ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 536 บุปผาสะคราญ
บุรุษที่พูดออกมา ก็คือหัวหน้าของคนกลุ่มนั้น
เขาพึ่งจะพูดออกมา ก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดุว่า “หุบปาก”
“เดิมทีท่านเจ้าก็เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในจิ่วโจวอยู่แล้ว ถึงจะเป็นยาบุปผาสะคราญ ก็แค่แต่งเติมดอกไม้บนแพรพรรณเท่านั้น ไหนเลยจะเกินจริงถึงขั้นเพิ่มพูนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง?”
น้ำเสียงของสตรีผู้นั้นเย็นเฉียบ เข้มงวดและยังเจอความไม่พอใจอยู่หลายส่วน
“ใช่แล้วขอรับกูกู[1] ผู้น้อยผิดไปแล้ว ต่อไปไม่กล้าวิจารณ์เรื่องของท่านเจ้าอีกแล้ว” บุรุษที่เมื่ออยู่ในหมู่บ้านยังทำกริยาสูงส่ง ยามนี้กลับทำตัวต่ำต้อยจนไร้ค่า
“อีกแค่ครึ่งเดือน ก็จะเป็นงานหมื่นบุปผชาติของจิ่วโจวแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก็จะมีผู้คนมากันคึกคักเหมือนดังยามมีงานสุดยอดการประลอง ยาบุปผาสะคราญนี้ จะต้องปรุงออกมาให้เสร็จก่อนงานหมื่นบุปผชาติให้จงได้ เมื่อรวมกับหนึ่งคนในวันนี้ ก็ยังขาดหนุ่มสาวที่งดงามอีกเก้าสิบเก้าคน พวกเจ้าจะต้องไปนำตัวคนมาอีก เข้าใจหรือไม่?”
“ขอรับ น้อมรับคำสั่งกูกู”
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ในกระถางยักษ์ ด้วยความสามารถของนางในตอนนี้ ย่อมได้ยินคำสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจน
นางจับประเด็นสำคัญได้ในทันที
‘ท่านเจ้าผู้นั้นต้องการหลอมยาบุปผาสะคราญขึ้นมา เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจในงานหมื่นบุปผชาติ’
ใต้หล้านี้ คนที่รักความงามล้วนเป็นเหล่าอิสตรี….เจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยินหยาง ที่จริงก็ตกเป็นที่อิจฉาริษยาตั้งแต่การแย่งชิงในสุดยอดการประลองนั่นแล้ว ครั้งนี้ยังจะต้องการเฉิดฉายในงานหมื่นบุปผชาติอีกหรือ?
ตู๋กูซิงหลันใคร่ครวญอยู่ในใจ นางไม่ได้คิดจะรีบร้อนออกไป
วิญญาณแค้นเหล่านี้ล้วนถูกตัดลิ้นไปหมดแล้ว จึงไม่อาจไต่ถามข่าวคราวที่มีประโยชน์จากพวกมันได้เท่าไร
นางสงบจิตใจลง รับฟังเสียงภายนอกต่อไป
ครู่ต่อมา ก็รู้สึกได้ว่าผู้คนที่อยู่นอกกระถางยักษ์เดินวนไปมาอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นสตรีผู้นั้นก็กล่าวอีกว่า “ทำเหมือนกับครั้งก่อน ให้หมักบ่มทิ้งเอาไว้ในกระถางศพนี้สามวัน สามวันจากนี้จึงค่อยนำกระถางไปจับตัวคนมาอีก”
“อีกครึ่งชั่วยาม ค่อยโยนสมุนไพรต่างๆลงไป จากนั้นก็บ่มให้ดี”
เรื่องการบ่มเพาะและหลอมยาตัน ตู๋กูซิงหลันไม่ค่อยจะรู้จักสักเท่าไหร่
วิธีการที่แปลกประหลาดนี้ก็ออกจะนอกเหนือความคาดหมายของนาง
เอาคนเป็นๆมาปรุงยา นี่มันวิธีการของปีศาจ
ไม่ใช่มนุษย์แล้ว
“ขอรับ กูกู” บุรุษที่เป็นหัวหน้ากลุ่มตอบรับคำสั่งของสตรีผู้นั้นอย่างนอบน้อม
“ตอนนี้ไม่มีเรื่องให้เจ้าทำแล้ว ถอยออกไปก่อน”
……………….
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วยาม ก็มีเครื่องยาสมุนไพรมากมาย ‘หล่นลงมาจากเบื้องบน’ เติมลงมาจนเกือบครึ่งกระถาง
ในกระถางยามนี้ยังมีน้ำอยู่ ตู๋กูซิงหลันกับสมนุนไพรที่มีกลิ่นประหลาดเหล่านั้นถูกแช่เอาไว้ด้วยกัน
นี่ทำให้นางคิดไปถึง ตอนที่ยังเป็นเด็กเคยเห็นคนจับงูเป็นๆเข้าไปดองในยาดองเหล้า
รอบกายนางมีแสงสีเงินจางๆ กีดกันเครื่องยาและน้ำเหล่านั้นให้ห่างออกไปจากตัว
จนกระทั่งยามดึกสงัดแล้วนางถึงได้ออกมาจากกระถางยักษ์
ทั่วร่างมีแต่กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเครื่องยาสมนุไพร เหม็นคาวจนสุดทนทาน
ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองดูสถานที่ตรงหน้า มีแต่ความมืดมิด ด้านข้างยังมีชิ้นเนื้อวางกองอยู่ ดูไปแล้วคล้ายดั่งเป็นโรงฆ่าสัตว์
กระถางยักษ์ที่บรรจุนางมาตั้งอยู่บนกองเนื้อเป็นชั้นๆ
ข้างๆกองเนื้อคือเสาไม้ที่สูงสองเมตรกว่าๆ บนเสาไม้มีตะขอเหล็กหนาขนาดครึ่งข้อมือยื่นออกมา ตะขอถูกเลือดชโลมจนเป็นสีแดง บนนั้นยังมีชิ้นเนื้อติดอยู่
เช่นนี้ไม่ต้องใช้ตามองดู ในสมองก็สามารถคิดออกว่าเจ้าของเศษเนื้อเหล่านี้ ก่อนตายจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมานที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงไหน
แม้แต่คนที่เห็นเลือดมามากมายอย่างนาง ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าในกระเพาะปั่นป่วนจนแทบพลิกคว่ำ อยากจะอาเจียนเต็มที่
แม้ว่าเนื้อเหล่านี้จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆไปแล้ว ….แต่ก็ยังสามารถดูออกว่าเป็น…ของมนุษย์
ที่นี่เป็นห้องใต้ดินที่มิดชิดแห่งหนึ่ง กลิ่นเหม็นคละคลุ้ง
ยามที่ตู๋กูซิงหลันมุดออกมาจากห้องใต้ดินได้นั้นถึงได้เห็นว่าด้านนอกของสถานที่ที่เป็นโรงชำแหละนี้….คือสวนดอกไม้ที่สวยสดงดงามอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง
ส่วนสิ่งก่อสร้างที่อยู่เหนือห้องใต้ดินหลังนั้น ก็คืออาคารไม้สามชั้นที่สร้างอย่างปราณีตและงดงามหลังหนึ่ง
เบื้องหน้าของสวนพฤกษาผกาพันธุ์ที่รายล้อมอยู่ ก็คือท้องฟ้ายามราตรีที่พร่างพราวไปด้วยดวงดารา ใครก็คงจะคิดไม่ถึงกระมังว่า เมื่อครู่นางพึ่งจะผุดขึ้นมาจากคุกนรกแห่งหนึ่ง
นางยืนอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง ก็ยังไม่เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา
ครู่ต่อมา ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังมาจากบนอาคารสูงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
นางติดตามเสียงนั้นไป อาคารสูงนั้นมีแปดชั้น ตั้งอยู่บนใจกลางของสวนดอกไม้
ดวงดาวบนท้องฟ้าทอแสงลงมาบนตึกสูง ที่ชั้นบนสุดยังมีหมอกจางๆห้อมล้อมคล้ายดั่งเป็นสถานเซียนวิเศษ
เสียงขลุ่ยนั้นดังมาจากตึกสูงที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามหลังนั้น
หากว่านางไม่ได้เห็นมาด้วยตาของตนเอง ว่าใต้อาคารที่อยู่ด้านหลังคือโรงชำแหละศพแห่งหนึ่ง เกรงว่านางเองก็คงจะไม่เชื่อว่า….ใต้สถานที่ที่งดงามเช่นนี้จะซุกซ่อนเรื่องที่โหดเ**้ยมและชั่วร้ายถึงเพียงนี้เอาไว้
คนผู้นั้น….ที่จริงแล้วเป็นใครกันแน่?
เสียงขลุ่ยยังไม่หยุด แต่ติดๆขัดๆไม่ลื่นไหล สามารถฟังออกว่าผู้เป่ามิได้ชำนิชำนาญเท่าไร
แม้แต่เสียงขลุ่ยที่เป่าออกมาก็ยากจะทนฟัง
ตู๋กูซิงหลันขยับตัววูบหนึ่ง ร่างก็เหาะขึ้นไปราวนางแอ่นบิน พอเคลื่อนไหวอีกสองครั้งก็มาถึงตึกสูงที่งดงามแล้ว
นางเหาะข้ามเข้าไปจากด้านนอก หลบหลีกสายตาของเวรยามทั้งหมดได้อย่างสวยงาม
กระทั่งขึ้นไปถึงด้านนอกของชั้นที่แปด คนก็แขวนเกาะอยู่ที่นอกหน้าต่าง ดวงตาดอกท้อกวาดตาเข้าไปด้านในอย่างเย็นชา
สิ่งที่เห็นนั้นเป็นเงาหลังของสตรีผู้หนึ่ง
สูงโปร่ง ผอมบาง ภายใต้แสงเทียน นางสวมใส่ชุดสีขาวตลอดร่าง เห็นเรือนร่างด้านหลังที่ดูงดงามอย่างยิ่ง
กระโปรงตัวยาวถูกสายลมโชย รอบเอวเล็กบางจนสองมือแทบกำได้รอบ เส้นผมงามนั้นพลิ้วสลวย บนร่างมีกลิ่นอายที่เข้มข้นของ….ไอเซียน
ไอเซียนนั้นเป็นแสงขาวจางๆที่ส่องสว่างดูบริสุทธิ์ งดงามแช่มช้อย
“ฝูลั่ว เจ้าว่าการเป่าขลุ่ยของข้า เป็นอย่างไรบ้าง?” ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงสตรีผู้นั้นเอ่ยปาก
รูปลักษณ์ด้านหลังดูดั่งนางเซียน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็เหมือนดั่งเซียนเช่นกัน
เสียงเบาๆนั้น ทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน น่าฟังราวกับทิพยดนตรี
“ขลุ่ยของท่านเจ้าย่อมน่าฟังอย่างยิ่ง” สตรีที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องหน้า ‘นางเซียน’ กล่าวตอบ
เสียงนั้น ตู๋กูซิงหลันฟังออกได้ในทันที่ว่านางก็คือผู้ที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่า ‘กูกู’
เรื่องที่น่าฝืนใจเช่นนี้ก็ยังพูดออกมาได้ ช่างรู้จักรักษาชีวิตให้รอดนัก
‘นางเซียน’ ได้ยินแล้ว ก็มิได้ยินดีสักเท่าไร นางยังคงหันหลังให้ตู๋กูซิงหลัน ลดขลุ่ยในมือลง พลางส่ายศีรษะ
“เปรียบเทียบกับเสียงพิณของเขาแล้ว ยังห่างชั้นอีกมากมายนัก”
“ตั้งแต่เล็กท่านเจ้าก็ไม่ถนัดเรื่องดนตรีสักเท่าไร สามารถเป่าได้ถึงขนาดนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว” ฝูลั่วพูดต่อไป “คนผู้นั้นสายตาช่างมืดบอด ทั้งๆที่ได้รับการเหลือบแลจากท่านเจ้า แต่กลับไม่รู้คุณค่า”
“ตลอดมาในชีวิตของข้า ไม่เคยมีบุรุษที่ไม่ยอมอยู่ใต้การสยบเช่นคนผู้นี้มาก่อน แน่นอน …. สุดท้ายแล้วเขาจะต้องถูกข้าสยบลงจนได้”
‘นางเซียน’ กล่าวอย่างมั่นใจในตนเอง นางโยนขลุ่ยลงบนโต๊ะ เอียงศีรษะเล็กน้อย เผยโครงหน้าที่แสนจะงดงามออกมา
แววตาของนางแฝงความโหดเ**้ยมที่นางไม่อาจปิดบังได้อย่างมิดชิด “อีกแค่ครึ่งเดือน ก็จะถึงงานหมื่นบุปผชาติแล้ว ข้าจะต้องทำให้เขายอมสยบลงตรงเบื้องหน้าอย่างยินยอมพร้อมใจให้จงได้”
ดังนั้นนางจึงสั่งให้หลอมยาบุปผาสะคราญขึ้นมาอย่างไม่เสียดายว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด
เพียงเพื่อจะได้มีความงามที่คู่ควรกับเขา
ถึงแม้ว่าตนเองในตอนนี้ก็จะงดงามอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนผู้นั้นแล้ว ก็ยังห่างชั้นกันอยู่อีกมาก
แม้ว่ารูปโฉมนั้นจะเป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดมา นางก็สามารถใช้ฝีมือที่ไม่ธรรมดาเปลี่ยนแปลงได้
การหลอมยาบุปผาสะคราญ สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจของนางไปมากมาย แน่นอนว่าจะต้องสามารถบังเกิดผลสำเร็จ!
………………………..
[1] 姑姑 คำที่พวกบ่าวเรียกขานสตรีสูงวัยที่มีตำแหน่งรับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย ยกย่องเป็นท่านอาหญิง