ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 587 ฆ่าล้างสังหาร
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
เพื่อให้นางได้เห็นอย่างละเอียด ฟ่านอิงจึงเห็นแก่หน้าของนาง ยอมขยับไปด้านข้างอีกก้าวหนึ่ง
อาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากด้านนอก ตู๋กูซิงหลันจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เสื้อผ้าเหล่านั้นแม้ว่าจะถูกเลือดย้อมจนกลายเป็นสีแดงไปแล้ว แต่อาศัยรูปแบบและรูปร่างก็ยังมองออกมาว่าคือ ต้าซือมิ่ง มิใช่หรือ?
ตู๋กูซิงหลัน “! ! !”
ไม่นะ นางนึกว่าเขามาหาฟ่านอิงเพราะอยากจะปรึกษาความลับอันยิ่งใหญ่อะไรสักเรื่อง สุดท้ายกลายเป็นว่าเขารีบร้อนมาหาความตาย?
ขอโทษที ทำเช่นนี้นางออกจะไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง
“ไอ้คน…ตายไปแล้ว?” นางได้แต่กลืนคำนั้นกลับลงไป
ฟ่านอิงเหลือบดูศพที่ด้านหลังแวบหนึ่ง เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาสองสามคำ “ตายสนิทแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันเงียบงันไปครู่หนึ่ง ตู๋กูเจวี๋ยเองก็เงียบไปด้วยเช่นกัน
ตอนนี้การรับรู้ของเขามืดมัวไปหมดแล้ว พิษกำเริบเจ็บปวดจนเข้าสู่หัวใจ ทรมานจนเขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่
ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำขึ้นมา ทั่วร่างเจ็บปวดแสบปวดร้อนไปหมด ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะตื่นขึ้นมา
เขาได้แต่เค้นเรี่ยวแรงสะกดสิ่งนั้นเอาไว้
ความรู้สึกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน ตอนที่ชือหลีถูกเยี่ยอิงตัดมือและเท้า เขาได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรง …..ในร่างเหมือนมีตัวประหลาดตื่นขึ้นมา เข่นฆ่าล้างสังหาร
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เขาฆ่าคน ก็จะรู้สึกได้ถึงมันขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็จางหายไปโดยไม่เหลือร่องลอย
ตอนนี้….ทั่วร่างเหมือนจะถูกแผดเผาจนไม่เหลือ เขาใกล้จะควบคุมความรู้สึกนั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
“ท่านตา ยาถอนพิษนั่นเป็นของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ขอท่านโปรดมอบยาถอนพิษให้ด้วย” ตู๋กูซิงหลันร้อนรนอยู่ในใจ แต่ภายนอกยังทำเป็นสงบนิ่งเอาไว้ ต่อให้นางรู้สึกลนลาน ก็ไม่อาจให้พี่รองดูออก
ฟ่านอิงมองดูนาง แล้วก็มองดูตู๋กูเจวี๋ย
ครู่หนึ่งค่อยเอ่ยขึ้นมาว่า “เขาเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ?”
คำถามนี้ ทำเอาตู๋กูซิงหลันตอบยากแล้ว
นางหรี่ตาลง สุดท้ายยังคงยอมรับออกมาอย่างซื่อๆ “นี่คือพี่รอง แท้ๆของข้า”
จากนั้นก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “และก็เป็นหลานชายแท้ๆของท่านด้วย”
ฟ่านอิงไม่เอ่ยอะไร ตระกูลตู๋กูมีลูกหลานอยู่เท่าไหร่ เขาย่อมรู้ดี
เขาเพียงแต่จ้องดูตู๋กูเจวี๋ยอย่างนิ่งๆ เห็นดวงตาทั้งสองของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดอย่างน่ากลัว แม้แต่ผิวหนังก็สั่นสะท้านราวกับมีบางสิ่งเคลื่อนไหว
ตู๋กูเจวี๋ยถูกเขามองดูยิ่งรู้สึกย่ำแย่ เขาได้แต่ครวญคราง และกระอักเลือดออกมาอีกหลายคำ
หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันสะกัดจุดทั้งหมดบนร่างของเขาเอาไว้ก่อน เกรงว่าตอนนี้เขาคงกระอักเลือดจนตายไปแล้ว
คราวนี้ ฟ่านอิงค่อยเดินไปที่เบื้องหน้าเขา เรียกคำหนึ่ง “เจ้าหลานชาย”
ตู๋กูเจวี๋ย “….” เจ้าน่ะสิหลานชาย ทั้งบ้านเจ้าล้วนเป็นหลายชาย
เขาไม่แม้แต่จะยกศีรษะขึ้นมา
ฟ่านอิง “เรียนท่านตาสิ”
ตู๋กูเจวี๋ย “….” ท่านตากับพ่องน่ะสิ!
หากมิใช่ว่าตอนนี้เขากำลังพิษกำเริบ จะต้องถ่มน้ำลายใส่จนให้ตายไปแน่!
ฟ่านอิง “อารมณ์ร้ายเช่นนี้ ก็นับว่าเหมือนกับข้าตอนหนุ่มๆอยู่บ้าง”
เขามองดูหนุ่มน้อยตรงหน้า ในแววตามีเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมา
ตอนที่เขายังหนุ่ม เขาก็องอาจหล่อเหลาเช่นเดียวกับเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้
ตู๋กูเจวี๋ยคร้านจะด่าเขาในใจอีกต่อไป หากจะว่าเหมือนกัน ก็ต้องไปเหมือนท่านตาของเขาสิรู้ไหม?
ตู๋กูซิงหลันแทบอยากจะเค้นคอพี่รองให้เรียกท่านตาแล้ว ความเป็นความตายอยู่ตรงหน้า ยังจะมาทิฐิทำไม!
ไม่รอให้นางลงมือ ก็เห็นฟ่านอิงส่ายศีรษะไปมา “น่าเสียดาย ที่ข้าก็ไม่มียาถอน”
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไป “แต่ว่าท่านตาเป็นเจ้าตำหนักมิใช่หรือเจ้าคะ?”
หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว ยาถอนพิษนี้ควรจะอยู่ในมือของเจ้าตำหนักจึงจะถูก ต้าซือมิ่งก็เพียงแค่รับหน้าที่วางยาพิษแทนเท่านั้น
แล้วทำไมที่เขา ถึงไม่มียาถอนพิษกัน?
คำถามนี้ ฟ่านอิงยากจะอธิบายกับนาง
“ข้าไม่มีทางโกหกเจ้า” ฟ่านอิงตอบ จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้ตู๋กูเจวี๋ยอีกนิด พลางยื่นมือที่แวดล้อมไปด้วยหมอกสีดำออกมา วางลงบนบ่าของเขา
หมอกสีดำไหลวนจากฝ่ามือของเขาเข้าสู่ร่างกายของตู๋กูเจวี๋ย ทำให้สิ่งที่คลุ้มคลั่งอยู่ภายในร่างของเขาสงบลง
เนื่องเพราะว่ามีหมอกสีดำกางกั้นอยู่ ตู๋กูซิงหลันจึงไม่ได้เห็นว่าสีหน้าของฟ่านอิงในยามนี้บิดเบี้ยวถึงเพียงไหน
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่กล้ารบกวน นางยืนอยู่ข้างๆ ก็คิดจะเสาะหาดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งมาทุบตีให้หนักๆสักรอบหนึ่ง
ฟ่านอิงเองก็ไม่ยอมบอกว่า ระหว่างทั้งสองมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรที่ไม่กล้าบอกใครให้รู้
เช่นนี้นางจะถามฟ่านอิงต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อยู่ดี
ดังนั้นนางจึงแอบดึงเอายันต์สีเหลืองออกมาแผ่นหนึ่งอย่างเงียบๆ คิดจะเรียกดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งกลับมา
ในตอนนั้นเอง ที่ตู๋กูซิงหลันกระตุ้นพลังของหยกสรรพชีวิตออกมา
ด้วยพลังของหยกสรรพชีวิต ขอเพียงวิญญาณยังไม่แตกสลาย หรือลงไปอยู่ในนรก ย่อมสามารถเรียกกลับมาได้ทั้งนั้น
แต่ว่าพอนางเขวี้ยงยันต์ออกไป รออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
หากว่านางมองดูไม่ผิดล่ะก็ ศพของต้าซือมิ่งยังคงอุ่นๆอยู่เลยนี่ ดูๆแล้วก็ไม่เหมือนว่าวิญญาณจะถูกเผาทำลาย คนแม้จะตายไปแล้ว แต่ว่าวิญญาณก็ไม่ได้รีบลงนรกขนาดนั้นนี่นา
ยันต์เรียกวิญญาณของนางไม่มีทางผิดพลาดได้อย่างเด็ดขาด เช่นนั้นแล้วปัญหาอยู่ที่ใดกันแน่?
“เขาเป็นชาวสวรรค์ ยันต์เรียกวิญญาณของเจ้าย่อมใช้การไม่ได้”ฟ่านอิงดึงมือกลับมาจากบนร่างตู๋กูเจวี๋ย ขณะเอ่ยคำที่ทำเอาตู๋กูซิงหลันถึงกับนิ่งอึ้งไป
ชาวสวรรค์…..
มิว่าในดินแดนโบราณหรือว่าในดินแดนจิ่วโจว นางก็ไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงสองคำนี้มาก่อนเลย
จึงคิดไม่ถึงว่าจะมาได้ยินจากฟ่านอิง
ไอ้คนชั่วต้าซือมิ่งผู้นั้น….มาจากแดนสวรรค์งั้นรึ
มิน่าเล่า….ตั้งแต่ที่นางได้เห็นเขาเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวขึ้นมา ใช่แล้ว ถึงว่ารู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆบางอย่าง
“ยาพิษนั่นนำมาจากแดนสวรรค์ มีแต่ใช้กับบุคคลที่เขาให้ความสำคัญเท่านั้น”
ฟ่านอิงเอ่ยต่อไป น้ำเสียงของเขาอ่อนล้าลงไปบ้าง แต่เป็นเพราะเสียงแหบจนยากจะฟังอยู่แล้ว จึงทำให้สังเกตได้ยาก
สิ่งนั้น….มีพลังรุนแรงมาก เป็นเหมือนกับสัตว์อสูรที่ไม่ยอมเชื่อฟังใดๆทั้งสิ้น หากว่าเกิดระเบิดออกมา ผลลัพธ์คงไม่อาจคาดเดา
สามารถถูกต้าซือมิ่งเห็นความสำคัญจนถึงขั้นที่ต้องใช้พิษของแดนสวรรค์ควบคุมเอาไว้ ….ก็แสดงว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ถูกต้าซือมิ่งหมายตา เตรียมจะใช้เป็นตัวเลือกในฐานะเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนคนต่อไป
ก็ใช่อยู่ เพราะคนอย่างเขาที่ไม่ยอมถูกคนผู้นั้นควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ สำหรับคนผู้นั้นแล้วก็คือผู้ที่วางใจไม่ได้
เขาย่อมจะต้องวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีกแน่ ดังนั้นเขาจึงได้เสาะหาหุ่นเชิดตัวต่อไปเอาไว้แต่แรก
ตู๋กูซิงหลันได้ยินชื่อชาวสวรรค์สองคำก็แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว อย่าว่าแต่ได้ยินว่านี่เป็นพิษของแดนสวรรค์เลย
ไอ้คนชั่วบนสวรรค์!
นางกำหมัดจนแนบแน่น แม้แต่เล็กก็ยังจิกลงไปในเนื้อ
พอสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของนาง ฟ่านอิงก็ถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “หลันหลัน เจ้ากับชาวสวรรค์มีข้อขัดแย้งกันหรือ?”
ทรวงอกของตู๋กูซิงหลันกระเพื่อมขึ้นลง นางพยายามข่มอารมณ์ที่จะระเบิดออกมาของตนเองเอาไว้ กัดฟันเอ่ยปากว่า “พวกมันวางยาพิษทำร้ายพี่รองของข้า ย่อมต้องมีข้อขัดแย้งอยู่แล้ว”
นางเองก็มิได้ไว้วางใจอีกฝ่ายทั้งหมด ความขัดแย้งที่มีกับชาวสวรรค์แน่นอนว่าไม่อาจพูดออกไป
…………..