ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 507 ซือเป่ย
พี่ใหญ่?
ตู๋กูซิงหลันแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง ใบหน้าของคนผู้นั้น….
ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา เปี่ยมไปด้วยไอสังหารที่โหดเ**้ยม
เขาสวมใส่เกราะทองทั่วทั้งร่าง หมวกเกราะบนศีรษะมีขนนกยาวสองเส้นทำให้โดดเด่นดึงดูดสายตาผู้คน
“ซือเป่ย ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าจะต้องเป็นเจ้า” ซื่อมั่วกุมไม้เท้าในมือมั่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เขาไม่ได้มีความประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เพียงกระชับไม้เท้าในมือเข้ามาเท่านั้น
ซือเป่ย?
สมองของตู๋กูซิงหลันทบทวนด้วยความตื่นตัวรอบหนึ่ง ชื่อนี้ …..เป็นคนรู้จักของอาจารย์ เขา ไม่ใช่พี่ใหญ่ของนาง?
“คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานหลายปีหมิงอ๋องจะยังคงจดจำนามของข้าได้” คนผู้นั้นยิ้มอย่างเย็นชา ยกมือขึ้นลูบขนนกบนศีรษะครั้งหนึ่ง ฝ่ามือของเขาคล้ายจะเพิ่มประกายทองแวววาว ทำให้ตู๋กูซิงหลันคิดไปถึงคนผู้หนึ่ง
ลิโป้
ขอบหน้าและคางของเขามีเครา ท่ามกลางบรรยากาศของการฆ่าฟัน ยิ่งเสริมบุคลิกของเขาให้ทั้งหล่อเหลาและคมคาย พอรวมเข้ากับพละกำลังที่แข็งแกร่งปานทะลวงแผ่นฟ้าได้ ก็ยิ่งดูเหมือนกับเทพสงครามในตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา
“นักรบอันดับหนึ่งของเผ่าสวรรค์ น้องชายของซือหนาน ข้าย่อมจดจำได้” ซื่อมั่วสีหน้าเย็นชา เขาฝืนกำลังเค้นพลังในร่างออกมา ไม่ยอมปล่อยให้เงาร่างของตนแปรปรวน
ซือเป่ยมองดูเขา จากนั้นก็เหลือบตาไปมองดูตู๋กูซิงหลันที่อยู่ข้างกายเขา ทั้งยังจับจ้องอยู่ที่ดาบยักษ์ในมือของนางอยู่ครู่หนึ่ง
หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดพลาดละก็ อาวุธประจำกายที่ซือหนานใช้มาโดยตลอดก็คือดาบยักษ์เล่มหนึ่ง ซึ่งคล้ายคลึงกับดาบในมือของสาวน้อยผู้นี้อย่างยิ่ง
“ท่านยังจดจำซือหนานได้ ช่างลำบากหมิงอ๋องแล้ว” หลังเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เขาค่อยเอ่ยปากขึ้นมา รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าสวะนั่น…..ตกตายใต้คมดาบไปนานนับหมื่นปีแล้ว ยังจะมีอะไรมาคู่ควรเป็นพี่ชายของข้าอีก?”
“ฮึ ก็แค่กบฎที่ทรยศเผ่าเทพแห่งสรวงสวรรค์เท่านั้น”
เขากล่าวออกมาอย่างเย็นชา ทั่วร่างเปล่งประกายออกมาจนบดบังใบหน้าลงไปอีกครั้ง
ง้าวสีทองในมือชี้ไปทางซื่อมั่วอีกครั้ง “ท่านกล่าววาจาไร้สาระไปตั้งมากมาย ก็ทำได้เพียงแค่ถ่วงเวลาเท่านั้น หมิงอ๋อง ….ท่านมันสมควรตายไปตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนโน้นแล้ว ตอนนี้ในเมื่อปรากฏตัว ได้ตายในมือของแม่ทัพอย่างข้า ก็ต้องถือว่าไม่เสียเกียรติหมิงอ๋องอย่างท่านแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็กระชับง้าวในมือเหาะเข้ามา
พร้อมกับที่เขาเหาะเข้ามานั้น พลันมีปักษายักษ์สีทองอร่ามตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
นกตัวนั้นกางปีกออกกว้าง แทบจะบดบังดวงอาทิตย์ไปจนหมด กรงเล็บที่ขยุ้มลงมา ราวกับมีคมกระบี่นับพันเล่มพุ่งลงมาพร้อมๆกัน
นี่ชัดเจนเลยว่า เทพนักรบผู้นี้ไม่คิดจะเสียเวลาทำศึกกับเขาเนิ่นนานเกินไป จึงคิดจะจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าอีกฝ่ายจะอย่างไรก็เป็นถึงหมิงอ๋อง ….ถึงแม้พละกำลังจะลดน้อยถอยลงไปไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ไหนเลยจะถูกฆ่าได้โดยง่าย
ปักษายักษ์ตัวนี้คือสัตว์อสูรในพันธะสัญญาของเง็กเซียนฮ่องเต้ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางมา เง็กเซียนทรงมีบัญชาให้เขานำมาเป็นพิเศษ
เพื่อให้พอถึงช่วงเวลาสำคัญ สามารถกำจัดหมิงอ๋องได้สำเร็จ
เนื่องเพราะปักษายักษ์ตัวนี้ คือสิ่งมีชีวิตระดับเทพที่คงอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล มีอิทธิฤทธิ์สะกดข่มไอหยินและภูติผีปีศาจทั้งหลายโดยกำเนิด ถือเป็นดาวนำโชคของเผ่าสวรรค์
ยามที่ปักษายักษ์ตัวนี้ถลาลงมา บนกรงเล็บยังอาบไปด้วยเปลวเพลิง ที่ยืดยาวออกมาหลายเมตร มันพุ่งตรงเข้าหาทรวงอกของซื่อมั่ว หมายมั่นจะคว้านลงไปในอกของเขาจนว่างเปล่า
ง้าวของซือเป่ยเองก็บุกเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง
“หมิงอ๋อง…..เจ้ายกมือยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถอะ สรวงสวรรค์ไม่มีทางปล่อยเจ้า ในเมื่อจะช้าเร็วก็ต้องตาย ปล่อยให้เจ้าได้ยืนหยัดอยู่ในใต้หล้ามาเนิ่นนานหลายปีถึงเพียงนี้ ก็ต้องนับว่าเป็นความเมตตาของสวรรค์แล้ว” ซือเป่ยเปล่งเสียงลงมาจากด้านบน
“ข้าจะส่งเจ้าลงไปอยู่ในขุมนรกที่ไร้สิ้นสุด เป็นเพื่อนกับพี่ชายที่โง่เขลาผู้นั้น ใต้ธารน้ำพุเหลืองนั่น พวกเจ้าจะได้ไม่เปลี่ยวเหงาไงเล่า”
ตอนนั้นมิใช่เป็นเพราะซือหนาน สาบานว่าแม้ต้องตายก็จะขอปกป้องเผ่าหมิง จึงต้องมีจุดจบที่ดับอนาถหรอกหรือ?
เขาละทิ้งฐานันดรของเทพเซียน ไปเป็นยมราชเหยียนอ๋องอะไรนั่นในเผ่าหมิง สมองของคนผู้นั่นมิใช่ว่ามีปัญหาหนักหรอกหรือ?
ซือหนาน…..คือความอับอายชั่วกาลนานเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าเทพในสวรรค์! ตายไปเสียก็ดี
เพราะยามนี้เขาเผชิญหน้ากับหมิงอ๋อง จึงอดที่จะคิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาไม่ได้
ยามเมื่อกรงเล็บเพลิงของปักษายักษ์และง้าวของซือเป่ยพุ่งเข้ามานั้น ตู๋กูซิงหลันก็ยกดาบยักษ์ขึ้นสกัดเอาไว้ในทันที
“ตึง!” แม้ว่าดาบยักษ์เล่มนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน แต่ก็ยังต้องชำรุดอยู่ดี หลังแรงระเบิด ถึงกับถูกกรงเล็บของปักษายักษ์ตัวนั้นทะลวงเป็นรูแห่งหนึ่ง
กรงเล็บของมันพุ่งเข้ามาถึงเสื้อผ้าของซื่อมั่ว กรีดทรวงอกของเขาเป็นรอยจางๆสายหนึ่ง
ง้าวของซือเป่ยฟาดลงมาบนข้อมือของตู๋กูซิงหลัน ยังดีที่ไม่ทันจะได้กรีดลงบนข้อมือของนาง ตู๋กูซิงหลันก็ถูกซื่อมั่วโอบเข้าไปในวงแขนก่อนแล้ว
มือข้างหนึ่งของเขาโอบนางเอาไว้ มืออีกข้างยกขึ้นรับง้าวของซือเป่ย
ทันใดนั้นเองฝ่ามือก็หลั่งเลือดทะลักออกมา สาดใส่ง้าวของซือเป่ย แสงสว่างเรืองรองบนตัวง้าวถึงกับหม่นหมองลงไปในทันที
ซื่อมั่วกำปลายแหลมของง้าวเอาไว้แน่น ใช้กำลังออกไปอย่างเต็มที่ เจดีย์สมบัติทองคำบนปลายง้าวถึงกับถูกเขาหักทิ้งลงมา
“ซือหนานคือเทพสงครามของเผ่าหมิงเรา เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะลบหลู่เขา” ซื่อมั่วหรี่ดวงตาลง เป็นครั้งแรกของตู๋กูซิงหลันที่ได้เห็นแววตาที่เรียบเฉยของอาจารย์แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้ แววตาที่เหมือนดังพญาอินทรี
เขาโกรธแล้ว
ไอหยินรอบตัวเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ปลายง้าวที่อยู่ในฝ่ามือของเขาถูกบีบทำลายจนสลายเป็นผุยผง เขาตวัดฝ่ามือ สาดหยดเลือดกระจายออกไปสัมผัสโดนร่างของซือเป่ย
ซือเป่ยเห็นยอดคมง้าวถูกหักลงมา สีหน้าก็ต้องเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
หมิงอ๋องที่มีพละกำลังไม่เท่ากับกาลก่อน …..ยังสามารถหักทำลายง้าวทองคำของเขาลงได้?
ทรวงอกของเขากระเพื่อมขึ้นลง สายตาจับจ้องอยู่ที่มือข้างนั้น เห็นเลือดไหลออกมาโดยไม่ขาดสาย
“หมิงอ๋อง เจ้าเอาตัวเองยังไม่รอด ยังคิดจะช่วงชิงชื่อเสียงใดให้กับสวะผู้นั้นอีก?” เขาสบถเสียงเย็นชา แสงทองในฝ่ามือเปล่งประกายออกมา เจดีย์สีทองก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
“ที่จริงแล้ว…..ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะเจ้า ซือหนานก็คงไม่ต้องตาย”
เขาทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งย่างเท้าออกมา ส่งเสียงตะโกนคำหนึ่ง “ปักษายักษ์!”
ทันทีที่ส่งเสียงเรียก ปักษายักษ์ตัวนั้นก็หันหัวกลับมา กางกรงเล็บออกพุ่งเข้ามาตะปบทรวงอกของซื่อมั่วอีกครั้ง
และครั้งนี้ ยังเ**้ยมโหดกว่าครั้งแรกเสียอีก
ถึงแม้ว่ามันยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่คุ้นเคยอย่างยิ่งพุ่งออกมาก่อน
เนื่องด้วยพลังของมันเป็นดาวข่มธาตุพลังหยินโดยเฉพาะ ดังนั้นในความรู้สึกของตู๋กูซิงหลัน พลังนี้….ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าอสูรโลกันตร์เท่าใดเลย
เห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาอย่างหมายมาด ครั้งแรกไม่สำเร็จก็กระทำซ้ำเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้ยังลงมืออย่างสุดกำลัง
“ติ๊งต๊อง!” ในชั่วขณะนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันก็เปล่งเสียงสูงออกมา
ในชั่วขณะที่กรงเล็บของปักษายักษ์กำลังจะขยุ้มลงมานั้น ลำแสงสีทองสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาจากกลางสวนดอกไม้
แสงเพลิงทรงพลังดุจเจ้าของ พุ่งเข้าใส่ร่างของปักษายักษ์และซือเป่ย
ความร้อนแรงสองสายปะทะเข้าหากัน ตู๋กูซิงหลันถึงกับหลั่งเหงื่อเม็ดโตๆออกมา
ผิวหนังถูกแผดเผาจนแสบร้อนผะผ่าว ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้คละคลุ้ง
แม้ว่าแสงเพลิงของติ๊งต๊องจะมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็คล้ายจะไม่ทันท่วงที
มือข้างหนึ่งของซื่อมั่วโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างโชกชุ่มไปด้วยเลือด แม้แต่ไม้เท้าอนันตกาลกำราบมารของเขายังไม่ทันได้ใช้ออก ก็ถูกปักษายักษ์ตนนั้นใช้กรงเล็บทะลวงเข้าไปในช่องท้องแล้ว
ท่ามกลางเปลวเพลิง ร่างของเขาอ่อนจางไหววูบ คล้ายจะถูกแผดเผาจนสูญสลายไปได้ทุกเมื่อ
………………………………