ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 669 รายล้อมสามชั้น
ฮว๋ายยู่ถูกนางจับปลายคางเอาไว้ ต้องตกตะลึงจนครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ได้สติคืนมา
ดวงหน้าของตู๋กูซิงหลันแจ่มชัดอยู่ตรงหน้าของตนเอง จนทำให้ในแววตาของตนมีแต่ภาพของนาง
มีอยู่ชั่วแวบหนึ่ง นางจำต้องยอมรับว่า หากว่ากันแต่เพียงรูปโฉม นังมารจากโลกเบื้องล่างผู้นี้ มิได้ด้อยไปกว่าจู่ฮว๋ายเลยสักนิด
จนทำให้แม้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกเกลียดชังนางมากกว่าเดิม
ปลายคางถูกบีบเอาไว้จนเจ็บ ฮว๋ายยู่รู้สึกอึดอัดคับข้อง ความขุ่นเคืองนี้ยังมิทันได้ระบายออกไป ริมหูก็ได้ยินเสียงของสายลมหอบหนึ่งดังขึ้นมา
“คำพูดนี้ข้าจะเอ่ยเพียงรอบเดียวเท่านั้น พ่อพันธุ์ม้าของบ้านเจ้า ข้าไม่ถูกใจ”
ดูจากท่าทางของเทียนโฮว่ผู้นี้ คงคิดจะมาลงแส้ม้าข่มขู่นางสินะ?
หัวใจของฮว๋ายยู่กระตุกวาบ พ่อพันธุ์ม้า?
นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใด ถึงได้กล้าเปรียบเทียบคนสำคัญของตนกับสัตว์ชั้นต่ำตัวหนึ่ง?
ทั้งยังบอกอีกว่าไม่พึงใจ?
นางรู้หรือไม่ว่า บนแดนสวรรค์แห่งนี้เพียงเพื่อให้ได้เข้าใกล้ตี้เสีย มีโอกาสผ่านค่ำคืนวสันต์กับพระองค์สักครั้ง เหล่าสตรีเหล่านั้นต่างก็ทุ่มเทกันอย่างสุดชีวิต
นางยังจะกล้ามาบอกว่าไม่สนใจ?
“เจ้าอย่าได้คิดว่าพอเทียนตี้ทรงถูกพระทัยเจ้าเข้าสักหน่อย เจ้าก็จะสามารถกร่างได้” ฮว๋ายยู่ขมวดคิ้วแนบแน่น ในพระหัตถ์ปรากฏพลังวิญญาณขุมหนึ่ง โบกฝ่าพระหัตถ์ขึ้น คิดจะปัดฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันทิ้งไป
หัตถ์ข้างนั้นยังไม่ทันสัมผัสโดน ก็เห็นตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกมา คว้าข้อพระกรของนางเอาไว้
ทันใดนั้น แม้แต่พลังวิญญาณของฮว๋ายยู่ก็ยังถูกสกัดเอาไว้ด้วย
พลังวิญญาณนั่น ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยอย่างยิ่ง
เป็นความรู้สึกแปลกๆที่บอกไม่ถูก
พลังวิญญาณของเหล่าเทพในแดนสวรรค์ ล้วนมีธาตุหยางเป็นพื้นฐาน แต่ว่าพลังวิญญาณของฮว๋ายยู่ กลับเป็นลักษณะของธาตุหยินที่อธิบายไม่ถูก
ตู๋กูซิงหลันจดจ้องไปที่นาง มือที่เชยคางของนางเอาไว้ยังคงไม่ปล่อย
ดวงตาดอกท้อคู่นั้นทอแววตาที่อันตรายออกมา
หัวใจของฮว๋ายยู่ถึงกับกระตุกวาบ ถึงแม้ว่านางจะมิได้ทุ่มเทพลังออกมาทั้งหมด แต่ว่านังมารผู้นี้กลับสามารถสกัดตนเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย นี่ออกจะเหนือกว่าความคาดหมายของตนอยู่บ้าง
“ข้าเป็นถึงเทียนโฮว่แห่งแดนสวรรค์ การกระทำของเจ้าถือว่าบังอาจ!”
ฮว๋ายยู่ไม่คิดจะประมือกับนาง ตนกำลังตั้งครรภ์อยู่ ย่อมต้องคำนึงถึงบุตรในครรภ์เป็นหลัก
พอได้ยิน ตู๋กูซิงหลันก็ปล่อยข้อมือของนางลง แล้วก็ตบลงไปบนแก้มของฮว๋ายยู่เบาๆรอบหนึ่ง “ถึงอย่างไรเราก็เป็นคนที่ขาดการอบรมอยู่แล้ว บังอาจก็บังอาจเถอะ….”
ใบหน้านี้ ผิวพรรณช่างนุ่มนิ่มดีเสียจริงๆ แต่มิว่าอย่างไรก็ยังคงให้รู้สึกแปลกๆอยู่ดี
ฮว๋ายยู่ “!”
ทรวงอกของนางขยับขึ้นลงไม่ยอมหยุด ด้วยความโกรธเกรี้ยว
นังมารจากโลกเบื้องล่างผู้นี้ ไร้การอบรมสิ้นดี ไร้กฏไร้ระเบียบ ไม่สนใจกริยามารยาทใดๆทั้งสิ้น!
เดิมทีนางมีวาจาจะสั่งสอนอยู่เต็มท้อง แต่ว่าตอนนี้กลับชะงักค้างอยู่ในลำคอเสียอย่างนั้น นังมารผู้นี้ แตกต่างกับสตรีที่อยากจะใกล้ตี้เสียที่ตนเคยได้เห็นมาทั้งหมด
ไม่เหมือนเสียจนตนเองตกตะลึงจนแทบจะตั้งสติกลับมาไม่ได้
พักใหญ่ ฮว๋ายยู่ค่อยสงบอารมณ์ลงได้
ในพระหัตถ์ของนางปรากฏพลังวิญญาณอีกครั้ง ครั้งนี้ยังไม่ทันได้ผลักออกไป ตู๋กูซิงหลันก็เป็นฝ่ายยอมปล่อยคางของนางก่อน
ปลายคางที่ขาวนวล ยามนี้กลายเป็นรอยแดงๆสองสาย
ฝ่าพระหัตถ์ของฮว๋ายยู่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ด้วยความเคอะเขิน
ครู่หนึ่ง นางถึงได้ชักพระหัตถ์กลับไป พลางบีบนวดขมับที่กำลังเต้นตุ๊บๆเบาๆ พอทำไปพักหนึ่งก็สูดหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ตรัสว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ มิใช่ว่าจะมาแข่งขันโต้เถียงกับเจ้าหรอกนะ”
“หืม? อ้าวแล้วจะมาถกเรื่องความรักกับเราอย่างนั้นหรือ?”
ฮว๋ายยู่ “…..” นางอยากจะชักดาบออกมาเสียบใส่ศีรษะใบนี้จริงๆ จะได้ชมดูให้ละเอียดว่าข้างในนั้นกำลังคิดอะไรอยู่!
นางเรียกตนเองเป็น เรา อยู่ทุกคำ พอฮว๋ายยู่ได้ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าตู๋กูซิงหลันกำลังหมิ่นหยามนางอยู่!
นี่มิเท่ากับว่าวางตนเป็นผู้อาวุโสกว่านางรุ่นหนึ่งหรอกหรือ?
สีพระพักตร์ของนางเย็นชา นางพิงร่างลงกับเบาะนุ่ม ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงน้อยๆ “ยามค่ำของวันมะรืนนี้ เทียนตี้จะทรงรับตัวเจ้าเข้าประตูไป ที่ข้ามาดูเจ้า ก็เพื่อจะให้บรรดานางฟ้ารับใช้ตัดชุดแต่งงานที่เหมาะสมกับตัวเจ้าขึ้นมาชุดหนึ่ง”
พอพูดจะจนประโยค น้ำเสียงของฮว๋ายยู่ก็ดังกว่าเดิมเล็กน้อย
สายพระเนตรของนางมองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าที่ด้านนอกตำหนักกำลังมีเงาสีทองสายหนึ่งพุ่งเข้ามา
ตี้เสียถึงกับไม่อาจตัดพระทัยจากนังมารผู้นี้ เสด็จมาด้วยพระองค์เองแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเอ่ยออกมารวดเดียวอย่างไม่ต้องขบคิดว่า “แปดสิบ หกสิบสอง แปดสิบสอง”
ฮว๋ายยู่ “อะไรนะ?”
นางรู้แล้วว่า ความคิดของตนกับนังมารผู้นี้มิได้อยู่บนเส้นทางเดียวกัน
ตู๋กูซิงหลันปรายตาใส่นางครั้งหนึ่ง “ก็จะทำชุดแต่งงานมิใช่หรือ? เราก็ต้องบอกสัดส่วนของร่างกายทั้งสามส่วนมิใช่หรือไง?”
ว่าแล้ว นางก็จับหน้าอกของตนเอง “อกแปดสิบ”
แล้วย้ายมาจับเอว “รอบเอวหกสิบสอง”
และจับก้นของตนเอง “รอบสะโพกแปดสิบสอง”
“ความยาวของท่อนแขน และเรียวขาก็ต้องการด้วยหรือไม่?”
ฮว๋ายยู่ “…..” แม้ว่าฟังแล้วออกจะงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็ดูออกแล้วว่า พอนังมารผู้นี้ได้ยินว่าตี้เสียจะแต่งตั้งตนเองเป็นพระสนม ก็ยินดีจนทนไม่ไหว ใช่หรือไม่?
ถึงได้รีบร้อนบอกสัดส่วนของตนเองออกมา
ที่ด้านนอกห้องบรรทม ตี้เสียทรงตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนที่ฮว๋ายยู่จะมา พระองค์ได้กำชับนางเป็นพิเศษ ให้ช่วยกล่อมเกลานิสัยของตู๋กูซิงหลัน
คิดไม่ถึงว่า นางจะรีบร้อนอยากจะแต่งให้เขาถึงเพียงนี้?
ในพระทัยของตี้เสียแม้จะเกิดความแปลกใจ แต่ว่าความยินดีที่เกิดขึ้นกลับทำให้พระทัยพองฟูจนหยุดไม่อยู่
กลับมาเกิดใหม่ชาตินี้ นางมีสายตาดีกว่าชาติก่อนนัก
ภายในตำหนักบรรทม สีพระพักตร์ของฮว๋ายยู่เปลี่ยนเป็นเย็นชากว่าเดิม “เมื่อครู่เจ้ามิใช่พึ่งจะบอกว่า เจ้าไม่สนใจเทียนตี้ ในเมื่อไม่สนใจแล้วยังจะต้องการแต่งเข้ามาอีกหรือ?”
คำพูดนี้แน่นอนว่าจงใจเอ่ยออกมาให้ตี้เสียทรงได้ยิน
ตี้เสียพึ่งจะเสด็จมา ย่อมไม่ได้ฟังคำสนทนาก่อนหน้านี้ของพวกนาง
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมาคำหนึ่ง แววตาเป็นประกายระยิบระยับ “ดูท่าเทียนโฮว่คงจะไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าไป ถึงได้สาดคำพูดใส่ร้ายเช่นนี้ใส่ผู้อื่น?”
แม่เด็กน้อย หล่อนคิดว่าจะมาเล่นละครแข่งกับเจ้ได้หรือ?
คิดว่านางตาบอด มองไม่เห็นลำแสงสีทองที่เกาะอยู่นอกหน้าต่างหรือไง?
เจ้าพ่อพันธุ์ม้าตัวนี้ช่างใจร้อนนัก บอกว่าจะแต่งนางเป็นสนม ก็จัดการในทันที?
ไม่คิดจะสอบถามนางเลยสักคำ?
มะรืนนี้….ยังพอมีเวลาทันอยู่
ฮว๋ายยู่ “! ! !” บัดซบ!
นางอยากจะด่าคนนัก!
นังมารผู้นี้ช่างเหลือรับ!
“ที่แท้เจ้าก็มีใจให้กับเทียนตี้อยู่แล้ว เช่นนี้ข้าก็พอจะวางใจได้” ทรวงอกของฮว๋ายยู่กระเพื่อมขึ้นลง นางได้แต่ยิ้มแย้มอยู่บนใบหน้า ในใจก็พยายามอดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะพุ่งไปทุบตีคน
“วันมะรืนนี้หลังพลบค่ำไป เจ้าก็จะกลายเป็นพระสนมของแดนสวรรค์ไปแล้ว ทุกคำพูดและการกระทำล้วนถือเป็นหน้าตาของคนในราชวงศ์แห่งสรวงสวรรค์ ไม่อาจเอาแต่ใจเช่นในวันนี้ ทำให้เทียนตี้ทรงเสียพระพักตร์”
ตู๋กูซิงหลัน “เทียนโฮว่ทรงตรัสถูกแล้ว ข้าน้อยย่อมต้องเชื่อฟังเป็นอย่างดี”
ฮว๋ายยู่ “หากรู้จักเชื่อฟังก็นับว่าดีที่สุด”
“นับจากวันนี้ไปเจ้าก็ต้องไปอยู่ในวังหลังของแดนสวรรค์แล้ว มีเรื่องใดที่ไม่เข้าใจล้วนสามารถสอบถามข้าได้ เจ้ามาจากโลกเบื้องล่าง ทั้งยังก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตบนแดนสวรรค์ไปรอบหนึ่ง ย่อมไม่พ้นต้องถูกคนตำหนิอยู่บ้าง ข้าจะพยายามปกป้องเจ้าอย่างดีที่สุด”
ฮว๋ายยู่พยายามสงบจิตใจลงให้ราบเรียบ ไม่ปล่อยให้ตนเองถูกนังมารผู้นี้จูงจมูกไปได้
“เทียนตี้ทรงมีพระอุปนิสัยส่วนพระองค์บางประการ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังโดยละเอียด”
“เทียนตี้โปรดสีทอง ชิงชังสีดำ ไม่อาจส่วมใส่ชุดสีดำต่อหน้าพระพักตร์”
“เทียนตี้โปรดปรานน้ำองุ่นหมัก ทุกวันยามเสวยอาหารต้องได้ดื่ม ในเมื่อเจ้าเป็นพระสนม ในวังย่อมจัดเตรียมมาให้”
“หากจะถวายปรนนิบัติร่วมบรรทม จะต้องอาบน้ำล้างตัวให้สะอาด ไม่อาจเข้านอนก่อนเทียนตี้ ไม่อาจตื่นหลังเทียนตี้”
……………….