ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 392 เผ่าพันธุ์ที่สายเลือดคลุ้มคลั่ง
สายลมโชยผ่านบานหน้าต่าง
ฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้ว ในตำหนักตี้หัวกงปลูกต้นฮว๋ายเอาไว้ต้นหนึ่ง งดงามโดดเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ต้นเย่วกุ้ย
ดอกฮว๋ายผลิบานแล้ว ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูช่อดอกที่ขาวพราวตาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตรัสออกมาว่า “เรายินดีแทนนาง ย่อมต้องส่งของขวัญไปให้อย่างแน่นอน”
ฉางซุนอิงยิ้มออกมาในทันที “ข้ายินดีจะไปส่งของขวัญแทนฝ่าบาท”
“เรื่องสำคัญของบ้านเมือง เจ้าอย่าได้มากังวลใจอีกเลย”
แค่ประโยคเดียวของจีเฉวียน ก็ทำให้ฉางซุนอิงหนาวเหน็บเข้าไปในหัวใจ
“ข้า….” นางอ้าปากขึ้นมา
แต่กลับถูกจีเฉวียนดักเอาไว้ “ในเมื่อร่างกายไม่ค่อยสบาย ต่อไปก็ไม่ต้องมาที่ตำหนักตี้หัวบ่อยๆ ตำหนักหยู่เฉียนบริบูรณ์ด้วนธาตุหยิน เจ้าซึมซับให้มากๆเข้า ก็จะดีกับตัวเจ้าเอง”
สีหน้าของฉางซุนอิงเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูแล้ว “แต่ว่าตำหนักหยู่เฉียนกงนั่น ข้าอยู่แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายเลย ……..ฟังว่าก่อนหน้านี้ตำหนักนั่นเป็นที่อยู่ของเหลียงไฉเหริน ฉีผิน …..แล้วก็ยังมีองค์หญิงแคว้นเหยียน เหยียนเฉียวหลัวอีก แต่ละคนล้วนไม่มีจุดจบอันดี”
“ยิ่งไปกว่านั้นตำหนักหยู่เฉียนกงอยู่ไกลจากตำหนักตี้หัวกงตั้งมาก”
ฉางซุนอิงพูดพลางเบ้ปากออกมา นางขยับเข้าไปใกล้จีเฉวียนอีกก้าว กระดิ่งบนข้อเท้าส่งเสียงกรุ้งกริ้ง “เฉวียน ข้าคิดว่าตำหนักเฟิ่งหนิงกงน่าจะดีกว่าหน่อย ข้าอยากอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกง ได้ไหม?”
“นั่นไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะคิดถึง” จีเฉวียนปฏิเสธในทันที
“ทำไมถึงไม่ได้ละ?” ฉางซุนอิงอดทนมานานแล้ว ตอนแรกๆจีเฉวียนอะไรๆก็ตามใจนางใจโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้คล้ายว่าไม่ว่าอะไรก็ไม่ได้เสียแล้ว
ไม่ให้นางนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น ไม่ให้นางควักอัญมณีไป แล้วยังไม่ยอมให้นางไปอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกงอีกด้วย
ในพระทัยของพระองค์ ยังคงครุ่นคิดถึงคนผู้นั้นอยู่ชัดๆใช่ไหม?
“อาอิง เราสามารถชดเชยให้เจ้ามากมาย ยกเว้นแต่ศักดิ์ฐานะและความรักเท่านั้นที่ไม่อาจให้เจ้าได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
นอกจากตู๋กูซิงหลันแล้ว จีเฉวียนก็ไม่เคยอดทนกับสตรีใดเท่านี้มาก่อน
“แต่ว่าถึงตอนนี้ทุกคนล้วน….เข้าใจว่าข้าคือสตรีของท่านนี่!” ฉางซุนอิงกุมอกของตนเองเอาไว้ “เฉวียน ท่านรู้หรือไม่ คนภายนอกล้วนพูดกันว่าข้าเป็นคนก็ไม่ใช่ เป็นผีก็ไม่เชิง ทั้งยังเป็นสนมปีศาจที่ล่มบ้านล้างเมือง แต่ว่าข้ากลับไม่เคยได้รับความรักจากท่านเลยด้วยซ้ำไป”
“ข้าไม่ต้องการ….ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้….ต้องให้บอกว่าข้าเป็นสนมปีศาจ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องได้เป็นสนมของท่านก่อน!”
“ท่านไม่ยอมให้แม้แต่ฐานะใดๆกับข้า …..แม้แต่เหม่ยเหรินก็ยังไม่ได้”
“กับข้าแล้ว…..นอกจากความสงสารและติดค้างแล้ว ความรู้สึกฉันท์ชายหญิงก็ไม่มีเลยสักนิด”
นางก้มศีรษะลงไปด้วยความอยากจะร้องไห้ แต่ว่าน้ำตาสักหยดกลับไม่ยอมไหลออกมา
“ท่านดูข้าสิ…..ทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนเป็นตัวประหลาด…..ขนาดคิดจะร้องไห้ก็ยังไม่มีน้ำตาสักหยด…..” นางยิ่งรำพึงต่อไป “ข้าเคยคิดมาตลอดว่า ขอเพียงสักวันหนึ่งได้กลับมาอยู่ข้างกายท่าน ความลำบากทุกข์ยากทั้งหลายที่เคยได้รับมาก็จะสามารถลืมมันไปได้หมด”
“แต่ว่าทำไม ท่านถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้? ทั้งๆที่ท่านก็รู้ดีว่าข้าชอบท่านมากมายเพียงไร….ชอบท่านจนถึงขนาดที่จะตายเพื่อท่านได้ และกลับมามีชีวิตเพื่อท่าน”
ฉางซุนอิงสะอึกสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยพยายามสงบจิตใจของตนเองลงไป ค่อยกล่าวต่ออีกว่า “ท่านลืมไปแล้วหรือ? พอข้าตายไป ท่านก็สังหารฆาตกรเหล่านั้นด้วยตนเอง แล้วไปเฝ้าอยู่ที่หน้าสุสานของข้าเจ็ดวันเจ็ดคืน ….. ข้าไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะมิได้มีรักให้ข้าเลยสักนิด”
“เฉวียน ที่จริงแล้วท่านเคยชอบข้าต่างหาก! เพียงแต่ว่าพอผ่านไปนานหลายปีเข้า ใจของท่านก็ไปมีผู้อื่นเสียแล้ว”
“แต่ข้าไม่โทษท่านหรอก ข้าเพียงแต่ขอให้ในใจของท่านมีข้าอยู่สักมุมหนึ่ง ต่อให้เป็นมุมเล็กๆสักเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น”
น้ำเสียงของนางแหบแห้งเหลือเกิน เนื่องเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่านมากไป กระทั่งร่างกายก็ยังสั่นสะท้านเบาๆไปด้วย “ท่านรู้หรือไม่ว่า เพื่อจะได้พบกับท่านอีกครั้ง ตลอดหลายปีมานี้ข้าต้องผ่านความมืดมนมาเพียงไร …..นั่นเป็นสิ่งที่ท่านไม่มีทางเข้าใจได้แม้แต่น้อย….”
นางเงยหน้าขึ้นมา มองดูพระพักตร์ของพระองค์
นับตั้งแต่ที่นางติดตามพระองค์กลับวัง ก็ยังไม่เคยได้เห็นพระองค์แย้มสรวลเลยสักครั้ง
พระองค์ดูคล้ายดั่งเป็นคนที่ไม่มีน้ำจิตน้ำใจไม่มีความรู้สึก ดวงพักตร์ที่งดงามนั้นเย็นยะเยือกอยู่ตลอดเวลา มิว่านางจะกล่าวเรื่องใดกับพระองค์ พระองค์ก็ไม่เคยมีสีพระพักตร์ใดๆทั้งสิ้น
ตอนนี้ขนาดนางกำลังร่ำร้องอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ก็เหมือนกับเล่นละครอยู่ผู้เดียว
ผ่านไปอีกพักใหญ่ จีเฉวียนถึงได้ตรัสออกมาประโยคหนึ่ง
“ดังนั้นเราจะคอยดูแลเจ้าเอง”
“ท่านก็รู้ ว่าข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านมาดูแล เพียงแค่ต้องการจะอยู่ร่วมกับท่านจริงๆเท่านั้น”
จีเฉวียนไม่สนพระทัยนางอีกต่อไป หันไปตรัสเรียกหลี่กงกงให้นำตัวคนกลับไปยังตำหนักหยู่เฉียนกง
…………………..
พอฉางซุนอิงไปแล้ว ทั่วทั้งห้องพระอักษรก็เงียบสงัดลงไป
จีเฉวียนกวาดพระเนตรไปยังทิศทางที่นางหายไปด้วยแววพระเนตรที่เย็นชา
พลางรับสั่งให้คนในตำหนักล่าถอยออกไป ค่อยเสด็จไปที่ด้านหน้าของเก้าอี้ตัวนั้น พลางคุกเข่าลงไป
ทรงล้วงเอาผ้าผืนหนึ่งออกมา แตะน้ำ ค่อยเริ่มเช็ดถูทำความสะอาดทีละน้อย
พระองค์รักความสะอาดอย่างบ้าคลั่ง เมื่อสิ่งของของตนเองถูกผู้อื่นสัมผัสเข้า ก็จะรู้สึกว่าไม่สะอาด
เก้าอี้ตัวนี้พระองค์ให้ตั้งเอาไว้ตรงเบื้องพระพักตร์เพื่อจะได้ทอดพระเนตรทุกๆวัน เพราะคิดถึงยามที่นางเคยนั่งแทะเมล็ดแตงกินแตงหวานอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้
อัญมณีบนเก้าอี้หลากสีสันบาดตา ที่จริงแล้วมิได้เข้ากับเก้าอี้ไม้แดงสักเท่าไหร่
แต่ในเมื่อเป็นเก้าอี้ของนางเช่นนั้นย่อมน่าดูอย่างที่สุด
จีเฉวียนทรงเช็ดถูอย่างละเอียด พระหัตถ์สัมผัสลงไปบนอัญมณีเหล่านั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับว่าจะสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของนาง
สายลมพัดเข้ามา กลิ่นหอมของดอกฮว๋ายคล้ายคลึงกับกลิ่นกายของนางยิ่งนัก ราบกับว่านางกำลังอยู่ข้างกายของพระองค์
ถึงตอนนี้พระองค์ก็ยังทรงจดจำได้อย่างดี สีหน้าที่นางแสดงออกมายามที่อยู่บนกำแพงเมืองแคว้นเหยียนในตอนนั้น
ผิดหวัง โกรธแค้น แต่ก็ต้องเก็บงำเอาไว้
นางแทบจะอยากตัดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ให้หมดสิ้น
จีเฉวียนคิดขึ้นมาในยามนี้ พระทัยก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่เลย
พระองค์คุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้ตัวนั้น เอ่ยฟ้องเบาๆกับอัญมณีที่เม็ดใหญ่ที่สุด “ตัวโง่เขลานั้น ไม่เชื่อถือข้าถึงเพียงนี้
“ไม่เชื่อ…..ก็ดีเหมือนกัน”
………….
หลงเซียวเข้ามาในตำหนัก พอดีได้เห็นฝ่าบามตรัสกับเพชรพลอยเม็ดใหญ่
เขาชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ทำท่าจะถอยออกไปเงียบๆ
“มีเรื่องอะไร?”
จีเฉวียนทรงหันหลังให้กับเขา เก็บผ้าผืนนั้นเข้าไปในอกเสื้อ
“ฝ่าบาท …..ไทเฮาน้อย….ไม่ใช่ ฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน …..คล้ายกับว่ากำลังจะเสด็จไปทะเลตะวันตกแล้ว”
“ทะเลตะวันตกหรือ?”
“คล้ายกับว่าเทพธิดาแห่งสายน้ำลี่โจวเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ฮ่องเต้หญิงจึงจะเสด็จไปช่วย”
หลงเซียวทูลพลาง ก็ขยับเข้าไปใกล้ ถวายจดหมายลับในมือของตนให้จีเฉวียนกับพระหัตถ์ด้วยความเคารพนบนอบ “ในสารมีลายละเอียดทั้งหมดอยู่พะยะค่ะ”
จีเฉวียนประทับยืนขึ้นมา เสด็จกลับไปที่โต๊ะพระอักษร แล้วประทับนั่งลง
ฉลองพระองค์พลิกลงไป เส้นพระเกศาตกลงมา ทอดพระเนตรดูเนื้อความในสาร สายพระเนตรก็ครึ้มลงอีกหลายส่วน
คนผู้นี้ช่างมีรูปลักษณ์ดีจริงๆ แค่ทำท่าอ่านนู่นอ่านนี่เฉยๆก็ยังดูดีมากถึงขนาดนี้
“เผ่ามังกรทมิฬ ….. หากว่าเราจำไม่ผิดล่ะก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสายเลือดคลุ้มคลั่ง”
“ใช่แล้วพะยะค่ะ”
หลงเซียวทูลรับ ตนเองก็เปิดบันทึกโบราณเล่มหนึ่งขึ้นมา “ในคำภีร์《บันทึกเหล่าเทพ》มีการจดบันทึกเอาไว้ เผ่ามังกรทมิฬอาศัยอยู่ในส่วนลึกของทะเลตะวันตก ในบรรดาเผ่ามังกรทั้งหลายนับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพละกำลังเข้มแข็ง อุปนิสัยกระหายเลือด จึงถูกทวยเทพกักขังเอาไว้ในทะเลลึก ไม่อาจออกมาได้”
“มีบันทึกถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” จากนั้นหลงเซียวก็กราบทูลจีเฉวียนอีกว่า “ฝ่าบาท จะทรงโปรดให้กระหม่อมรวบรวมข่าวสารให้มากกว่านี้หรือไม่พะยะค่ะ?”
จีเฉวียนทรงเผาสารในพระหัตถ์ทิ้งไป กดพระหัตถ์ลงไปบนโต๊ะอักษรอยู่ครู่หนึ่ง “คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของทางนั้นเอาไว้ตลอดเวลา”
………………………………….
ไรท์: ตอนแรกที่อ่านเรื่องนี้ก็คิดว่าเป็นเรื่องของชาววัง แปลไปๆชักจะออกทะเล ลงสุสาน เข้าถ้ำ บุกทะเลทราย ตอนนี้ก็กำลังจะออกทะเลจริงๆแล้วสินะ! แล้วเราจะทำยังไงดี? (หยิบมือถือสั่งเรือดำน้ำล่วงหน้าเลยแล้วกัน เดี๋ยวติดวันหยุดแล้วช้า)
ตอนต่อไป “ตัวอบอุ่นที่ทั้งน่ารักทั้งน่าหยิก”