ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 565 หากยังกล้ารบกวน ข้าจะเฉือนเจ้าทิ้งเสีย
ในสถานการณ์เช่นนี้หากว่าปล่อยนางทิ้งไปกับฮ่องเต้สุนัขนั่น เก้าในสิบส่วนจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
ต่างก็เป็นบุรุษเหมือนกัน พี่รองย่อมเข้าใจนิสัยของบุรุษด้วยกันดี
ถึงแม้ว่าน้องเล็กจะมีบุรุษบำเรออยู่มากมาย แต่ประเด็นสำคัญในด้านความรู้สึกย่อมไม่เหมือนกัน
น้องเล็กจะโปรดปรานบุรุษคนใดก็ย่อมได้ แต่คนเหล่านั้นหากมิได้รับอนุญาตจากนางก่อน ย่อมไม่อาจแตะต้องนางอย่างเด็ดขาด
แล้วดูการตกแต่งภายในห้องหลังนี้สิ ดูอย่างไรก็ราวกับวางแผนเอาไว้หมดแล้ว
ทุกอย่างในห้องล้วนเป็นสีแดง ราวกับกลัวคนจะไม่รู้ว่าเป็นห้องหออย่างไรอย่างนั้น
แค่ดูก็รู้ว่าเจ้าสำนักตัวร้ายผู้นี้ ไม่ได้คิดดีอย่างแน่นนอน น้องเล็กอ่อนหัดในเรื่องของชายหญิงอยู่เสมอ เกรงว่าอีกเดี๋ยวจะถูกกลืนลงไปทั้งกระดูกอย่างไร นางก็คงยังไม่ทันรู้ตัว
“ไม่รีบร้อน รอให้น้องเล็กหลับก่อน ข้าย่อมไปเอง” พี่รองเล่นลิ้นขึ้นมาบ้าง
เขาก้าวขึ้นไปยืนที่ข้างกายท่านเจ้าสำนัก เชิดคางเอ่ยว่า “ข้ากับน้องเล็กเป็นพี่น้องแท้ๆ คอยดูนางเข้านอนย่อมไม่มีปัญหา …..แต่ว่าสำหรับท่านเจ้าสำนัก….ชายหญิงมีข้อแตกต่าง ไม่ทราบว่าคืนนี้ท่านจะไปพักผ่อนที่ใด?”
ท่านเจ้าสำนักตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า “ศิษย์น้อยอยู่ที่ใด ข้าผู้เป็นอาจารย์ก็อยู่ที่นั่น”
ห้องหับออกจะกว้างขวาง เขาแค่เอาผ้าห่มมาผืนหนึ่งปูลงไปบนพื้น คืนนี้ก็นอนได้แล้ว
ท่านเจ้าสำนักไม่ได้ถือศีลแต่เพียงภายนอก ในใจของเขาก็บริสุทธิ์สะอาดจนส่องประกายออกมาด้วยเช่นกัน
แม้จะมองเห็นว่าตู๋กูซิงหลันลงไปนั่งอยู่บนเตียงสีแดงเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็มิได้เกิดจิตอกุศลแม้แต่น้อย
ภายใต้แสงเทียนสาดส่อง เส้นผมยาวสลวยของนางดูคลายออก แม้ว่านางจะอยู่ในคราบของการแปลงโฉม ดูไปคล้ายหนุ่มน้อยอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ไม่อาจปิดบังความงดงามตามธรรมชาติ ที่เพียงแค่ได้มองดูก็ยังทำให้เปรมปรีย์อย่างงบอกไม่ถูก
ศิษย์น้อยช่างงดงามน่ามอง เขาอยากจะมองดูนางให้มากกว่านี้
ราวกับว่า แค่เพียงได้มองดูนาง ในใจก็เกิดความพึงพอใจแล้ว
ก่อนที่จะได้พบกับนาง ในใจของท่านเจ้าสำนักไม่เคยเกิดอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้มาก่อน
แต่พอเป็นศิษย์น้อย ทุกสิ่งล้วนแตกต่างออกไป
พอเขาเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ มุมปากของพี่รองก็ถึงกับกระตุกขึ้นมา
มือของเขากระชับมีดสั้นที่อยู่ในแขนเสื้อ จนเกือบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ แทบจะเขวี้ยงออกไปแล้ว
เขาเคยเห็นคนไร้ยางอายมาบ้าง แต่ที่ไร้ยางอายถึงระดับเดียวกับฮ่องเต้สุนัขนั่น นับว่าเป็นครั้งแรก
เจ้าสุนัขจิ้งจอกผู้นี้เผยด้านชั่วช้าออกมาชัดเจนเกินไปแล้ว น้องเล็กที่โง่เขลาของตนยังดูไม่ออกอีกหรือ?
เจ้าสำนักชั่วผู้นี้คิดไม่ซื่ออย่างแน่นอน!
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนเตียง มองดูบุรุษที่ยืนอยู่ข้างประตูทั้งสองคน ในสมองของนางมีแต่คำถาม
กำลังจะได้นอนหลับสบายอยู่แล้วแท้ๆ นี่จะต้องมาเห็นฉากนองเลือดหรือยังไง?
ไม่ได้เจอกันพักเดียว พี่รองที่ใสซื่อของนาง…..ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นจัดเจนขึ้นมา?
ดูแววตาของเขานั่นสิ ราวกับว่าอาจารย์ต้าฉุยคิดจะทำอะไรกับนางขึ้นมาเสียอย่างนั้น
คนผู้นั้นก็เหมือนกับฉนวนกันความร้อน ต่อให้นางถอดเสื้อผ้ายืนเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่คิดจะเหลือบแลขึ้นมาหรอก
สูงส่งเย็นชา เย่อหยิ่ง จะบุรุษหรือสตรี ก็ไม่สนใจใยดีทั้งนั้น
นี่จึงจะเป็นบุคลิกของท่านเจ้าสำนักผู้นี้
นับตั้งแต่ที่เดินทางมาจากสำนักหยินหยาง นางก็อยู่ในรถม้ากับเขาเพียงลำพังสองคน จะกลางวันหรือกลางคืน ก็ไม่เคยเห็นเขาจะมีวี่แววเกิดความคิดสกปรกใดๆ
ต่อให้คืนนี้เขานอนอยู่ที่ข้างกายนาง ตู๋กูซิงหลันก็ไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรนาง
พี่รอง….คิดมากไปแล้ว
นางน่ะเคยชินกับความเย็นชาและท่าทางสูงส่งของเขาแล้ว เพียงแต่พี่รองนั้นยังไม่คุ้นเคย
พอเห็นว่าพี่รองผู้นี้ชักจะสร้างความยุ่งยาก สีหน้าของท่านเจ้าสำนักก็ชักจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว “ข้าไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่าม”
คนผู้นี้มาพูดคุยกับศิษย์น้อยนานมากไปแล้ว และอยู่นานเกินไปแล้วด้วย
เขาไม่ชอบให้ศิษย์น้อยพูดคุยกับผู้อื่นมากเกินไป เขาสมควรไปได้แล้ว
พี่รอง “…..”
ใครเป็นตัวยุ่มย่ามกัน? นี่น้องสาวของเขา! ตกอยู่ในรังหมาป่า!
เขาหรี่ดวงตาลง นัยตาปรากฏไอสังหารคุกรุ่น นี่เป็นผลลัพธ์จากการเข่นฆ่ามาตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้เขาอาศัยปากกล่าววาจาเชือดคน แต่หลังจากที่ตนเองได้เห็นเลือด ฆ่าคน พี่รองก็รู้สึกว่า บางครั้งหากลงมือได้ก็ควรลงมือ เพราะฝ่ามือยังรวดเร็วและแหลมคมกว่ามากนัก
“เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก” ท่านเจ้าสำนักกล่าวโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี ขณะที่มีดสั้นในมือของเขายังไม่ทันได้ปรากฏออกมา แขนเสื้อของท่านเจ้าสำนักก็โบกออกไปก่อนแล้ว
พลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง แปรเป็นพายุลมโหม
แต่ก็นับว่ายังรั้งออมเอาไว้ ไม่ถึงกับเอาชีวิตผู้คน
ยังดีที่ตู๋กูเจวี๋ยมือเท้าว่องไว เขาเหาะถอยหลังไปวูบหนึ่ง คนลอยออกไปด้านนอกห้องอย่างรวดเร็ว
พลังวิญญาณนั่น….ขนาดยังไม่ทันสัมผัสโดนเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวทั่วร่าง ชั่วพริบตานั้นเหมือนมีงูพิษที่หนาวเย็นจำนวนมากมายชอนไชเข้าไปในร่างกายของเขา
คนผู้นี้……
ทันทีที่เขาเหาะออกไปจากห้อง ท่านเจ้าสำนักก็โบกแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ประตูหยกก็ปิดลงอย่างแน่นหนาในทันที
“หากยังจะมารบกวน ข้าจะเฉือนเจ้าทิ้งเสีย”
น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาดังออกมาจากด้านในประตู สะท้อนออกไปทั่วจุ้ยเซียนจู
น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ราวกับคมดาบที่ทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายผู้คน
ยามนี้เป็นกลางดึกสงัดแล้ว ที่จริงผู้คนไม่น้อยต่างก็หลับใหลไปแล้ว แต่น้ำเสียงที่เหมือน ‘แทงเข้าไปในร่าง’นั่น กลับทำให้ผู้คนเจ็บปวดจนสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่ง ต่างก็อกสั่นขวัญผวาจนได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง
ใครกัน….พวกเขาที่กำลังหลับอยู่ไปล่วงเกินมหาเทพองค์ใดเข้าหรือ?
แต่ละคนต่างก็ยกมือขึ้นมาลูบคำลำคอของตนเองไปตามๆกัน ต่างก็รู้สึกปวดแสบบนลำคอขึ้นมา ราวกับว่าถูกคนเอาดาบทาบลงไป
ตู๋กูเจวี๋ยถูกขังเอาไว้ที่ด้านนอก ดวงตาของเขาจับจ้องเข้าไปด้านในอย่างกับจะทำให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา
เขายื่นมือออกไปผลักประตู ทั้งๆที่ยังไม่ทันจะสัมผัสโดนประตู แต่พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสายหนึ่งกวาดผ่านออกมาทางประตู จนฝ่ามือของเขาถูกกรีดเป็นแผลแผลหนึ่ง
ปากแผลลึกจนเห็นกระดูก เจ็บไปถึงหัวใจ เลือดสดๆไหลหยดออกมาในทันที
หากว่าเมื่อครู่เขาชักช้าไปก้าวหนึ่ง เกรงว่าสิ่งที่พลังวิญญาณบนประตูนั่นกรีดผ่าน จะไม่ใช่ฝ่ามือ แต่ว่าเป็นศีรษะของเขาแทน
คราวนี้ ตู๋กูเจวี๋ยค่อยนึกอะไรขึ้นมาได้ว่า ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งของจุ้ยเซียนจูคือสถานที่ใดกัน
มีแต่ผู้ที่ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งยอมรับเป็นเจ้านายเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้
หากผู้อื่นคิดจะเข้าไป จำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตจาก ‘ผู้เป็นเจ้าของ’ เสียก่อน ตอนนี้เขาถูกเจ้าสำนักตัวร้ายนั่นขับไล่ออกมา หากไม่ได้รับอนุญาตจากคนผู้นั้นย่อมเข้าไปไม่ได้
ดินแดนจิ่วโจวกว้างใหญ่ไพศาล ในบรรดาสิ่งต่างๆที่เขาเคยพบเคยเห็นมา ห้องที่สามารถจดจำเจ้านายได้ มีอยู่เพียงห้องนี้ห้องเดียวเท่านั้น
ดังนั้นแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีเจ้าแคว้นทั้งห้ามาเยือน ก็ยังไม่เคยมีใครเข้าไปในห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งมาก่อนแม้แต่เพียงผู้เดียว
ตู๋กูเจวี๋ยยืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง พอฟังจนแน่ใจแล้วว่าภายในห้องไม่มีเสียงอะไรแปลกๆดังออกมา เขาถึงได้ยอมจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เขาประคองทรวงอกเอาไว้ อาจเป็นเพราะว่าได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย จึงได้ทำให้เกิดความเจ็บปวดในเส้นชีพจร
สีหน้าของตู๋กูเจวี๋ยซีดขาวลงไปอีกหลายส่วน ในแววตาก็มืดครึ้มลงไปอีกเช่นกัน
……………………..
เย็นวันถัดไป เหนือเหล่าจุ้ยเซียนจูขึ้นไป เป็นเกาะร้างลอยได้แห่งหนึ่ง
แสงอาทิตย์อัสดงสีส้มอาบย้อมเกาะลอยได้แห่งนี้จนกลายเป็นส่องประกายเป็นวงชั้นหนึ่ง กระเรียนเซียนขยับปีร่อนผ่านหมอกเมฆออกไป พลางส่งเสียงกู่ร้องสะท้อนไปในอากาศ
ใต้เกาะที่ว่างเปล่า ผู้คนด้านล่างพากันมองขึ้นมา
ดูสิ นั่นพวกเขาได้เห็นใครกัน …..เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน!
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอยอยู่เสมอ วันนี้พวกเขากลับได้เห็นกับตาตนเองว่า …..เขาขึ้นไปบนเกาะร้างเหนือเหลาจุ้ยเซียนจู!
……………………….