนเฉียวหลัวตายไปในสระสวรรค์ของแคว้นเซอปี่ซือแล้ว เรื่องนี้จึงไม่จำเป็นจะต้องเอ่ยถึงขึ้นมาอีก
เหยียนหยุนย้อนคิดขึ้นมาในตอนนี้ ในใจก็ได้แต่รู้สึกละอาย…..
ตอนนั้นเขาบังเอิญพบเหยียนเฉียวหลัวกำลังพาตัวฉางซุนอิงไปยังจวนแม่ทัพใหญ่อยู่แท้ๆ ….
แต่เขากลับมิได้รั้งนางเอาไว้
มิเช่นนั้น สาวน้อยที่ใสบริสุทธิ์ผู้นั้นก็อาจจะไม่ต้องตาย
ใครใช้ให้ตอนนั้น…..เขาชิงชังจีเฉวียนถึงเพียงนั้นกัน
ตอนนี้เขาได้แต่เกาะไม้เท้าอยู่ด้านข้าง ช่วงนี้เขาได้แต่ติเตียนตนเอง ติเตียนแคว้นเหยียน
เพราะยิ่งทีก็ยิ่งได้พบว่า แคว้นเหยียนมีความดำมืดซุกซ่อนอยู่มากเพียงไร
ตอนนั้นจีเฉวียนสามารถป่ายปีนขึ้นมาจากเส้นทางที่ดำมืดเช่นนั้นได้ เขาจะต้องมีความมุ่งมั่นและกล้าหาญถึงเพียงไหน
เหยียนหยุนพบว่า ที่แท้เขาก็พ่ายแพ้ให้กับจีเฉวียนตั้งแต่แรกแล้ว พ่ายแพ้อย่างหมดรูป
…….
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนเก็บกระบี่ลงไป ทอดพระเนตรดูฉางซุนซิ่ว “เราจะปล่อยเจ้าไป”
ฉางซุนซิ่วเลิกคิ้วขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงหมายความเช่นไร
หลังจากนั้นก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งว่า “ขอเพียงเจ้ายอมสารภาพ……ถึงอำนาจที่อยู่เบื้องหลังออกมาทั้งหมด”
ได้ยินแล้ว ฉางซุนซิ่วก็หัวเราะเสียงเย็นชาออกมา “ข้ายังนึกว่า….เจ้าคำนึงถึงน้ำใจเก่าก่อนเสียอีก…..ที่แท้ก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่หรือ?”
พอถึงตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจ ว่าที่ผ่านมาทั้งหมด จีเฉวียนจงใจปล่อยเบ็ดยาวเพื่อตกปลาใหญ่นั่นเอง
ที่พระองค์วางพระทัยปล่อยตู๋กูซิงหลันเอาไว้ในวังที่เมืองหลวงแต่เพียงผู้เดียว ก็เพราะคาดเดาอย่างแม่นยำแล้วว่าการเสด็จมากำราบแคว้นเหยียนครั้งนี้ เขาจะต้องลงมือแทรกแซงอย่างแน่นอน
พอพระองค์ปล่อยเบ็ดยาวเช่นนี้ออกไป…..ที่พระองค์ทรงยอมปล่อยให้เขาได้เคลื่อนไหวอย่างลับๆ มาตลอด ก็เพื่อให้เขาเป็นฝ่ายเปิดเผยเบื้องหลังของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนออกมาทั้งหมด
ฮ่องเต้แห่งต้าโจว …..ที่สุดแล้วก็เป็นคนที่ไร้น้ำใจอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นไหนเลยจะยอมปล่อยเขาไปโดยง่าย?
ฉางซุนซิ่วยิ้มขมขื่นจากหัวใจ “ในที่สุดฝ่าบาทก็รู้จักหวั่นเกรงขุมกำลังจากภายนอกบ้างแล้ว?”
“ไม่ต้องรีบหรอก…. ขุมกำลังเหล่านั้นยังแข็งแกร่งกว่าที่พระองค์คาดคิดเอาไว้มากมาย พวกเขาย่อมไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ ขอเพียงท่านยังไม่ตาย แคว้นโจวยังไม่ล่มสลาย พวกเขาจะต้องตามพัวพันท่านอย่างไม่เลิกลา”
“ใต้หล้านี้ มิใช่มีแต่ข้าเพียงผู้เดียวที่ไม่ต้องการให้ท่านได้อยู่อย่างสงบสุข”
น้ำตาบนใบหน้าเหือดแห้งไปแล้ว เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างมีลับลมคมนัย
“ประมุขของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่สุดแล้วคือผู้ใด เกี่ยวข้องอันใดกับเรา กับแคว้นต้าโจว?” จีเฉวียนตรัสเสียงเข้ม หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น พระองค์จะต้องใช้ความทรมานให้สารภาพเป็นแน่น แต่ว่าคนผู้นี้คือฉางซุนซิ่ว
ถึงแม้ว่าขุมกำลังของพระองค์จะแข็งแกร่ง แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน องครักษ์ของพระองค์กลับไม่สามารถตรวจสอบได้สักเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าเป็นขุมกำลังที่ลี้ลับแห่งหนึ่งเท่านั้น
และเหล่าผู้คนที่เป็นส่วนหนึ่งของขุมกำลังนี้ล้วนเป็นผู้เข้มแข็ง
คนอย่างเช่นเสียนไท่เฟย ศพคืนชีพชรา และอันหร่วน อย่างมากก็เป็นเพียงแค่หมากตัวเล็กๆ ที่ไม่อยู่ในสายตาของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเท่านั้น
แต่เพียงแค่ตัวหมากที่ไม่เข้าตาเหล่านี้ ก็สามารถทำให้เกิดความไม่สงบได้แล้ว
หากว่ายังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกรงว่าทั่วทั้งแคว้นต้าโจวคงจะต้องตกอยู่ในอันตรายโดยไม่รู้ตัว
พระองค์จับจ้องเขาอย่างเงียบงัน เห็นดวงตาทั้งคู่ของฉางซุนซิ่วหม่นหมองลง
“ฝ่าบาทจับอันหร่วน บีบบังคับให้สารภาพ หรือไม่ทรงทราบว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าคำสาปผนึกวาจาอยู่?” ฉางซุนซิ่วกล่าวอย่างคลุ้มคลั่ง
เขาชี้ไปที่สมองของตนเอง “ทางที่ดี ฝ่าบาทช่วยไปให้ไกลจากกระหม่อมหน่อย…. มิเช่นนั้นอีกเดียวพระองค์จะทรงได้ยินเสียงแตกดัง ‘โผละ’ …..จากสมองของกระหม่อม….”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เขาหัวเราะออกมาอย่างสะใจ “ท่านว่ามันน่าสนใจไหมเล่า ท่านไม่ฆ่าข้า เพราะต้องการถามเรื่องของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจากข้า นี่มิเท่ากับว่าบีบบังคับให้ข้าต้องตายหรอกหรือ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า จีเฉวียน ท่านมันเป็นคนที่สับสนในตนเองจริงๆ!”
ขณะที่ฉางซุนซิ่วหัวเราะอยู่นั้น ในมือของตู๋กูซิงหลันก็ปรากฏยันต์แผ่นหนึ่งขึ้นมา
คำสาปผนึกวาจาเช่นนี้……มิใช่ว่าจะไม่มีหนทางแก้ไข
ขณะที่นางกำลังเอ่ยคาถากำกับขึ้นมาก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่ง
“พี่จ๋า”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลของอิสตรี ลอยเข้ามาจากนอกตำหนัก
เพียงแค่เสียงเบาๆ คำเดียว ก็ทำให้จีเฉวียน ฉางซุนซิ่ว และตู๋กูซิงหลันต้องหันหน้ากลับไปมอง
จากนั้นก็เห็นรองเท้าปักลายดอกบัวคู่หนึ่งล่องลอยผ่านประตูใหญ่เข้ามาในตำหนักบรรทม
จากนั้นในสายตาก็ปรากฏเงาร่างของสาวน้อยในชุดสีฟ้าขาวผู้หนึ่ง
ท่ามกลางวันที่อากาศหนาวเย็นนางกลับสวมใส่ชุดที่บางเบา กระโปรงชั้นในเป็นสีฟ้า ชั้นนอกเป็นผ้าโปรงสีขาว เป็นสีฟ้าและขาวที่เข้ากันอย่างงดงาม
ผิวของนางขาวมาก….ขาวจนแทบจะไม่มีสีเลือด ริมฝีปากที่เป็นสีแดงสดทำให้ผิวหน้าของนางยิ่งดูขาวจนไร้สีเลือดไปกว่าเดิมอีก
นางมีคิ้วโค้วยาวดุจเนินเขา
แม้ดวงตาของนางมิได้โต แต่ก็โค้งมน เมื่อประกอบกับหัวคิ้วรูปเนินเขาก็ยิ่งเสริมให้ดูอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก
เส้นผมที่ยาวสลวยของนางถักเป็นเปียยาวเอาไว้ด้านข้าง
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาเส้นกระดิ่งที่เท้าก็ดังกรุ้งกริ้ง
นี่เป็นสาวน้อยที่บริสุทธิ์งดงามผู้หนึ่ง……
ขณะที่ผ่านหน้าของตู๋กูซิงหลันไปนั้น นางก็หยุดชะงักเล็กน้อย และหันมาเหลือบตามองดูเป็นพิเศษแวบหนึ่ง
จากนั้นก็เร่งฝีเท้าจากไป จนกระดิ่งส่งเสียงกรุ้งกริ้งไปตลอดทางนางเดินไปจนถึงข้างกายฉางซุนซิ่วและจีเฉวียน
พอมองดูพวกเขา นางก็ขยับเข้าไปหาจีเฉวียนก่อน
นางเขย่งปลายเท้า ยื่นมือออกไปคล้องพระศอของพระองค์ลงมา กอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ซุกศีรษะลงไปบนบ่าของพระองค์ กล่าวเสียงเบาว่า “เฉวียน หลายปีมานี้ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
ร่างของนางสูงเพียงแค่พระพาหาของจีเฉวียน เมื่อจะคล้องพระศอของพระองค์ก็ต้องพยายามให้มากแล้ว
แต่นางก็ยังเขย่งขึ้นไปอีกจุมพิตเบาๆ ลงบนบาดแผลบนพระศอ “เฉวียน ท่านบาดเจ็บแล้ว พอจูบก็จะไม่เจ็บแล้วใช่ไหม?”
——
ไรท์: อ้ายย่าห์ แฟนเก่าเขามาแล้ว ทำไงดี
ตอนต่อไป “ชอบแต่กลับไม่รู้ตัว”