ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 440 คนคร่ำครึที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
เขาเกือบจะลืมไปแล้ว ว่าตาแก่อย่างซื่อมั่ว เดิมทีก็เป็นคนคร่ำครึที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ยามดีๆนั้น….ต่อให้เหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ไม่มีผู้ใดจะเปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมีต่อสรรพชีวิตได้เท่าเขา
ยามร้ายขึ้นมา….เยี่ยจ้านคิดๆดูแล้วก็รู้สึกหนาวๆอยู่บ้าง
ยังดีที่หากไม่มีสถานการณ์ผิดปกติอะไร…..ซื่อมั่วก็จะดีอยู่เสมอ
ลูกศิษย์ที่เขาอบรมขึ้นมา ต่อให้นอกลู่นอกทางไปบ้างก็ไม่หลุดไปไหนไกล
ตู๋กูซิงหลันไม่ตอบคำ นางเพียงแต่จดจำคำของจีเฉวียนได้อย่างแม่นยำ จดจำความตั้งใจในการที่จะเป็นฮ่องเต้ของเขา
มือของนางวางลงบนร่างของเขา จนสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่อยู่ภายใน ท่านพ่อมีหนทางจะช่วยเหลือเขาหรือไม่เจ้าคะ? หรือว่ามีหนทางใดจะส่งเขากลับไปต้าโจวได้บ้าง?”
ยามที่นางไม่อยู่ในต้าเหยียน ก็ยังมีท่านตาและพี่ใหญ่คอยรักษาการณ์อยู่ แต่หากจีเฉวียนไม่อยู่ในต้าโจว…เรื่องก็คงจะซับซ้อนและอันตรายกว่ามาก
อย่าว่าแต่….ตู๋กูซิงหลันเองก็กระจ่างแก่ใจดีว่า เบื้องหลังของพวกเขายังมีกลุ่มอำนาจที่คอยเคลื่อนไหวในความมืดแอบซ่อนอยู่
เรื่องของราชครูถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น มิใช่จุดสิ้นสุด
มีคนจงใจจัดฉาก แต่คนผู้นั้นเป็นใครแม้แต่ตัวนางก็ยังคลำไม่เจอ…..คนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของฉางซุนซิ่วผู้นั้น……
จะต้องเป็นคนที่คอยจุดไฟขึ้นมา
เยี่ยจ้านถึงกับเคยเปิดช่องว่างของกาลเวลามาแล้ว ทั้งยังส่งนางไปยังโลกปัจจุบันได้ บางทีอาจจะมีหนทางส่งเขากลับไปยังต้าโจว
ตู๋กูซิงหลันเอ่ยปากก็เรียกหาบิดา เรียกอย่างสนิมสนมลื่นไหล
ฟังแล้วหัวใจของเยี่ยจ้านก็อบอุ่นอย่างยิ่ง ต่อให้นางต้องการดวงดาวบนท้องฟ้า เขาที่เป็นบิดาก็จะเด็ดลงมาให้กับนาง!
เมื่อครู่เขาพึ่งจะกลับมานั่งลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน พอได้ยินคำพูดของนางก็ลุกขึ้นอีกครั้ง เดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว ก็พึมพำกับกิ่งไม้ใหญ่ว่า “นับว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าโชคดี ที่มีบุตรสาวคนดีของข้ามาขอความเมตตาแทนเจ้า…”
กิ่งไม้ใหญ่ “…..” มันไม่ใช่เด็กน้อยนะ ขอบคุณ
ตู๋กูซิงหลัน “ท่านพ่อ….เขาอยู่ทางขวามือของท่าน”
เยี่ยจ้านยื่นมือออกไปคลำกิ่งไม้ใหญ่ดูเล็กน้อย ก็กระแอมไอออกมา พลางหันไปทางขวามืออย่างไร้ซุ่มเสียง
ขณะที่คลำไปตามร่างของจีเฉวียนนั้น ใจกลางฝ่ามือของเขาก็ปรากฏลำแสงสีเงินออกมา แสงสีเงินนั้นซึมซาบลงไปในหน้าผากของจีเฉวียน
ในตอนนั้นเอง กิ่งไม้ที่พันอยู่รอบตัวเขาก็ถอยออกไปด้านข้าง
เส้นผมของจีเฉวียนพลิ้วไหวราวกับปลิวลม พอแสงสีเงินของเยี่ยจ้านแทรกซึมผ่านหน้าผากของจีเฉวียนลงไป ทั่วทั้งร่างของเขาก็เปล่งประกายแสงสีเงินออกมาชั้นหนึ่ง
เพียงครู่เดียวก็เห็นร่างกายของเขาขับเอาหมอกสีดำออกมา
หมอกสีดำเหล่านั้นรายล้อมแสงสีเงินเอาไว้ จนห่อหุ้มร่างของเขาทั้งร่าง….ก็เห็นพลังของสายลมที่คมกริบหอบหนึ่งถูกหมอกสีดำและแสงสีเงินผลักดันออกไปจากร่างกายของเขา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ตอนแรกๆพลังของสายลมที่คมกริบยังรุนแรงอย่างยิ่ง
ขนาดตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านข้างยังรู้สึกได้เลยว่าผิวเนื้อทั่วร่างเจ็บปวดอยู่บ้าง
เดิมทีเสื้อผ้าบนร่างของนางก็ถูกสายลมที่คมกริบนั้นบาดจนขาดไม่มีชิ้นดีอยู่แล้ว
นางไม่ได้สนใจตนเอง เอาแต่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ…..
พลังจากพัดของหวาชางสุ่ยนางเคยประจักษ์มาแล้ว แต่นางก็นึกไม่ถึงว่าพลังนั้นจะรุกเข้าไปในร่างกายของจีเฉวียน จะกลายเป็นสายลมที่เกรี้ยวกราด อาละวาดอยู่ภายในร่างกายของเขา
สามลมที่น่ากลัวเช่นนี้ หากทำร้ายคนที่ร่างกายภายนอกสักครั้งหนึ่ง ก็เพียงพอจะตัดขาของคนธรรมดาออกไป….. แต่จีเฉวียนกับรับเอาไว้ทั้งอย่างนั้น
นางไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจีเฉวียนจะต้องเจ็บปวดสักเพียงไร
พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ กำลังของลมที่คมกริบก็อ่อนลงไปทุกที สุดท้ายก็เหลือเพียงสายลมจางๆ
เยี่ยจ้านถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง แสงสีเงินในฝ่ามือของเขาก็จางลงไป
ตู๋กูซิงหลันสังเกตเห็นว่าขนาดเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเช่นบิดาของนาง บนหน้าผากก็ยังมีเหงื่อบางๆชั้นหนึ่ง
ร่างกายที่แท้จริงของเขาถูกเขาเปลี่ยนเป็นต้นไม้มังกรไปแล้ว ทั้งยังใช้พลังมังกรกว่าครึ่งในร่างไปตามหาจิตวิญญาณของมารดากลับมา….เยี่ยจ้านในวัยนี้ ย่อมมิได้แข็งแกร่งเช่นดังก่อนแล้ว
“ยังดี ที่กระดูกในร่างของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง จึงไม่ถูกสายลมบาดจนกลายเป็นเนื้อเละๆ” ผ่านไปอีกครู่หนึ่งท่านพ่อคนงามจึงได้เอ่ยขึ้นมา “พลังของพัดวายุในร่างของเขาสลายไปหมดแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของร่างนี้ อีกไม่นานก็จะฟื้นฟูได้เอง”
พอเขายื่นมือออกไป ก็เห็นกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเคลื่อนลงมา
กิ่งไม้นั้นพันรัดลูกแก้วใสกระจ่างเอาไว้ลูกหนึ่ง ลูกแก้วที่ทอประกายสว่างและนุ่มนวล หล่นลงบนฝ่ามือของเยี่ยจ้านเบาๆ
เยี่ยจ้านใช้ปลายนิ้วคลำสัมผัสลูกแก้ว จากนั้นค่อยส่งมาที่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลัน “ลูกหลัน เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะส่งเขากลับไปที่ต้าโจว?”
ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันตอบคำ เขาก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “จากกันครั้งนี้ เกรงว่าคงยากที่จะได้เจอกันอีกครั้งแล้ว”
ในชีวิตของเขา เคยตัดสินใจพลาดเรื่องหัวใจไปแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้เขาสูญเสียสตรีที่รักที่สุดไป ต้องเฝ้าอยู่ใต้หุบเหวไร้ก้นเนิ่นนาน ไม่รู้กี่วันเดือนปี
เขาไม่อยากให้บุตรสาวต้องมา…….โดดเดี่ยวอ้างว้างเช่นเดียวกัน
ก้นทะเลลึกแห่งนี้เดิมทีก็เป็นเขตแดนต้องห้ามอยู่แล้ว หากคนธรรมดาคิดจะอาศัยกำลังของตนเองผ่านเข้ามา ก็คงจะยากเย็นยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นฟ้า….
โอรสสวรรค์ผู้นี้ไล่ตามบุตรสาวของเขามาถึงที่นี่ หัวใจดวงนั้นย่อมมิใช่เท็จ
จีเฉวียนยังไม่ได้สติ จึงไม่มีใครเห็นว่าขนตาของเขากำลังกระพริบน้อยๆ
ตู๋กูซิงหลันเงียบงันไปเนิ่นนาน นางลูบคลำดาบยักษ์ในมือ จากนั้นค่อยขยับริมฝีปากสีแดง “ท่านพ่อ ใต้หล้านี้คนที่สามารถฝากชีวิตแก่กันในสนามรบ นอกจากพี่น้องแล้วคือใครอีก?”
เยี่ยจ้านตะลึงไปเล็กน้อย “หืม?”
“คนรักไง” ตู๋กูซิงหลันตอบเขาอย่างมั่นใจ
นางพลิกดาบยักษ์กลับขึ้นไปบนบ่า ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมองดูจีเฉวียน “ข้ากับเขามิใช่พี่น้องกัน ยิ่งมิใช่คนรัก จึงไม่มีเหตุผลที่จะรั้งเขาเอาไว้ที่นี่”
เยี่ยจ้าน “……” พูดไปก็มีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องอยู่
บุตรสาวคนดีคงจะไม่ได้….ไม่ต้องการลากโอรสสวรรค์แคว้นโจวเข้ามาพัวพัน คิดจะแบกดาบลุยเดี่ยวออกไปทั่วทิศแต่เพียงลำพัง?
นิสัยเช่นนี้….มีส่วนคล้ายคลึงกับตัวเขาในยามหนุ่มอยู่หลายส่วน
เยี่ยจ้านดูแล้วก็เห็นว่าบุตรสาวกำลังปกป้องโอรสสวรรค์แคว้นโจวอยู่เป็นแน่
ปากบอกว่าไม่ชมชอบ แต่มิว่าทำอะไรล้วนคำนึงถึงเขาอย่างรอบคอบ
เขาเป็นบิดา ไม่สะดวกจะวิพากษ์วิจารณ์มากเกินไป พักใหญ่ต่อมาถึงเอ่ยว่า “หากเจ้าคิดดีแล้วก็แล้วไป”
“คิดดีแล้วเจ้าค่ะ”
ตู๋กูซิงหลันตอบนางกำด้ามดาบแน่นเข้า จีเฉวียนช่วยนางทอนพลังของหวาชางสุ่ยไปแล้วครั้งหนึ่ง
นางไม่ต้องการให้เขามาทนรับอะไรแทนนางอีก
ที่ขอให้บิดารักษาเขา และส่งเขากลับไป ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจของเขาจากนาง
แค้นของมารดา! นางย่อมต้องจัดการด้วยมือตนเอง!
เยี่ยจ้านเห็นนางท่าทางหนักแน่นราวเหล็กกล้า ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
สองมือของเขาประคองลูกแก้วเอาไว้ ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยคาถา ใจกลางฝ่ามือก็ผุดพลังสายหนึ่งขึ้นมา
จากนั้นก็เห็นกิ่งไม้ที่อยู่บนศีรษะเลื่อนลงมา พวกมันลอยอยู่เหนือลูกแก้ว ส่งพลังวิญญาณที่ได้จากแมลงกินวิญญาณเข้าไปภายในลูกแก้วอย่างต่อเนื่อง
เพียงแค่ครู่เดียว ก็เห็นในลูกแก้วที่เปล่งประกายสุกใสปรากฏภาพของวังหลวงของแคว้นต้าโจว
พอภาพนั้นหมุนไป ก็เปลี่ยนจากตำหนักเฟิ่งหมิงกงเป็นตำหนักตี้หัว
ไปหยุดตรงต้นฮว๋ายสองต้นที่ปลูกอยู่ตรงปากประตูพระตำหนัก ดอกฮว๋ายฮวากำลังผลิบาน
…………………………………………………………….
ตอนต่อไป “หนังสือเลือดจากคนนับหมื่น”