ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 520 หึงหวง
“บิดาเดาว่า เรื่องสำคัญที่เจ้าต้องการพูดคุย จะต้องเป็นเพราะว่า คิดถึงบิดาอย่างแน่นอน” สีหน้าของเยี่ยจ้านเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ไม่เช่นนั้นจะจะยอมเดินทางไกลจากโลกใบโน้นกลับมาหาบิดาหรือ?”
มุมปากของตู๋กูซิงหลันกระตุกไม่ยอมหยุด หากนับย้อนไปดู นางก็พึ่งจะได้รู้จักบิดาเมื่อไม่นานมานี้เอง ช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับเขาตามลำพังก็ไม่ถึงครึ่งเดือน ถึงแม้ว่าระหว่างทั้งสองจะมีความผูกพันทางสายเลือด แต่ว่าเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันกลับน้อยนิด หากจะบอกว่าคิดถึง ก็ยากจะพูดออกมาได้จริงๆ
นิสัยใจคอของตู๋กูซิงหลันก็เป็นคนที่ยากจะคุ้นเคยกับใครโดยง่าย ยิ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ฉันบิดาและบุตรสาว ยิ่งต้องใช้เวลาสะสม
“อาจารย์หายสาบสูญไปแล้ว” ตู๋กูซิงหลันไม่อ้อมค้อม หากแต่บอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมา
“หายไปแล้ว?” เยี่ยจ้านขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยเขาใจว่า คำว่าหายสาบสูญไปของนางนั้นหมายความว่าอะไร
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันพูดออกมานั้น ก็หันไปเหลือบมองดูรอบด้านของหุบเหวไร้ก้นแวบหนึ่ง ใต้ต้นไม้มังกรขนาดมโหฬารต้นนี้ คือสายน้ำสีดำอันคดเคี้ยว ในสายน้ำสีดำมีหลุมลึกเรียงรายอยู่มากมาย ก้อนหินที่อยู่ในหลุมเหล่านั้นดูคล้ายกับหินภูเขาไฟที่ผนึกตัวแล้ว แต่ละก้อนมีลวดลายแปลกประหลาดพิเศษเฉพาะ
ครั้งก่อนที่นางมา ตอนนั้นที่ก้นทะเลลึกเกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ จนทำให้เมืองของเผ่ามังกรทมิฬกลายเป็นซากปรักหักพังไปทั้งแถบ หากเปรียบเทียบกันแล้ว ที่หุบเหวไร้ก้นแห่งนี้นับว่ายังมีสภาพที่ดีกว่ากันมาก
อย่างน้อยสีหน้าของบิดาคนงามก็ยังดูสบายดีอยู่บ้าง
ว่าแล้วตู๋กูซิงหลันก็กล่าวต่อไปอีกว่า “อาจารย์ปะทะกับเทพจากเผ่าสวรรค์ซือเป่ย ถูกกรงเล็บของปักษายักษ์ทะลวงร่าง ร่างกายถูกแผดเผาจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว”
“หืม?” เยี่ยจ้านขมวดคิ้วแนบแน่นกว่าเดิม เห็นเขากำหมัดจนแแน่น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่
ผ่านไปอีกครึ่งค่อนวัน เขาค่อยเอ่ยว่า “ซื่อมั่วในยามนี้อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ แม้แต่ซื่อเป่ยของจิ่วโจวก็ยังเอาชนะไม่ได้?”
ตู๋กูซิงหลัน “….” ประเด็นหลักของบิดาออกจะผิดแปลกไปหรือไม่?
“แก่นวิญญาณของท่านอาจารย์ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ยามมาที่ทะเลไร้ก้นแล้ว ถึงได้ถูกซือเป่ยและปักษายักษ์ฉวยโอกาสลงมือจนเป็นผลสำเร็จ” ตู๋กูซิงหลันเสริมอีกประโยค
พูดแล้ว นางก็เห็นเยี่ยจ้านทำสีหน้าซับซ้อนสับสนกว่าเดิม
ศีรษะของเขาหันมาทางตู๋กูซิงหลัน ดวงตานั้นปิดสนิท มีเพียงขนตากระพริบเบาๆ
“บุตรสาวคนดี บิดาย่อมรู้ดี ด้วยพลังการฝึกฝนของซื่อมั่วจะต้องไม่มีทางพ่ายแพ้แก่ซือเป่ยเป็นแน่ เจ้ารีบร้อนอธิบายเพราะอะไร?”
เขาลดเสียงเบาลง “ใช่ว่าข้าจะไม่รู้เสียหน่อยว่าพลังของซื่อมั่วแข็งแกร่งจนพิศดารถึงเพียงไหน”
ในใจของบิดาคนงามออกจะผิดหวังอยู่บ้าง บุตรสาวที่ตนเองให้กำเนิดขึ้นมาแท้ๆ กล่าววาจาปกป้องไอ้แก่นั่นถึงเพียงนี้ แต่ทีกับเขาที่เป็นบิดากลับไม่ยอมให้กอดเลยสักครั้ง
ในใจของเยี่ยจ้านชักจะอิจฉาอยู่บ้าง พูดไปพูดมาก็ปวดใจจนพาลจะน้ำตาไหล
หากว่าตอนนั้นเขาเลี้ยงดูนางขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่แน่ว่าเจ้าตัวน่ารักน้อยๆนี้อาจจะให้ความเคารพรักและเชื่อถือในตัวเขาเช่นเดียวกับที่ให้ซื่อมั่วก็เป็นได้
ยังดีที่ถึงอย่างไรเยี่ยจ้านก็เป็นคนที่รู้จักความหนักเบา ครู่หนึ่งจิตใจของเขาก็ค่อยๆควบคุมความรู้สึกอิจฉานั้นได้
จากนั้นก็กล่าวว่า “จะว่าไป……ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ซื่อมั่วใช้พละกำลังของตนเองผนึกอสุรกายโลกันตร์กลับลงไปอีกครั้ง พลังที่สั่นสะเทือนฟ้าดินในตอนนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง แน่นอนว่าย่อมต้องทำให้เหล่าเทพเซียนบนสวรรค์ตื่นตระหนก บิดาเพียงคิดไม่ถึงว่า…..คนของสวรรค์จะสามารถไล่ตามไปถึงโลกมิติโน้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งยังสามารถทำลายร่างเนื้อของเขาได้อีกด้วย”
ปักษายักษ์ตัวนั้น….เป็นสัตว์อสูรที่อยู่รอดมาแต่ยุคบรรพกาล แข็งแกร่งอย่างยิ่ง และเพราะตอนนั้นเขารับบาดเจ็บสาหัส จึงสามารถทำลายร่างเนื้อของเขาได้ พูดไปแล้วก็นับว่าสมเหตุสมผลอยู่ แต่เยี่ยจ้านก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ดี
ต่อให้ซื่อมั่วร่ายกายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่สมควรจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เพราะแต่เดิมที ในหกภพภูมินั้นเขาก็คือเทพผู้ไร้พ่าย ผู้ที่จะสามารถเอาชนะเขาได้ จะมีก็แต่ตัวเขาเองมากกว่าละมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันนำกระถางต้นไม้ที่ฝังศิลาโลหิตของซื่อมั่วเอาไว้ออกมา นางหลุบตาลงมองอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านอาจารย์ทิ้งไว้แต่เพียงศิลาโลหิตเท่านั้น เขาบอกว่ารอจนเมื่อศิลาโลหิตผลิบาน เขาก็จะกลับมา”
เยี่ยจ้าน “พอเถอะ เลือดที่ผนึกตัวเป็นก้อนศิลายังจะผลิบานได้อีกหรือ….เรื่องหลอกเด็กเสียมากกว่า…”
พูดจบแล้ว เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าพูดผิดไปแล้ว สองสามคำหลังจึงเบาเสียงลง เพราะว่าสำหรับบุตรีสุดที่รักแล้ว เกรงว่าซื่อมั่วคงจะใกล้ชิดสนิทสนมกับนางยิ่งกว่าบิดาแท้ๆเสียอีก
“แต่นั่นก็ไม่แน่….เพราะว่าเขาคือซื่อมั่ว หากเขาบอกว่าก้อนหินจะผลิบานได้ นั่นก็แสดงว่าจะต้องผลิบานอย่างแน่นอน”
จากนั้น เยี่ยจ้านก็เอ่ยปากปลอบประโลมนางอีกประโยคหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่ได้มีปฏิกริยาใดๆ นางเพียงแต่อุ้มกระถางดอกไม้เอาไว้ นั่งลงบนกิ่งของต้นไม้ สายตาก็ทอดมองลงไปบนกระถางดอกไม้ที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆแม้แต่น้อย “บิดา ท่านเล่าเรื่องในอดีตของอาจารย์ให้ข้าฟังสักหน่อยเถอะ”
นางรู้แต่เพียงผิวเผินว่าอาจารย์คือหมิงอ๋อง เมื่อหมื่นปีก่อนเคยทำสงครามกับชาวสวรรค์ไปรอบหนึ่ง และเพราะเขาไม่ทันได้ระวังเพียงพอจึงทำให้เผ่าหมิงล่มสลายไป แค่นั้น
ส่วนเรื่องอื่นๆ นางไม่เคยได้ยินอาจารย์กล่าวถึงมาก่อนเลยสักครั้ง
บิดาคนงามเป็นสหายของท่านอาจารย์ เรื่องที่เกี่ยวข้อกับอาจารย์ จะมากจะน้อยเขาควรจะรู้อยู่บ้างกระมัง
ตู๋กูซิงหลันอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นให้มากกว่าเดิม ที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้สืบเสาะ ก็เป็นเพราะว่านางพึ่งจะกลายเป็นฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินโบราณ ทั้งยังฝึกฝนตนเองอย่างหักโหม จนทำให้ลืมบิดาคนงามของตนไปเสียแล้ว
“อาจารย์ของเจ้านะรึ…..” เยี่ยจ้านขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆนาง หากสามารถใกล้ชิดบุตรสาวสุดที่รักอีกสักหน่อย เขาย่อมต้องหาวิธีอยู่แล้ว
เส้นผมสีเงินของเขาพลิ้วออกไปในสายลม ตลอดร่างปราศจากกลิ่นอายชั่วร้าย ราวกับว่าเขานี่แหละคือเทพเซียนจากสรวงสวรรค์ตัวจริง
เยี่ยจ้านครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าทอประกายเงินยวงงดงามราวภาพจากความฝัน
“นับตั้งแต่ที่บิดาจำความได้ ก็ได้ยินชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของเขาแล้ว …..ตอนนั้น ผู้คนทั้งใต้หล้าต่างก็เรียกเขาว่าหมิงอ๋อง ผู้เป็นตำนานไร้พ่ายของหกภพภูมิ ตอนที่เขาเป็นหมิงอ๋อง ใต้หล้าไม่มีปีศาจตนใดกล้าทำเรื่องชั่วช้า ใต้หล้าสงบสุขอย่างยิ่ง ทั้งหกภพภูมิต่างก็ให้ความเคารพต่อเขา
“บิดากับเขารู้จักกัน ตอนที่แดนเซียนจัดงานเลี้ยงสวนท้อ ใครจะไปนึกว่าหมิงอ๋องที่มีชื่อเสียงเกริกไกร ก็จะแอบมากินลูกท้อในสวนกับเขาด้วยเหมือนกัน”
“พอดีว่า พวกเราทั้งสองคนต่างหมายตาลูกท้อผลเดียวกัน จึงเกิดการประมือ สุดท้ายบิดาแพ้ยับเยิน….”
พอพูดคำนั้นออกมา เยี่ยจ้านก็สะดุดไปเล็กน้อย เปลี่ยนคำพูดใหม่เป็นว่า “บิดายอมแพ้ต่อเขา ….ถือเป็นไม่ต่อยตีไม่รู้จักละกัน จากนั้นก็มักจะไปที่ดินแดนหมิงอยู่เสมอ เสาะหาเขาดื่มสุรา ไปๆมาๆ เราสองก็คุ้นเคยกัน จนกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบาน”
เยี่ยจ้านไม่มีทางบอกบุตรสาวสุดที่รักของตนเองหรอกว่า ตอนนั้นที่เขาพ่ายแพ้ต่อซื่อมั่วอย่างอเนจอนาถอยู่กี่ครั้งกี่หน สุดท้ายถึงได้กลายเป็น ‘พี่น้อง’ กับซื่อมั่ว
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงราชามังกรแห่งเผ่ามังกรทมิฬ ที่ทรงเกียรติภูมิอยู่ในหกภพภูมิเหมือนกัน
ไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่อาจเสียหน้าต่อหน้าบุตรสาวได้กระมัง?
“ราวหลายหมื่นปีก่อน หกภพภูมิสงบสุข มาตลอด แต่กระทั่งเมื่อหมื่นปีก่อน เพราะเรื่องบางประการทำให้บิดาสร้างความขุ่นเคืองให้กับเง็กเซียนฮ่องเต้องค์ใหม่ของแดนสวรรค์ จนทำให้สองเผ่าพันธุ์เกิดสงครามขึ้นมา สุดท้ายพวกเราพ่ายแพ้ ทั้งเผ่าจึงถูกกักขังอยู่ใต้ก้นทะเล”
“ตอนที่สองเผ่าต่อสู้กัน ซื่อมั่วก็ช่วยเหลือข้าเอาไว้ไม่น้อย มิเช่นนั้นจุดจบของเผ่ามังกรทมิฬตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อนก็คงจะมิใช่แค่การถูกผนึกกักขังเอาไว้เท่านั้น หากแต่เป็นการดับสูญทั้งเผ่าพันธุ์มากกว่า”
“จากนั้นประมาณสิบปี เผ่าสวรรค์กับเผ่าหมิงก็ทำสงครามกันเช่นกัน….การสู้รบในครั้งนั้นทำให้บาดเจ็บล้มตายกันไปมากมาย….”
………………………………………………