ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 660 ที่แท้แล้วข้าก็เป็นถึง....
“เจ้ามีนามว่า จู่ฮว๋าย รู้จักกับข้ามาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ภายหลังก็ได้กลายเป็นภรรยาของข้าตี้เสีย”
ตี้เสียทรงหันกลับมามองนางอีกครั้งด้วยแววพระเนตรที่่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกลึกล้ำเช่นเคย
ถึงจะบอกว่าจำไม่ได้แล้ว แต่ว่ารูปโฉมของสตรีตรงหน้า กับนางในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้าง
มีแต่ดวงตาที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ตู๋กูซิงหลันหันศีรษะไปทางอื่น อย่างไม่ต้องการที่จะสบตากับเขา
คำพูดที่ตี้เสียตรัสออกมา บอกก็เหมือนกับว่าไม่ได้บอก
จู่ฮว๋าย ชื่อนี้ทำไมถึงได้ฟังดูแปลกพิลึก?
ยุคบรรพกาล นั่นมันก็นานจนเก่าแก่มากแล้ว
ถัดจากยุคบรรพกาลก็ยังมียุคดึกดำบรรพ์ ถัดจากยุคดึกดำบรรพ์ก็ยังมียุคก่อนประวัติศาสตร์
แค่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็ไม่ไหวจะนับแล้ว
สายตาของตี้เสียร้อนแรงจนแทบจะแผดเผาผู้คนให้กลายเป็นเถ้าถ่าน ตู๋กูซิงหลันแม้มิได้เห็นแต่ก็ยังคงรู้สึกได้
ในที่สุดนางก็กระแอมไอออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยเอ่ยต่อไปว่า “หากว่าสมองของข้ายังไม่มีปัญหาละก็ ที่ข้าจดจำได้อย่างแจ่มชัดแม่นยำก็คือ ตอนนี้ตัวเองพึ่งจะอายุได้สิบแปดปีเท่านั้นเอง สมควรไม่เคยรู้จักท่านที่เป็นถึงเทพผู้สูงส่งบนแดนสวรรค์หรอก”
ฝ่าพระหัตถ์อันใหญ่โตของตี้เสียวางลงบนบ่าของนาง ในดวงเนตรคู่นั้นปรากฏความเจ็บช้ำอยู่หลายส่วน
“เรื่องของเจ้าในชาติก่อน….” พระองค์ถอนพระทัยออกมาคำหนึ่ง “ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของเรา เพราะมิได้ปกป้องเจ้าให้ดี ถึงได้ทำให้เจ้า….”
พอตรัสถึงตรงนี้ ดวงเนตรสีทองทั้งสองข้างก็มีละอองหมอกขึ้นมาจางๆชั้นหนึ่ง
แม้แต่ผู้สูงส่งบนแดนสวรรค์ก็ยังมีช่วงเวลาที่เจ็บปวดใจ
พระหัตถ์ใหญ่โตนั้นบีบแน่นขึ้นมาอีกหลายส่วน พละกำลังบนฝ่ามือก็เพิ่มขึ้นมา ราวกับว่ากำลังฝืนความรู้สึกรักใคร่และเจ็บปวดเอาไว้
“ฮว๋ายเอ๋อร์ ตลอดหลายปีมานี้ เราออกตามหาไปทั่วทั้งหกภพภูมิ แต่ก็ไม่เจอแม้แต่เสียงของเจ้า ผู้อื่นต่างก็บอกว่าเจ้าจิตวิญญาณแตกสลายไปแล้ว แต่เราไม่เชื่อ …. ไม่เชื่อมาโดยตลอด”
น้ำเสียงของพระองค์แหบพร่า จนตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของพระองค์กำลังสั่นสะท้าน
“ยังดีที่ฟ้าดินเมตตา ส่งเจ้ากลับมาที่ข้างกายของเรา……”
“วาสนาสามีภรรยาของเจ้าและเรายังไม่สิ้นสุด และครั้งนี้เราจะต้องปกป้องเจ้าเป็นอย่างดี ไม่ให้เจ้าต้องรับบาดเจ็บอีกแม้แต่น้อยนิด”
ตรัสแล้ว ตี้เสียก็ทรงคิดจะโอบกอดนางอีกครั้ง
ร่างกายของตู๋กูซิงหลันมีแต่ความรู้สึกต่อต้าน นางรู้สึกรังเกียจที่คนผู้นี้จะสัมผัสนาง
ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมีแต่ความรังเกียจอย่างไม่มีปิดบัง
ทั้งๆที่พระองค์ตรัสไปตั้งมากมาย แต่ว่านางกลับมิได้ใส่ใจเลยสักนิดเดียว
“เจ้าไม่เชื่อในตัวเรา?” ในที่สุดโทสะของตี้เสียก็อดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ตลอดหลายปีมานี้พระองค์ไม่เคยจะต้องยอมอ่อนให้ผู้ใดเช่นนี้มาก่อนเลย
นางมีสิทธิ์อะไรจะมาคัดค้านกัน?
ตู๋กูซิงหลันนั่งตัวตรง ค่อยให้ไปมองพระองค์แวบหนึ่ง
“เรื่องราวของชาติก่อน ในชาตินี้จะมีกี่คนที่ยังจำได้อีก เทียนตี้ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ขออย่าได้ทรงถือสา”
ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนที่เชื่อถือผู้ใดโดยง่ายมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
ยิ่งเป็นเทพบนแดนสวรรค์ ยิ่งเชื่อถือไม่ได้
ต่อให้ในดวงเนตรของตี้เสียในยามนี้จะมีแต่ความเจ็บปวด ชนิดที่ร้าวรานลึกถึงแก่นกระดูก ก็ยังไม่อาจทำให้นางสั่นคลอนได้แม้แต่น้อย
หากว่าอยู่ๆมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา แล้วบอกกับเจ้าว่า ชาติก่อนเจ้าเป็นเมียของเขา ใครมันจะไปเชื่อได้กัน?
ตู๋กูซิงหลันพูดจบแล้ว ก็ได้ยินนางเอ่ยต่อไปอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เทียนตี้และเทียนโฮว่ทรงรักใคร่ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง เทียนโฮว่ยังทรงพระครรภ์ แต่แล้วในยามนี้พระองค์กลับมาบอกข้าว่า พวกเราเคยเป็นสามีภรรยากัน นี่มันมิใช่เรื่องน่าขบขันหรอกหรือ?”
ดูเอาเถอะ ทำเช่นนี้ก็คือบุรุษเสเพล พอทางโน้นภรรยาที่ร่วมผูกผมกำลังตั้งครรภ์ ก็หันมาหยอกสาวทางนี้อย่างนั้นหรือ?
ตู๋กูซิงหลันเชื่อมั่นในสายตาของตนเอง นางไม่คิดว่าตนเองจะไปมีเสน่ห์น่าดึงดูดอะไรขนาดนั้นหรอก
พอเอ่ยถึงเทียนโฮว่ ดวงเนตรของตี้เสียก็อึมครึมไปเล็กน้อย
พระองค์เงียบงันไปเนิ่นนาน แม้แต่พระหัตถ์ที่วางอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลันก็ยังชักกลับไป
“วันเวลาผ่านมาก็เนิ่นนานมากแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ซับซ้อนมานัก จนเจ้าไม่อาจจะเข้าใจ” ผ่านไปพักใหญ่ พระหัตถ์ของพระองค์ก็เชยคางของตู๋กูซิงหลันขึ้นมาอีกครั้ง
ออกแรงเบาๆ ก็ทำให้นางหันศีรษะมอง บังคับให้สบตากับดวงเนตรของพระองค์
“ฮว๋ายเอ๋อร์ ต่อให้ที่ข้างกายของเราจะมีสตรีอื่น เจ้าก็ไม่ควรจะสงสัยในความจริงใจของเรา ที่ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ ก็รักแต่เพียงเจ้าเท่านั้น”
พอทรงลดแสงสีทองบนพระองค์ลงไป ก็ทำให้ดูเหมือนว่าพระองค์มิได้จงใจจะบีบคั้นผู้คนเท่าไรนัก บรรยากาศรอบพระองค์ดูอ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย
คำพูดนี้พอลอยเข้าหู ก็บาดแก้วหูตู๋กูซิงหลันอย่างแรง
สิ่งที่วางข้างมือของนางยังคงเป็นผ้าคาดอกชิ้นนั้น
คำพูดนี้คงต้องเก็บบันทึกเอาไว้ในตำราของบุรุษเสเพลแล้วกระมั้ง ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นคนที่หน้าหนาขนาดไหนถึงจะทำให้เขาสามารถพูดคำพูดนี้ออกมาโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าได้กัน
นางไม่พูดอะไร เพียงแต่หัวเราะเสียงหึหึออกมา
เสียงหัวเราะนี้ ตี้เสียเข้าพระทัยว่านางคงจะดีใจ
ก็ใช่อยู่ ในเมื่อนางจำเรื่องราวในชาติก่อนไม่ได้เลยสักนิด ดังนั้นมิว่าพระองค์จะทรงบอกว่าชาติก่อนเป็นเช่นไร ก็ต้องเป็นเช่นนั้น
สาวน้อยที่มิได้มีประสบการณ์มากสักเท่าไหร่นางหนึ่ง จะไปเอาความคิดความอ่านมาจากที่ใดกัน
“ฮว๋ายเอ๋อร์ เราอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมดของเจ้าในชาตินี้ เจ้ายินดีจะเล่าให้เราฟังอย่างละเอียดหรือไม่?”
พระหัตถ์ที่เชยคางของตู๋กูซิงหลันเอาไว้คลายออกเล็กน้อย
ชาติก่อน หลังนางจิตวิญญาณแตกสลาย พระองค์ก็ทรงจุติลงไปยังโลกเบื้องล่างถึงห้าหมื่นปี ทำให้พลาดโอกาสล้ำค่าที่จะเสาะหานาง
เดิมทีทรงคิดว่านางสาปสูญไปอย่างไม่เหลืออะไรแล้ว พอทรงกลับมายังแดนสวรรค์ ก็เคยส่งคนออกไปตามหา
แต่หาอย่างไรก็ไม่พบ …..พอนานวันเข้า จึงมิได้ตามหาต่อไปอีก
คนเราก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่ทุ่มเทตามหาอย่างสุดชีวิตหาอย่างไรก็หาไม่เจอ
พาเลิกตามหา นางก็ส่งตนเองเข้าประตูมา
นี่ต้องบอกว่าเป็นพรหมลิขิตโดยแท้
แม้แต่เทพก็มีพรหมลิขิต ที่แม้แต่เทพจันทราก็ยังไม่อาจจะแทรกแซง
ได้แต่คล้อยตามฟ้าดินเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะหึๆอยู่ในลำคออยู่หลายคำ แต่ก็ไม่ได้ร้องแร่แห่กระเชิงคัดค้านเขา เพียงปัดพระหัตถ์ที่เชยคางของนางเอาไว้ออกไป
จากนั้นก็เล่าเรื่องราวของตนเองออกมารอบหนึ่ง ข้ามเรื่องส่วนใหญ่ที่ไม่สมควรจะพูดถึงไป แม้แต่เรื่องของซือมั่วและจีเฉวียนก็ไม่พูดถึง
เรื่องของบิดาคนงามก็ไม่ได้เอ่ยออกมาแม้แต่เพียงคำเดียว
ตี้เสียทรงจับจ้องอยู่ที่นางตลอดเวลา สดับรับฟังอย่างละเอียด
ตู๋กูซิงหลันอธิบายเรื่องของตนเองจบไปรอบหนึ่ง ก็ถามขึ้นมาอีกว่า “เรื่องราวในยุคบรรพกาล มิทราบว่าตี้เสียจะทรงประทานบอกให้กระจ่างชัดได้หรือไม่?”
ถึงแม้ว่าคำพูดของตี้เสียจะเชื่อถืออะไรไม่ได้ แต่ว่าจะอย่างไรก็คงจะต้องมีความจริงอยู่บ้างสักสองสามบรรทัด
บุรุษเสเพลผู้นี้มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน พละกำลังก็มากมายอย่างคาดไม่ถึง
หากว่าเป็นเรื่องของยุคบรรพกาล นางนับว่ายังพอมีความสนใจอยู่บ้าง
ตี้เสียก็มิได้อมพะนำ ในเมื่อนางต้องการจะฟัง พระองค์ก็เต็มพระทัยจะตรัส
“ตอนนั้นในยุคบรรพกาล หกภพภูมิมีแต่ความสับสนวุ่นวาย เทพบิดรทรงกลายเป็นฟ้าดิน ฟ้าดินได้ให้กำเนิด เทพ ภูติ ปีศาจ และอสูร รุ่นแรกขึ้นมา”
“เทพในยุคแรกเริ่ม จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเทพในยุคบุกเบิก เราเองถือเป็นเทพแห่งยุคบุกเบิกองค์หนึ่ง”
“เรากำเนิดจากไอหยางเพลิงพิสุทธิ์ของเทพบิดร หลังจากฝึกฝนและบำเพ็ญติดต่อกันอยู่เกือบแสนปี ในที่สุดก็ค่อยมีร่างกายขึ้นมา
ยามที่ตี้เสียทรงตรัสมาถึงตรงนี้ ในแววตาของพระองค์ก็อดไม่ได้ที่จะมีความภาคภูมิใจ
ตู๋กูซิงหลันรีบคว้าประเด็นหลักเอาไว้ ความหมายของเจ้าก็คือ เจ้ามันคือดวงจิตของเพลิงกลุ่มหนึ่งสินะ
นางมิได้เอ่ยขัดออกไป เพียงรับฟังตี้เสียอย่างเงียบๆต่อไป
ตี้เสียทรงเงียบงันไปครู่หนึ่ง พอมองดูแววตาของนาง เปรียบเทียบกับแววตาของฮว๋ายยู่ ก็ทรงรู้ว่ามีส่วนที่คล้ายคลึงกันมากถึงเก้าส่วน แต่ว่าพระองค์มองดูมาก็นานหลายปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นว่านางคือฮว๋ายยู่มาก่อน
ตอนนี้พอได้มองดูแววตาของตู๋กูซิงหลันถึงได้ทรงรู้สึกว่า นางกลับมาแล้ว
“ตอนที่เราต้องฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอยู่ในยุคบรรพกาลนานถึงหนึ่งแสนปี เจ้าก็คือต้นฮว๋ายต้นหนึ่งที่เติบโตอยู่ที่ข้างกายเรา พอได้รับไอทิพย์จากเรามากๆครั้งเข้า ก็สามารถกลายร่างได้ในที่สุด”
ตู๋กูซิงหลัน “……” ความหมายก็คือกำลังจะบอกว่าข้าก็เป็นเพียงปีศาจต้นไม้ต้นหนึ่ง?”
………………….