ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 522 เจ้าใหญ่และเจ้ารอง
ว่าตามจริงแล้ว เยี่ยจ้านเองก็ไม่กล้ารับรอง
ตี้เสีย คนผู้นั้น….ค่อนข้างซับซ้อน
ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาเองก็ไม่ทราบสายสนกลในที่ชัดเจน จึงมิได้ไล่บี้ไต่ถามอีก
“ในหกภพภูมิ มีสิ่งใดที่เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงหวาดกลัวบ้างหรือไม่?” ผ่านไปอีกพักใหญ่ ตู๋กูซิงหลันถึงได้ถามออกมาอีกประโยคหนึ่ง
เพราะด้วยการฝึกฝนของนางในตอนนี้ ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถสังหารชาวสวรรค์ได้ เพราะขนาดแค่ซือเป่ยนางก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป…..
เกรงว่าพึ่งจะขึ้นไปถึงแดนสวรรค์ ก็อาจจะถูกพวกเทพสับจนเป็นเศษเนื้อก็เป็นได้
“บุตรสาวที่รัก เจ้ามีแผนการอันใดเกี่ยวข้องกับตี้เสียหรือ?” เยี่ยจ้านเองก็มิได้โง่เง่า บุตรสาวตนเองมาสอบถามข่าวคราวของแดนสวรรค์ แสดงว่าต้องคิดจะก่อการเคลื่อนไหวบางประการ
จะอย่างไรเสียนางก็คือบุตรของตนเอง เยี่ยจ้านย่อมพอจะคาดเดาความคิดของนางได้อยู่บ้าง
“ลูกเอ๋ย ฟังบิดาเสียบ้างเถอะ อยู่ให้ห่างจากจิ่วโจว…..” ว่าแล้วเขาก็กล่าวต่อไปว่า “โดยเฉพาะตี้เสียผู้นั้น…..เขาไม่ใช่คนดีอะไร”
“บิดากลัวเขาหรือ?”
“ก็ไม่เชิงว่ากลัวเขา…” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะ “แต่ว่านะ คนผู้นี้จิตใจลึกล้ำ ฝีมือก็ร้ายกาจ ศักดิ์ฐานะสูงล้ำเป็นถึงเง็กเซียนฮ่องเต้ แต่ว่าก็ไม่ใช่ตัวดีอะไร หากไปหาเรื่องเขา ย่อมไม่มีจุดจบที่ดี อย่าว่าแต่เจ้าพึ่งจะอายุเท่าไหร่เอง?”
“ถึงแม้ว่าจะได้รับสืบทอดพลังมังกรทมิฬของบิดาไปแล้ว เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่มือของตี้เสีย เพราะว่า….ตอนนั้นบิดาก็สู้เขาไม่ได้เช่นกัน”
เยี่ยจ้านไม่ได้ล้อเล่น เรื่องที่จะปล่อยให้บุตรสาวไปเสี่ยงอันตรายนั้น เขาไม่อาจวางใจได้จริงๆ
“บิดา นี่ต้องเรียกว่าน้ำเงินเกิดจากสีฟ้า เรื่องที่ตอนนั้นท่านไม่อาจทำได้ ข้าอาจจะทำสำเร็จก็เป็นได้” ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกมาตบใส่บ่าของเขา”
บิดาคนงามมิว่าอะไรๆก็ดีไปหมด เสียแต่ใจอ่อนไม่เด็ดขาดไปเสียหน่อย กับเรื่องของมารดาก็เช่นกัน
ตี้เสียเกือบจะทำลายเผ่ามังกรทมิฬจนดับสูญ หากว่าเปลี่ยนเป็นนางละก็ มิว่าอย่างไรก็จะต้องบุกไปฆ่าฟันถึงบนแดนสวรรค์ให้จงได้
เยี่ยจ้านถูกประโยคนี้ของนางทำเอาสำลัก เขากระพริบตาถี่ๆ มือข้างหนึ่งกุมทรวงอกเอาไว้ “ลูกเอ๋ย เจ้าพูดเช่นนี้ ช่างทำร้ายจิตใจของบิดาเหลือเกิน…..”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
พูดพึ่งจะจบคำ เขาก็ล้วงเอาป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ บนป้ายหยกมีกลิ่นอายของพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ ทั้งยังมีพลังของเหล่าเทพ….ที่เหมือนกับบนร่างของซือเป่ยอยู่ด้วย
ท่ามกลางแสงสว่างเลือดลาง ก็เห็นแต่ว่าบนป้ายหยกมีอักขระซับซ้อน บนนั้นคล้ายจะเขียนอักษรบางอย่าง แต่ว่านั่นดูไม่เหมือนกับอักษรของโลกปัจจุบัน ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่รู้จัก
“ป้ายหยกนี้เจ้าเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี บางทีสักวันหนึ่ง เมื่อเจ้าต้องการไปแดนสวรรค์ มันอาจจะมีประโยชน์ต่อเจ้า”
ตู๋กูซิงหลันรับป้ายหยกมา ลูบคลำตัวอักษรอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง มองอยู่พักใหญ่ ก็รู้สึกคลับคล้ายว่าจะมีคำว่า ‘ตี้’ อยู่บนนั้น
“เป็นสิ่งของของตี้เสียหรือเจ้าคะ?” นางถามออกไปประโยคหนึ่ง
“สิ่งของที่สืบทอดมาในตระกูลตี้ ไม่ใช่ของเขา เมื่อมีป้ายหยกนี้ คิดจะเข้าไปในแดนสวรรค์ก็นับว่าง่ายดาย” เยี่ยจ้านว่าต่อไป
เขาย่อมต้องไม่บอกกับตู๋กูซิงหลัน ว่าป้ายหยกชิ้นนี้เป็นของหวาชางสุ่ย ตอนนั้นฮวาชางสุ่ยอยู่ในเผ่าเทพ ตระกูลหวาทำงานรับใช้แดนสวรรค์นับว่ามีผลงาน ดังนั้นอดีตเง็กเซียนฮ่องเต้จึงทรงพระราชทานป้ายหยกให้แก่ตระกูลหวา ให้พวกเขาสามารถเขาออกแดนสวรรค์ได้เป็นพิเศษ
เพียงแต่ว่าต่อมาภายหลัง ตระกูลหวาทำความผิด ถูกแดนสวรรค์ขับไล่ออกมา เขาไม่มีใจผูกพันกับหวาชางสุ่ย เพียงแต่บิดาจัดการงานแต่งงานให้ ตระกูลหวาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาเองก็มิได้คัดค้านคำสัญญาที่บิดาเคยตกลงเอาไว้….จึงสู่ขอหวาชางสุ่ยที่ไร้หนทางมาเป็นภรรยา
ป้ายหยกชิ้นนี้ คือของหมั้นหมายที่หวาชางสุ่ยมอบให้กับเขา
แน่นอนว่า ป้ายหยกเช่นนี้ ตระกูลอื่นๆในสวรรค์ต่างก็มีอยู่เช่นกัน และมิได้มีอยู่เพียงชิ้นเดียว ดังนั้นต่อให้นางนำป้ายหยกนี้ขึ้นไปบนแดนสวรรค์ ขอเพียงฐานะมิได้ถูกเปิดเผยออกมา ก็จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนหรอก
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ปฏิเสธ เก็บป้ายหยกชิ้นนั้นลงไปในถุงเฉียนคุน เรื่องของอาจารย์และตี้เสียนางก็ไม่คิดจะสอบถามต่อไปแล้ว แดนสวรรค์เป็นอย่างไร วังหลังขึ้นไปสักรอบหนึ่งแล้วย่อมเข้าใจได้เอง
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ “ก่อนหน้านี้พี่รองเองก็ถูกเยี่ยเฉิงและเยี่ยอิงจับมาที่ก้นทะเลลึก ท่ามกลางการระเบิดที่รุนแรงในครั้งนั้น….พี่รองหายสาบสูญไปเสียแล้ว บิดารู้หรือไม่ว่าเขาไปอยู่ที่ใด?”
เยี่ยจ้านอย่างไรก็เป็นถึงราชามังกรทมิฬผู้แข็งแกร่ง สมควรสัมผัสได้ว่าบุตรตนเองเคยมาปรกาฏตัวที่นี่แล้ว
“พลังกระหายโลหิตในร่างของพี่รองตื่นขึ้นมาแล้ว เขากลายเป็นคนที่ไม่อาจจะควบคุมตนเองได้…..”
ตู๋กูซิงหลันเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
เยี่ยจ้านได้ยินแล้ว หัวคิ้วก็ขมวดน้อยๆ ตอนนั้นที่ซื่อมั่วใช้พลังของจิตวิญญาณตนเองสยบอสุรกายโลกันตร์เอาไว้อีกครั้ง แม้แต่ตัวเขาที่อยู่ใต้หุบเหวไร้บึ้งก็ยังพลอยรู้สึกถึงผลกระทบไปด้วย
ในตอนนั้น เขาเองก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังของพลังกระหายเลือดอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตัวเขาติดอยู่ใต้หุบเหวไร้ก้น
“พลังกระหายเลือดของเจ้ารองตื่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน เช่นนั้นสมควรไม่ตายไปได้” เขาใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง “เจ้าลูกคนนั้น ผิวเนื้อด้านหนา อย่างมากก็คงกระดูกหักไปหลายท่อน หนังลอกไปชั้นหนึ่ง…..”
ตู๋กูซิงหลันได้ยินคำเหล่านั้นแล้ว ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าพี่รองไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขาอย่างไรอย่างนั้น?
มุมปากของนางกระตุกถี่ๆ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเอ่ยคำ ก็ได้ยินเยี่ยจ้านพูดว่า “ก้นทะเลลึกเชื่อมต่อระหว่างดินแดนของโลกโบราณและดินแดนสวรรค์จิ่วโจว หากว่าเขาไม่ได้อยู่ในแดนมนุษย์ เช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะถูกผลักกระเด็นไปจนถึงแดนสวรรค์โน่น ส่งคนไปที่นั้นตามหาดู ไม่แน่ว่าอาจจะเจอก็ได้”
เยี่ยจ้านเหมือนมิได้กังวลใจเลยว่าตู๋กูเจวี๋ยจะอยู่หรือตาย
ตู๋กูซิงหลันถามอีกวา “บิดามั่นใจว่าพี่รองยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“บุตรมังกรของเราราชามังกร….จะตายง่ายๆได้อย่างไร?” เยี่ยจ้านถามกลับมาคำหนึ่ง ด้วยท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ
“บุรุษนั้นสมควรผ่านประสบการณ์ให้มากๆ นับแต่ครั้งโบราณมา มีเทพองค์ใดไม่ต้องเฉียดผ่านความเป็นความตายกัน ต่างก็ต้องรับทัณฑ์สายฟ้าจากสวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น เจ้ารองทั้งอ่อนแอและใจเสาะมาแต่เล็ก สมควรต้องฝึกฝนให้มากเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นจะมีหญิงสาวบ้านใดถูกใจเขากัน?”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
ทำไมดูๆไปแล้วถึงได้รู้สึกว่าบิดานั้นเชื่อถือไม่ได้เอาเสียเลย ทำเอานางได้แต่สงสารพี่รองอย่างเงียบๆ
แต่ว่าเมื่อได้ยินจากบิดาว่าพี่รองสมควรยังไม่ตาย ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
จากนั้นนางก็เปลี่ยนหัวข้อจากเรื่องของพี่รองไปเรื่องของพี่ใหญ่ต่อไป “ตอนที่บิดาไปจากบ้าน พี่ใหญ่พึ่งจะสิบกว่าขวบ ท่านยังจดจำรูปลักษณ์ของพี่ใหญ่ได้หรือไม่?”
เยี่ยจ้านพยักหน้า “เจ้าใหญ่ตั้งแต่เล็กก็รูปร่างแข็งแกร่งบึกบึน เป็นบุรุษที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยพึ่งพาได้”
“บิดาเคยพบเทพสงครามของแดนสวรรค์ ซือเป่ย หรือไม่เจ้าคะ?”
“แน่นอนว่าเคยพบ”
“รูปลักษณ์ของพี่ใหญ่ กับซือเป่ยคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง”
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันพูดคำนี้ออกมา สีหน้าของเยี่ยจ้านก็เคร่งขรึมลงไปอีกหลายส่วน
ผ่านไปอีกครึ่งวัน เขาถึงได้เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง “บุตรของเราเยี่ยจ้าน หน้าตาไม่คล้ายเรา แต่กลับไปคล้ายไอ้ลูกเต่าซือเป่ยนั่นนะหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “เอ่อ…..”
ทำไมการจับประเด็นของบิดามักจะหลุดออกนอกกรอบไปไกลอยู่เรื่อย?
หรือจะเป็นเพราะว่าคำพูดของนางมีอะไรไม่ถูกต้องชัดเจนพอ?
“ยามที่ชิงชิงอยู่กับเรา นางยังเป็นกุลสตรีที่บริสุทธิ์ผุดผ่องงดงาม ไม่มีทางมีอะไรเกี่ยวข้องกับไอ้ลูกเต่าซือเป่ยนั่นแม้แต่น้อย” สองมือของเยี่ยจ้านเท้าอยู่บนบั้นเอว
เส้นผมสีเงินยวงโบยบินขึ้นไปตามสายลมอย่างรุนแรง จนแทบจะชี้ขึ้นไปตั้งฉากอยู่แล้ว
จากที่ตอนแรกยังสงบนิ่งดุจเทพเซียน ยามนี้กลับคุกรุ่นจนใกล้จะระเบิด ราวกับพบว่าซือเป่ยเคยจับท่านแม่มาทำเรื่องมิดีมิร้ายอะไรเข้า
ตู๋กูซิงหลันเคยชินกับการจับประเด็นผิดไปของเขาเสียแล้ว จึงกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ข้าได้ยินซือเป่ยพูดออกมาว่า เขามีพี่ชายแท้ๆอยู่ผู้หนึ่ง ชื่อว่าซือหนาน”
“ข้าอยากจะถามบิดาว่า พี่ใหญ่กับซือหนานมีอะไรเกี่ยวข้องกันบ้างหรือไม่?”
……………………………………….