ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 503 ยินยอมสละได้ทุกสิ่งเพื่อนาง
ที่จริงแล้ว เขาไม่มีสิทธิจะมาพูดเช่นนี้กับนางด้วยซ้ำ
หากว่ายังจะพูดต่อไปอีก นางก็จะจัดการเขาเป็นอย่างแรก
“มีเรื่องบางเรื่อง คุณหนูยังไม่เข้าใจ….” เขาเอาแต่ส่ายศีรษะ ถอนหายใจ
เพราะตัวเขาเอง… หลังจากที่เผ่าหมิงล่มสลายไปแล้ว ก็กลายเป็นจอมมาร เพราะเขารักคนผู้หนึ่ง ปรารถนาจะปกป้องนางไปตลอดกาล จึงได้กระทำเรื่องผิดพลาดไปไม่น้อย
แต่ว่าเขาก็ไม่เสียใจ ไม่เคยรู้สึกเสียใจ
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันไม่มีเวลาจะไปทำความเข้าใจเรื่องราวในอดีตของเขา ใจของนางกังวลถึงแต่จีเฉวียน นางก้มหน้าลงมองดูด้ายผูกชะตาบนข้อมือ
มันยังอยู่ แต่ว่าสีกลับอ่อนจางไปมาก
นางไม่พูดอะไรกับเสินฟางให้มากความ เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของตนเอง เอาดาบยักษ์เก็บลงไปในถุงเฉียนคุน
ถุงเฉียนคุนใบนี้ชือหลีมองให้กับนาง ในถุงมีพื้นที่ว่างที่สามารถบรรจุสิ่งของต่างๆได้จำนวนหนึ่ง
จากนั้นนางก็อาศัยสัญญาณจากด้ายผูกชะตารีบออกไปตามหาจีเฉวียน
หากนับเวลาดู จีเฉวียนพึ่งจะมาถึงโลกใบนี้ได้ไม่ถึงครึ่งเดือนดี ยามปกตินางก็ไม่ค่อยได้พาเขาไปที่ไหน คนที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ เขาจะไปที่ใดได้กัน?
ด้ายผูกชะตานี้เป็นสิ่งที่เขาผูกโยงเอาไว้บนข้อมือของพวกนาง ยิ่งอยู่ห่างกันสีสันก็จะยิ่งจืดจาง หากไกลออกไปจนเกินระยะติดตามก็จะทำให้ด้ายผูกชะตานี้หายไป
หากว่าสีสันยิ่งเข้มก็แสดงว่าอยู่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ด้ายผูกชะตานี้จึงเหมาะจะใช้ค้นหาคนที่สุดแล้ว
ตอนนี้ด้ายอ่อนจางจนใกล้จะมองไม่เห็นอยู่แล้ว
………………………
จีเฉวียนเดินอยู่บนถนนด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกลางฤดูร้อน ข้อมือของเขาคล้ายจะถูกอะไรบางอย่างข่วนมา ผิวหนังถลอก เลือดที่ไหลออกมาแห้งกรังจนกลายเป็นสีดำไปแล้ว
เสื้อตัวนอกแบบตะวันตกขาดไม่เป็นชิ้นดี ใบหน้ามีแต่เลือด เลอะเทอะจนเปรอะเปื้อนไปหมด
เขาเดินลงมาจากหุบเขาปีศาจตลอดคืน ถึงลงมาที่ตีนเขา ตอนนี้ก็ยืนโอนเอนอย่างอ่อนล้าและระโหยโรยแรงอยู่บนถนนท่ามกลางแดดจ้า
ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองดูเขาด้วยแววตาที่สงสัยและเป็นกังวล
ตลอดทางมีผู้คนไม่น้อยที่ไถ่ถามเขา ว่าต้องการให้ส่งเขาไปที่โรงพยาบาลหรือไม่
แต่ว่าฮ่องเต้กลับไม่ได้ตรัสตอบใครทั้งนั้น
เอาแต่เดินไปเรื่อยๆ
เดิมทีบาดแผลที่พระองค์ได้รับจากการต่อสู้กับอสุรกายโลกันตร์ที่ก้นทะเลก็ยังไม่หายดี เมื่อคืนยังเผชิญศึกที่โหดเ**้ยมอีก จนทำให้กระดูกหักไปหลายท่อน สภาพดูแล้วย่ำแย่จริงๆ
หลังจากที่เดินตากแดดมานานหลายต่อหลายชั่วโมง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ต้องเสาะหาที่ร่มๆนั่งลง
ด้านข้างมี ‘โรงเรียนอนุบาลความหวัง’ อยู่แห่งหนึ่ง
ยามรักษาความปลอดภัยเห็นเขาแล้วต้องตกใจจนจับตาดูอยู่หลายครั้ง เพราะเกรงว่าจะเป็นพวกก่อการร้าย
เขาถือกระบองไฟฟ้าเอาไว้ในมือ พร้อมจะหยิบออกมาได้ทุกเมื่อ
ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายแล้ว โรงเรียนอนุบาลกำลังเลิกเรียน เหล่าผู้ปกครองที่รออยู่ด้านนอกมีไม่น้อยที่สังเกตเห็นจีเฉวียน
ชายหนุ่มผู้นี้มีเลือดท่วมตัว ดูแล้วทั้งอันตรายและก็น่าสงสาร
ขณะที่พวกผู้ใหญ่คอยจับตาดู แต่เด็กๆกลับบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ เด็กๆบางคนยังไม่มีผู้ปกครองมารับ ก็วิ่งมาที่ข้างกายจีเฉวียนชมดูด้วยความสงสัย
เด็กผู้หญิงสองคน เด็กผู้ชายอีกสองคน ยืนอยู่ข้างๆจีเฉวียน
“คุณลุง คุณลุงไปต่อยตีกับคนอื่นแล้วแพ้มาหรือ?” เด็กผู้หญิงที่มัดผมแกละสองข้างเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ
ทางหนึ่งถามเขา อีกทางก็เปิดกระเป๋าหนังสือใบเล็กของตนเองออกมาส่งขวดน้ำดื่มให้ “คุณลุง ปากแห้งมาเลย น้ำนี่หนูให้ค่ะ”
เด็กผู้หญิงอีกคนที่ถักผมเปียยื่นมือออกมาอย่างไม่เกรงกลัว จับมือของจีเฉวียนเอาไว้
“คุณแม่บอกว่า เวลาเจ็บให้เป่าๆก็จะหายเจ็บ”
เธอพูดพลาง ก็เป่าบาดแผลให้กับจีเฉวียน
พอฝ่ามือที่เย็นเฉียบสัมผัสลมอุ่นๆ ในที่สุดจีเฉวียนก็เงยหน้าขึ้นมามองดูเด็กเหล่านั้น
ทันทีที่มองเห็น พระองค์ก็ต้องตกตะลึงไป
เด็กหญิงตัวน้อยถักผมเปียที่คว้าพระหัตถ์ของพระองค์….
นาง เหมือนกับอาอิงในยามเด็กอย่างไรอย่างนั้น
“เสี่ยวอิง อย่าไปจับมือคนแปลกหน้าสิ” เด็กผู้ชายที่อยู่ข้างๆพุ่งเข้ามา ดึงตัวเด็กหญิงกลับไป
เด็กผู้ชายคนนั้นตัวสูงกว่าเด็กชายคนอื่น ทั้งๆที่แค่สี่ห้าขวบ แต่กลับดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ฉางอัน คุณลุงคนนี้น่าสงสารมากๆเลย …พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ ……” เด็กหญิงผมเปียอธิบายพลาง น้ำตาก็เอ่อขึ้นมา
“รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองก็เจ็บไปด้วย” เธอพูดพลางไปก็หันกลับไปยืนข้างๆเด็กผู้ชายที่ชื่อฉางอันอย่างเชื่อฟัง
แต่ว่าดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยละอองน้ำตาคู่นั้นก็ยังจับจ้องไปที่จีเฉวียนอยู่ตลอด
คุณลุงคนนี้ไม่น่ากลัวเลย….แต่กลับให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยราวกับเป็นญาติสนิท
จีเฉวียนมองดูพวกเขา ค่อยปาดเช็ดคราบเลือดบนพระพักตร์ออกไป ตรัสถามกับเด็กหญิงที่ถักผมเปียว่า “ตอนนี้เจ้าอยู่อย่างสงบสุขดีหรือไม่?”
“อ๋า? สงบสุขคืออะไร มันกินได้ไหม?” เด็กหญิงผมเปียเอียงคอถามอย่างไร้เดียงสา พลางหันไปถามเด็กผู้ชายที่อยู่ข้างๆ
“เสี่ยวอิง เธอมีความสุขมากเลย” เด็กผู้ชายที่ชื่อฉางอันพยักหน้าติดๆกัน “มีคุณพ่อ คุณแม่ มีปู่ย่าตายาย ทุกคนล้วนรักเสี่ยวอิง”
“อ๋อ แบบนี้ก็คือสงบสุขนะหรอ” เสี่ยวอิงหัวเราะออกมา จนดวงตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวอย่างน่าเอ็นดู
“คุณลุง ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวอิงก็มีความสุขมากเลย มีเพื่อนเล่นเยอะแยะทุกๆวัน พ่อกับแม่ก็รักหนู”
พอได้เห็นนางหัวเราะเช่นนี้ ในที่สุด ก้อนหินที่ถมทับอยู่ในพระทัยของจีเฉวียนมานานหลายปี ก็สามารถหลุดออกไปได้เสียที
นางตายจากไปในโลกใบหนึ่ง…..กลับได้มาเกิดใหม่ในโลกอีกใบ
สิ่งที่สวรรค์ติดค้างนางเมื่อชาติก่อน ได้ชดเชยให้ในชาตินี้
สงบสุข…..ปลอดภัย
ความปรารถนาของนาง เป็นจริงแล้วในชาตินี้
โลกปัจจุบันใบนี้……แม้พระองค์จะพึ่งมาได้เพียงครึ่งเดือน แต่ก็ได้เห็นแล้วว่าผู้คนอยู่อย่างสงบสุข มีความสุข
ในโลกใบนี้ ทุกคนล้วนได้รับความเคารพ มีสิทธิในชีวิตของตนเอง….โลกใบนี้ ไม่มีชนชั้นที่แตกต่าง ไม่มีการเข่นฆ่าและกวาดล้าง
นางกับฉางอันได้มาที่โลกใบนี้ด้วยกัน ช่างดีจริงๆ
พระทัยที่เย็นเฉียบของจีเฉวียน พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ ในพระทัยไหนเลยจะมีเพียงความรักของหนุ่มสาว?
ในโลกโบราณนั้น พระองค์ปรารถนาจะได้เห็นแผ่นดินที่สงบสุข แต่ว่าก็ยังทำได้ไม่สำเร็จ…..
พระองค์ยินดีตาย แต่ต้องตายอย่างมีคุณค่า
ถึงแม้ว่าจะไม่อาจได้หัวใจของนางมา แต่พระองค์ก็ยินดีที่จะปกป้องโลกของนาง และโลกของพระองค์ด้วยชีวิต
ให้ทุกๆที่ที่นางไปถึง เป็นดินแดนที่มีแสงสว่าง
ให้ผู้คนทุกคน มีความสุข
พอจีเฉวียนได้เห็นรอยยิ้มของอาอิง ทันใดนั้นพระองค์ก็เข้าพระทัยแล้ว
สิ่งที่พระองค์ปรารถนา ก็คือความสงบสุขชั่วชีวิตของซิงซิง
ส่วนที่ว่าจะได้รับความรักจากนางหรือไม่นั้น คล้ายจะไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
หากว่าคนที่นางชอบคือซื่อมั่ว…..เช่นนั้นพระองค์ก็ยินดีจะสละทุกสิ่งเพื่อให้นางได้มีความสุขสมหวัง
“อาอิงตัวน้อย เจ้าจะต้องมีความสุขไปตลอดชีวิต” จีเฉวียนยื่นพระหัตถ์ออกมา ลูบไล้ศีรษะของนางเบาๆ มอบคำอวยพรให้นางอย่างจริงพระทัย
“นั่นแน่นอน” เสี่ยวอิงยิ้มหวาน
“คุณลุงก็ต้องมีความสุขด้วยนะ”
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันเฝ้ามองดูอยู่ไกลไกล
นี่เกือบจะเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นจีเฉวียนยิ้มแย้มอย่างเป็นธรรมชาติ ให้กับเด็กหญิงสักคน
…………………………………….